บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 696 ส่งถ่านยามหิมะตก
ตอนที่ 696: ส่งถ่านยามหิมะตก
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองนามผูหวยกล่าวด้วยสายตาเลื่อนลอย “รั่วฮวนคือบุคคลรุ่นเยาว์ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่มีความโดดเด่นที่สุดในเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงของข้า และเป็นหนึ่งในคนที่เป็นไปได้ที่สุดว่าจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์คนต่อไป”
ซูอี้ครุ่นคิด
ย้อนกลับไปในงานชุมนุมล่องเมฆาที่ต้าฉิน ชิ่งหยวน บุตรศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวแห่งลัทธิหมิงหลิงมีสตรีในชุดกระโปรงสีเหลืองผู้หนึ่งนามรั่วฮวนติดตามข้างกาย
และยามนั้นเองที่ซูอี้มองปราดเดียวก็เห็นว่ารั่วฮวนผู้นั้นเป็นทายาทผู้หนึ่งของเผ่าปีศาจจิ้งจอกบุหลันม่วง และมีความสามารถ ‘สุคนธ์มารกร่อนกระดูก’
ทว่าหญิงสาวผู้นี้ตื่นตัวยิ่งนัก ยามเมื่อสังเกตเห็นสิ่งปกติ นางก็ถอยหนีทันที
ซูอี้ยังคงจำได้ว่ายามที่รั่วฮวนหนีไป นางเคยขู่จะประมือกับเขายามพบกันอีก
และยามนี้ เขาก็ตระหนักว่าสตรีในชุดกระโปรงสีเหลืองที่มีนามว่ารั่วฮวนผู้นี้ ที่แท้มาจากเผ่าเดียวกับแม่ของเซี่ยชิงหยวน!
ช่างน่าสนใจ
เหตุใดรั่วฮวนจึงปรากฏกายในต้าฉิน?
หรือนางคิดมาหาเขา?
ซูอี้อยากเอ่ยถามอีกครั้ง
ทว่าเสียงถอนหายใจหนึ่งดังขึ้นจากนอกสวน
“สหายเต๋า การปรากฏของคนผู้นี้ทั้งหมดเป็นเพราะข้า หากเป็นไปได้ ขอข้ารับแทนได้หรือไม่?”
เมื่อเสียงดังขึ้น จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยในชุดคลุมผ้าก็ผลักประตูเดินเข้ามาหาข้างกายซูอี้ในลานบ้าน และก้มหัวทักทายเขา
ซูอี้นั่งไม่ไหวติงอยู่บนเก้าอี้หวาย จากนั้นจึงกล่าวออกอย่างเฉยเมย “ก็จริง นี่เป็นเรื่องในครอบครัวเจ้า คงดีที่สุดหากเจ้าเป็นผู้แก้มัน”
ด้วยอุปนิสัยของซูอี้ หากเขาต้องการสังหารผูหวย ผู้ใดก็หยุดเขาไม่ได้
โชคดีที่ซูอี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น
ทันใดนั้น ผูหวยซึ่งนั่งคุกเข่าทึ่มทื่ออยู่บนพื้นก็สะดุ้งตื่นขึ้นกะทันหัน
เขารีบร้อนลุกขึ้น และเมื่อมองซูอี้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็เปี่ยมด้วยความยำเกรงและหวาดกลัว
“กลับไปบอกผูซู่หรงเสีย ว่าอย่ากระทำการอันไม่คู่ควรเช่นนี้อีก หากมีอันใด ก็มาหาข้าด้วยตนเอง”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยดูเย็นชาเฉยเมย
สีหน้าของผูหวยเปลี่ยนแปลงอยู่ครู่หนึ่ง และหันหลังกลับไปโดยไม่พูดจา
ครานี้ พลบค่ำมืดสนิท ค่ำคืนกำลังมาเยือน
เมื่อเห็นผูหวยหายไป จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็ยิ้มแห้ง ๆ และกล่าวว่า “สหายเต๋าอย่าตกใจไป ข้าเองก็ไม่คาดว่าลูกน้องของผูซู่หรงจะตาบอดถึงเพียงนี้”
ซูอี้มองพินิจจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า “เห็นได้ชัดเลยว่าช่วงนี้สถานการณ์ทางเจ้าไม่สู้ดีนัก”
เทียบกับเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สีหน้าของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยปรากฏความเศร้าสร้อยอย่างไม่อาจปกปิด เขาดูไม่สง่างามเช่นก่อน
ด้วยประโยคเดียวนี้ หัวใจของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกมากมาย จึงอดทอดถอนใจไม่ได้
“ภายนอกมีศัตรูร้าย ภายในมีคลื่นใต้น้ำซัดสาด และครานี้ กระทั่งผูซู่หรงยังมาเพื่อพรากชิงหยวนไปจากข้า สหายเต๋าเอ๋ย นี่คือคราแรกที่ข้าประสบความยากลำบากเพียงนี้ จะบอกว่าเป็นมดเต้นบนกระทะร้อนคงไม่เป็นการกล่าวเกินไป”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความอ้างว้างและจนใจ
ในอดีตกาล เขาคือจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยผู้นั่งบนบัลลังก์สี่คาบสมุทรปกครองโลก ไม่มีผู้ใดกล้าหยามหมิ่น
ทว่า ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารของโลกหล้า และการฟื้นตัวของปราณวิญญาณ รูปแบบของโลกจึงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยในช่วงสองสามเดือนมานี้
จวบจนยามนี้ ทั้งภายนอกและภายในวังหลวงแห่งต้าเซี่ยดูจะมีแต่ปัญหาในทุกด้าน
และนี่ยังนำมาซึ่งแรงกดดันต่อจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอย่างไม่เคยมีมาก่อน!
