บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 697 หล่อหลอมดาบ
ตอนที่ 697: หล่อหลอมดาบ
เช้าตรู่วันถัดไป
เวิงจิ่วขับรถศึกพาซูอี้ไปยังภูเขาเทียนหมาง
ฐานการก่อค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนตั้งอยู่ที่ภูเขาเทียนหมาง ซึ่งห่างไกลจากตัวเมือง และคุ้มกันโดยบุคคลระดับสูงสุดในราชวงศ์เซี่ย
เมื่อซูอี้มาถึง จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็รออยู่ก่อนแล้ว
“สหายเต๋าซู ได้เวลาทำงานแล้ว”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก้มหัวทักทายเขา
ซูอี้พยักหน้าเล็กน้อย และมองออกไปไกล
นี่คือถ้ำยักษ์ที่ขุดลึกเข้าไปในภูเขาเทียนหมางที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ลาวาหลอมเหลวด้านในกระเพื่อมไหว เปลวไฟลุกโหม
เสาสำริดเจ็ดสิบสองเสาขนาดหลายคนโอบตั้งอยู่ในลาวาร้อนระอุ เสาทั้งต้นสลักลวดลายยันต์เมฆาพิศวงแน่นขนัด
ใจกลางหมู่เสามีแท่นเต๋าสีดำสูงเก้าจั้ง
บนแท่นเต๋ามีเตาหลอมแปดทิศสีฟ้าอ่อนอยู่หนึ่งเตา
สายตาของซูอี้ถูกดึงไปยังเตาหลอมแปดทิศนี้ทันที
เตานี้สูงเพียงหนึ่งจั้ง มีทวารแปดบานสูงเก้าชุ่นสลักอยู่บนพื้นผิว แทนทิศเฉียน คุน เจิ้น ซวิ่น ก่าน หลี เกิ่น และตุ้ยตามลำดับ
ฝาเตาหลอมเป็นวงกลมสมบูรณ์แบบ สลักลวดลายเช่นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว เส้นรุ้งเส้นแวงแห่งนภา และเหนือฝาเตาก็คือรูปสลักสำริดของสัตว์ร้ายแรดเขียวสูงสามชุ่น
ลาวากระเพื่อมไหว แผดเผาแท่นเต๋าเก้าจั้งนี้
เตาหลอมแปดทิศตั้งนิ่งอยู่บนแท่นเต๋า นาน ๆ ครั้งจะปรากฏแสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากทวารทั้งแปด กวาดเข้าสู่เสาสำริดทั้งเจ็ดสิบสอง ทำให้ยันต์เมฆาบนพื้นผิวเสาวูบไหวประดุจหายใจ
“ที่แท้ ค่ายกลนี้ก็ตั้งอยู่โดยใช้สมบัติวิญญาณระดับจักรพรรดิ เปิดใช้งานบนแท่นเต๋า เชื่อมโยงโลกาด้วยเจ็ดสิบสองเสาสำริด ดูดซับพลังแห่งขุนเขา…”
ซูอี้ครุ่นคิด “โชคร้ายที่เตาหลอมแปดทิศนี้เสียหายอย่างหนัก ในฐานะฐานของค่ายกล พลังที่ราชวงศ์จะใช้ได้จากมันคงต่ำกว่าหนึ่งส่วนของสิ่งที่มันเคยเป็นยามสมบูรณ์พร้อม หาไม่ พลังของค่ายกลนี้จะสูงส่งพอเป็นภัยต่อตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิได้”
ซูอี้ถาม “ที่มาของเตาหลอมแปดทิศนี้เป็นเช่นไร?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตอบ “เตาหลอมนี้เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสร้างขึ้นโดยบรรพชนของเรา มีนามว่าเตาหลอมแปดทิศจื่อฝู มันและเตาหลอมศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าในนครหลวงรวมกัน สร้างขึ้นเป็นค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน”
ซูอี้กล่าวว่า “สมบัติชิ้นนี้เสียหายหนักมาก ต่อให้ข้าขอให้ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิมาช่วยก็คงซ่อมไม่ได้ สิ่งที่ข้าทำได้ก็คือใช้พลังที่เหลืออยู่ของสมบัตินี้เพื่อฟื้นพลังบางส่วนของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนกลับมาเท่านั้น”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็หันมากล่าวกับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย “ทว่าหากทำเช่นนี้ ภายในหนึ่งปี เกรงว่าค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนนี้จะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ เจ้าต้องคิดให้ดีนะ”
ม่านตาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหดตัว สีหน้าเปลี่ยนไปชั่วขณะ
เนิ่นนานจากนั้น เขาก็สูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างเฉียบขาด “ทำตามที่สหายเต๋าว่าเถิด!”