ซูอี้กล่าวว่า “แล้วเจ้าวางแผนไว้เช่นไร?”
ดวงตาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขากล่าวถึงความคิดที่ตนคิดไว้แล้วออกมา
“ยามนี้ สิ่งเดียวที่ข้าหวังก็คือให้สหายเต๋าซ่อมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนโดยเร็วที่สุด เพื่อให้มันสามารถขวางศัตรูจากภายนอกได้ ไม่ให้พวกเขากล้าโจมตีง่าย ๆ”
“แม้หลังแสงสว่างแห่งโลกหล้าปรากฏ ข้าก็อาจจะไม่สามารถปกครองโลกหล้าภายใต้นามตระกูลเซี่ยของข้าอีก แต่อำนาจนี้ก็จะมีเพียงพอให้ยืนหยัดได้อีกแสนนาน”
เมื่อฟังจบ ซูอี้ก็ส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะปักใจฝากความหวังกับหนึ่งมหาค่ายกล”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าวอย่างจนใจ “ข้าย่อมรู้ว่านี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว แต่เมื่อเผชิญสถานการณ์ยามนี้ ทางรอดเดียวก็คือใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน มีเพียงการพึ่งพามันเท่านั้นที่เราจะสามารถแก้ปัญหาที่ราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยเผชิญได้”
ซูอี้เห็นได้ว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยถูกบีบให้จนมุมแล้วจริง ๆ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงถือมหาค่ายกลเป็นหนทางรอดสุดท้าย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็กล่าวว่า “ข้าสัญญาแล้วว่าจะช่วยเจ้าซ่อมค่ายกล ข้าย่อมไม่ผิดคำพูด แต่เจ้าก็ควรจะทราบด้วยว่าค่ายกลนี้ไม่ได้อยู่ในระดับจักรพรรดิ และต่อให้ใช้พลังของข้า มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ค่ายกลนี้ทรงพลังได้ยามกลับสู่จุดสูงสุด”
ดวงตาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยทอประกาย ก่อนกล่าวว่า “ขอเพียงมันสามารถหยุดศัตรูภายนอกเหล่านั้นได้ก็พอแล้ว!”
ซูอี้พยักหน้า แล้วจึงกล่าวต่อ “เช่นนั้นก็จัดการได้ง่าย”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยสูดหายใจลึก ๆ และก้มคำนับ “เซี่ยอวิ๋นจิ้งผู้นี้ขอเป็นตัวแทนตระกูลเซี่ย ขอบคุณสหายเต๋า!”
ซูอี้โบกมือกล่าว “ก็แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องสุภาพนักหรอก ต่อให้เจ้าไม่พึ่งพาค่ายกลนี้ ข้าก็อยู่เฉยยามเจ้าลำบากไม่ได้อยู่ดี”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็กล่าวพลางยิ้มว่า “ยิ่งกว่านั้น ขุมอำนาจโบราณก็มีเพียงไม่กี่แห่ง ขอแค่ข้าอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งนี้ พวกเขาจะสร้างแรงกระเพื่อมใด ๆ ไม่ได้เลย”
วาจาช่างเลื่อนลอย ราวกับกล่าวถึงเรื่องทั่วไป
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอึ้ง ขุมอำนาจโบราณเพียงไม่กี่แห่ง?
หากขุมอำนาจโบราณเหล่านั้นไม่อาจรับไหวจริง ๆ ก็คงดี…
เขาทอดถอนใจกับตนเอง
ทว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็รู้เช่นกันว่าอุปนิสัยของซูอี้นั้น ต่อให้นภาถล่มลงมาก็ยังดูเหมือนเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับเขาเช่นกัน
ซูอี้กล่าวว่า “จะว่าไป เมื่อเรื่องของเจ้าได้รับการแก้ไข ข้าเองก็มีบางอย่างที่อยากฝากฝังเจ้าเช่นกัน”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าวโดยไม่ลังเล “สหายเต๋ากล่าวมาได้เลย ขอแค่ข้าทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธ!”
ซูอี้ครุ่นคิด แล้วจึงตอบว่า “เราจะคุยกันทีหลัง”
แต่เดิม เขาอยากจะฝากฝังเซียนหานเยียนและชิงหยาให้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยดูแล ให้พวกเขาได้ฝึกฝนในภูเขาเทียนหมาง
ทว่า เขาก็ต้องถามความเห็นของคนทั้งสองด้วยเช่นกัน
“ตกลง”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพยักหน้า
หลังจากพูดคุยกันพักหนึ่ง สุดท้ายซูอี้ก็ถามออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ “เจ้าจะให้เซี่ยชิงหยวนจากไปกับมารดาของนางหรือไม่?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยส่ายหน้า “ไม่!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตอบทันทีอย่างไร้ลังเล
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็กล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “สหายเต๋า นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ทว่าในเมื่อลูกน้องของผูซู่หรงล่วงเกินเจ้าวันนี้ เจ้าก็ควรได้รับรู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมด”
ทุกความขุ่นข้องคับแค้นระหว่างเขาและผูซู่หรงถูกอธิบายออกมา
ยากจะปิดบังความจนใจและผิดหวังในน้ำเสียงได้
หลังฟังจบ ซูอี้ก็กล่าวว่า “หรือในคราแรกพบ ผูซู่หรงจะตั้งใจหลอกเจ้าอยู่แล้ว?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่ว่านางจะจงใจลวงข้าหรือไม่ ยามนี้ก็ไร้ค่า”
ซูอี้ไม่กล่าวอันใดอีก
ในฐานะคนนอก เขาไม่อาจตัดสินความรู้สึกของผู้อื่นได้
ไม่นานนัก จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็กล่าวลาและจากไป
ส่วนซูอี้ เมื่อรัตติกาลโรยลง เขาก็รอพวกเหวินซินจ้าวกลับจากการจ่ายตลาด
“ศิษย์พี่ซู ยามนี้มีข่าวลือในเมืองแล้วว่าเจ็ดมหาอำนาจโบราณจะไม่ไว้ชีวิตพี่”
เหวินซินจ้าวกล่าวอย่างกระวนกระวายทันทีที่กลับมา
“หากพวกเขาอยากตาย ข้าก็ไม่คิดมากหากจะใช้ชีวิตพวกเขามาลับคมดาบข้า”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ชิงหยา รีบนำเหล้ายาปลาปิ้งมาเร็วเข้า โลกนี้ใหญ่โต แต่อาหารใหญ่ที่สุด”
เขาหันไปมองชิงหยาซึ่งถือกล่องอาหารซ้อนกันมากมายในมือ กลิ่นเย้ายวนใจโชยเต็มอากาศ
“ได้!”
ชิงหยาตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เหวินซินจ้าวเห็นเช่นนี้ก็อดส่ายหน้าอย่างจนใจไม่ได้
นั่นสินะ ศิษย์พี่ซูไม่เคยใส่ใจคำขู่เหล่านั้นเลย
ในขณะเดียวกัน…
ณ ศาลาแห่งหนึ่งในนครหลวงจิ๋วติ่ง
เสียงเทียนวูบไหว เติมเต็มทั้งห้องด้วยแสงสว่าง
ผูซู่หรงนั่งเงียบ ๆ อยู่บนเบาะนุ่ม ทว่าใบหน้างดงามของนางกลับพร่ามัวจากเงาของตะเกียง
นางขมวดคิ้วกล่าว “เช่นนั้น ซูอี้ก็ไม่สะทกสะท้านต่อ ‘วจีสะกดวิญญาณ’ ของเผ่าเราจริง ๆ หรือ?”