ซูอี้พยักหน้า จากนั้นจึงหยิบแผ่นหยกขึ้นมาส่งให้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย “ช่วยข้าเตรียมสมบัติวิญญาณตามที่ระบุไว้ในแผ่นหยกนี้ที เตรียมมาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ต่อให้ขาดไปบ้างก็ไม่เป็นไร”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตอบรับทันที
ซูอี้กล่าว “นอกจากนี้ ข้ายังหวังว่าจะสามารถใช้พลังของค่ายกลนี้หล่อหลอมสมบัติคู่กายของข้าเองด้วย”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง “หากข้าช่วยสหายเต๋าได้ ข้าก็ยินดีนัก ไม่ปฏิเสธแน่นอน”
ซูอี้กล่าว “ได้ นับจากวันนี้ ข้าจะมาที่นี่ทุก ๆ สามวัน อย่างมากก็หนึ่งเดือน ข้าจะซ่อมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนสำเร็จแน่”
…
จากวันนั้นมา ชีวิตของซูอี้ก็ยุ่งวุ่นวาย
นอกจากทำสมาธิและฝึกฝน เขาก็ต้องควบรวมแก่นแท้ด้วย
ทุก ๆ สามวัน เขาจะไปยังภูเขาเทียนหมางอันห่างไกลจากเมืองเพื่อซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนและหล่อหลอมดาบนิลกาฬกลืนฟ้า
สำหรับซูอี้ การซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนไม่นับว่ายาก ปัญหาเดียวของการซ่อมค่ายกลนี้อยู่ที่มันค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานาน
ในขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ใส่ใจในการหล่อหลอมดาบนิลกาฬกลืนฟ้าขึ้นใหม่อย่างมาก
เส้นทางของวิถีวิญญาณต้องฝึกฝนสมบัติคู่ชีพด้วย มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่มันจะสอดคล้องเป็นหนึ่งกับการฝึกฝนของตน รวมถึงวิถีเต๋าและวิญญาณ
ในสงคราม มันก็จะสามารถแสดงพลังอันเกินจินตนาการอีกด้วย
เจ็ดวันผันผ่านอย่างรีบเร่ง
วันนี้
ในภูเขาเทียนหมางอันห่างไกลจากตัวเมือง ลาวาไหลเชี่ยว
ร่างของซูอี้นั่งขัดสมาธิบนแท่นเต๋าเก้าจั้ง ณ ใจกลางลาวา ตรงหน้าเขา เตาหลอมแปดทิศจื่อฝูส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่น แสงศักดิ์สิทธิ์ทะลักไหล
ภายในเตาหลอมแปดทิศ ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าและดาบขจีบริสุทธิ์ผลุบโผล่ ขณะถูกหล่อหลอมโดยเปลวเพลิง
“หากต้องการหล่อหลอมสุดยอดสมบัติวิญญาณ ก็ต้องใช้เพลิงแท้บรรพกาลหรือกระทั่งเพลิงทิพย์เสวียนหลี ในมหาค่ายกลนี้มีเปลวเพลิงท่วมทั่วฟ้าดินไปหมด และยังหล่อหลอมวัตถุวิเศษคู่ชีพโดยใช้อำนาจของเตาหลอมแปดทิศ จึงยังนับได้ว่าเพียงพอ”
ซูอี้กำสองมือ สร้างเป็นตราประทับลี้ลับ เตาหลอมแปดทิศจื่อฝูตรงหน้าเขาส่งเสียงครืนและระเบิดคำรามออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ยันต์เมฆาประหลาดอันแน่นขนัดบนเสาสำริดทั้งเจ็ดสิบสองที่รายล้อมอยู่กะพริบแสง ดูดซับเปลวเพลิงและลาวาหลอมเหลว หลอมรวมเข้าสู่เตาหลอมแปดทิศจื่อฝู
ด้วยการขยับไหวของกาลเวลาอย่างเชื่องช้า ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าก็เริ่มค่อย ๆ หลอมละลาย
ดาบขจีบริสุทธิ์เรืองแสงแดงฉาน
ดาบเล่มนี้แต่เดิมแล้ว ซูอี้ได้รับมาขณะอยู่ในเกาะเซียนพระสุเมรุ เป็นดาบระดับจักรพรรดิซึ่งราชันย์ปีศาจพระสุเมรุหยวนหมอเทียนเหลือทิ้งไว้
แม้ว่ามันจะเสียหายหนัก แต่วัตถุดิบและรูปลักษณ์ของมันก็ยังคงห่างชั้นเหนือล้ำกับสมบัติวิญญาณบนโลกหล้ามากนัก
จากแผนของซูอี้ เขาจะใช้ดาบขจีบริสุทธิ์เป็นโครงดาบ หล่อหลอมดาบนิลกาฬกลืนฟ้าเข้าไปในนั้นได้โดยสมบูรณ์ และสร้างเป็นดาบวิญญาณคู่ชีพของเขาเอง!
ฉี่!
ไม่นานนัก บัญญัติกลืนวิญญาณที่สลักไว้บนดาบนิลกาฬกลืนฟ้าและลวดลายเต๋ามากมายก็ค่อย ๆ ถูกซูอี้ดึงออกไป
ยามที่มันถูกจารึกไว้ในระดับวิถีต้นกำเนิด ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าถือได้ว่าเป็นสุดยอดสมบัติ ทว่ายามนี้พลังของมันไม่เพียงพออีก จึงถูกซูอี้หลอมเสีย
มีเพียงวิญญาณของนกกระจอกเพลิงยมโลกและพลังแก่นแท้ของดาบนิลกาฬกลืนฟ้าเท่านั้นที่คงอยู่
“ลอยขึ้นมา”
ซูอี้โบกมือ
วัตถุดิบวิญญาณชิ้นแล้วชิ้นเล่าทะยานขึ้น พุ่งเข้าไปในเตาหลอมแปดทิศจื่อฝู
วัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้ล้วนถูกซูอี้เก็บรวบรวมมาในอดีต แต่ละชิ้นล้วนล้ำค่าหายาก หาไม่ พวกมันคงไม่มีทางถูกซูอี้ประคบประหงมมาจวบจนยามนี้
ทว่ายามนี้ ซูอี้โยนพวกมันลงไปในเตาหลอมแปดทิศโดยไม่รู้สึกแย่แม้เพียงนิด
ครู่ถัดมา กลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในเตาหลอมแปดทิศ ซึ่งก็คือแก่นที่หลงเหลือหลังจากบรรดาวัตถุดิบวิญญาณถูกหลอม
“ถึงเวลาเริ่มหลอมดาบแล้ว…”
“เบญจธาตุคือการจัดเรียง หยินหยางคือสัญญาณ วาตะอสนีเคลื่อนไหวพร้อมเพรียง ไป!”
ซูอี้ประสานมือ เค้นชั้นมนตราอันลึกลับซับซ้อนออกมามากมาย ก่อนจะส่งตราประทับต่าง ๆ ออกไปเป็นลำดับขั้น
เตาหลอมแปดทิศจื่อฝูส่งเสียงดังลั่น
ทันใดจากนั้น เสาสำริดทั้งเจ็ดสิบสองต้นก็เปล่งแสงสว่างจ้า
ทะเลเพลิงลาวาอันทรงพลังกู่ร้องคำราม
ร่างของซูอี้นั่งขัดสมาธิบนแท่นเต๋าสูงเก้าจั้ง อาบไล้ในแสงสว่างเจิดจ้า และความเปลี่ยนแปลงอันเหลือเชื่อก็บังเกิดกับเตาหลอมแปดทิศจื่อฝูอันแปลกตาตรงหน้าเขา
ตู้ม!
ยามเมื่อกาลผันเปลี่ยน ทั่วทั้งเขาเทียนหมางก็สั่นสะเทือนรุนแรง
ปราณที่พลุ่งพล่านทั่วฟ้าดินในรัศมีพันจั้งโดยมีภูเขาเทียนหมางเป็นศูนย์กลางหลั่งไหลสู่ถ้ำยักษ์จากทั่วทุกสารทิศราวได้รับคำสั่ง
“เกิดอันใดขึ้น?”