ข้างกายนาง ผูหวยกล่าวตอบเบา ๆ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง “น่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ”
“ท่านป้า ข้าก็บอกท่านแล้ว คราก่อนที่ข้าพบซูอี้ผู้นี้ในต้าฉิน เขาก็หยุดอำนาจติดตัว ‘สุคนธ์มารกร่อนกระดูก’ ของข้าได้ง่าย ๆ เช่นกัน”
หญิงสาวสะคราญในชุดกระโปรงสีเหลืองกล่าวเสียงใส
นางผู้นี้คือรั่วฮวน
“คนผู้นี้… ไม่ธรรมดา…”
ผูซู่หรงพึมพำ
ทั้งวิชาลับวจีสะกดวิญญาณและอำนาจติดตัวสุคนธ์มารกร่อนกระดูก คือสองวิชามรดกอันแข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจจิ้งจอกบุหลันม่วงของพวกนาง
ผูซู่หรงไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ฝึกตนคนใดต้านทานวิชาลับทั้งสองนี้ได้มาก่อน!
แววตาของรั่วฮวนวูบไหว และกล่าวว่า “เขาย่อมไม่ธรรมดา ในขณะที่มีระดับฝึกฝนอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เขากลับฆ่าฉู่อวิ๋นเคอ เอาชนะตงกัวเฟิง ซ้ำยังข้ามขอบเขตไปสังหารตงกัวไห่และตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณอีกหกคนได้”
“ดูเหมือนว่าหากคนเช่นนี้ไปอยู่ในภูมินภาจรัสของเรา เขาก็ยังกล่าวได้ว่าเป็นตัวตนระดับสูงสุดในโลก อัจฉริยะซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในวิถีวิญญาณ!”
ที่จริงแล้ว นางชื่นชมซูอี้ไม่น้อย
“จริงของเจ้า…”
ผูซู่หรงถอนหายใจเบา ๆ “โชคร้ายที่ซูอี้ผู้นี้ไม่ใช่ทายาทของมหาอำนาจในภูมินภาจรัสของเรา หาไม่ ด้วยความสามารถและวิถีเต๋า เขาก็จะคู่ควรต่อชิงหยวนลูกสาวข้า”
รั่วฮวนส่ายหน้ากล่าวว่า “ท่านป้าเจ้าคะ จากคำขอบิดาข้า ครานี้เมื่อพี่ชิงหยวนกลับสู่เผ่า ก็เพื่อให้นางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์คนต่อไป ชีวิตนี้ นางจะไม่อาจเป็นคู่วิถีกับผู้ใดได้อีกไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ผูซู่หรงพยักหน้าเล็กน้อย สูดหายใจลึก ๆ และสีหน้ากลับสู่ความสงบ ก่อนกล่าวว่า
“ข้าจะหาโอกาสพูดคุยกับซูอี้ด้วยตนเอง หวังว่าเขาจะถอยห่างเมื่อพบอุปสรรคและตัดความสัมพันธ์กับชิงหยวนโดยสมบูรณ์!”
หลังจากนางกลับสู่นครหลวงจิ๋วติ่งได้ไม่นาน นางก็พบว่าเซี่ยชิงหยวนผู้เป็นบุตรสาวไม่เคยชายตาแลชายใดมาก่อน
เว้นเพียงซูอี้ผู้เดียว!
และหากจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าปีศาจจิ้งจอกบุหลันม่วง เรื่องระหว่างชายหญิงย่อมต้องไร้ปรานี ไม่อาจเกี่ยวสัมพันธ์ใด ๆ ได้!
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น นางจึงจะสามารถรับมรดกสูงสุดของเผ่าปีศาจจิ้งจอกบุหลันม่วงได้!
“ท่านป้าเจ้าคะ หากซูอี้ไม่เห็นด้วยเล่า?”
รั่วฮวนขยิบตาถาม
ผูซู่หรงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “ขึ้นอยู่กับคน”
ก่อนหน้านี้ นางเคยส่งรั่วฮวนไปหาซูอี้ที่ต้าโจวเพื่อดูว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนเช่นไร
และยามนี้ ซูอี้ก็ปรากฏตัวในนครหลวงจิ๋วติ่ง ซึ่งช่วยให้นางสะดวกขึ้นมาก
รั่วฮวนถามอีกครั้ง “ท่านป้าจะไปพบเขายามใดหรือ?”
ผูซู่หรงหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดช้า ๆ “อย่ากังวลไป ยามนี้ในนครหลวงจิ๋วติ่งเต็มไปด้วยข่าวลือว่าเจ็ดมหาอำนาจโบราณจะไม่ไว้ชีวิตซูอี้ บางทีอาจไม่นานหรอก คนผู้นี้จะประสบปัญหา”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็วางถ้วยชาลง แววตาวูบไหว ก่อนจะกล่าวอย่างสบาย ๆ “ถึงยามนั้น ข้าจะไปส่งถ่านยามหิมะตกให้เขา”