ทั่วบริเวณเขาเทียนหมาง ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเพียงไรที่ถูกรบกวน จึงเกิดเป็นเสียงฮือฮาถ้วนทั่ว
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยซึ่งคุ้มกันอยู่นอกถ้ำยักษ์อดเปลือกตากระตุกไม่ได้ โนเวล-พีดีเอฟ
เขาไม่คาดว่าซูอี้จะสร้างเรื่องใหญ่เพียงนี้จากแค่การหลอมสมบัติวิญญาณ!
“เวิงจิ่ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป อย่าให้ผู้คนบนเขาตื่นตระหนก!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยสั่งด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เวิงจิ่วนำทาง
ทว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่าน การเคลื่อนไหวในถ้ำยักษ์ก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นทุกที
ไม่เพียงทั่วภูเขาเทียนหมางสั่นไหว ยังมีเมฆสายฟ้าสว่างจ้าหลากสีสันมารวมตัวกันเหนือนภาด้วย
ปราณอันพลุ่งพล่านทั่วฟ้าดินร่วงหล่นลงพร้อมอสนีบาต และยามที่มันเข้าสู่ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนที่ปกคลุมภูเขาเทียนหมางอยู่ พวกมันทั้งหมดก็ทะลักไหลสู่ถ้ำยักษ์
ในชั่วขณะนั้น อสนีบาตระเบิดพลุ่งพล่าน อณูวิญญาณโปรยปรายเยี่ยงสายฝน
ภาพนั้นช่างน่าตื่นตะลึงจริงแท้!
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอดตะลึงไม่ได้
หากผู้คนรู้ว่านิมิตเหล่านี้เกิดขึ้นจากการหลอมสมบัติวิญญาณของซูอี้ มันคงเพียงพอจะทำให้ทั่วต้าเซี่ยตะลึงอึ้ง!
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอำนาจของสมบัติวิญญาณนี้หลังหลอมเสร็จสิ้นจะทรงพลังเพียงไร!
ผู้ฝึกตนทั้งหลายในนครหลวงจิ๋วติ่งเองก็ตะลึงกับนิมิตซึ่งสะท้อนอยู่เหนือนภา
“เมฆสายฟ้าเปลี่ยนเป็นบุปผา ปราณวิญญาณทะลักไหลเยี่ยงน้ำตก หรือจะมีมหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีวิญญาณผู้ใดกำลังจะก้าวข้ามมหาภัยพิบัติแห่งโลกา?”
“นี่คือหายนะ แต่ก็เป็นนิมิตอันชัดเจนของมหาวิถีซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันหายากในโลกา! มีโอกาสมากที่บนภูเขาเทียนหมางจะบังเกิดมหาสมบัติ!”
“ล้ำเลิศยิ่งนัก!”
…เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในนครหลวง
“ราชวงศ์เซี่ยนี้อยู่ในวิกฤต เกิดปัญหาทั้งภายนอกและภายใน ทว่าวันนี้กลับสร้างนิมิตอันน่าตื่นตะลึง หรือนี่… จะเป็นเค้าลางแห่งความรุ่งโรจน์?”
ใครบางคนครุ่นคิด
“เร็วเข้า กระจายข่าวออกไป ไม่ว่านิมิตนี้จะเกิดขึ้นเช่นไร ราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยต้องวางแผนทำการใหญ่ไว้แน่!”
บางคนคาดเดา
“จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย… นี่จะทำสิ่งใดกัน?”
ใครสักคนสงสัย
“นี่คือนิมิตการเกิดของสมบัติวิญญาณไร้คู่เปรียบ!”
บนชายคาศาลาแห่งหนึ่ง อาเหลิ่งผู้ดูหล่อเหลามีสีหน้าเหลือเชื่อบนใบหน้า “คนในราชวงศ์เซี่ยจะสามารถหล่อหลอมสมบัติระดับนั้นได้เช่นไร?”
ผูซู่หรงซึ่งอยู่ใต้ชายคาศาลาขมวดคิ้ว “ไม่หรอก พวกเขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นจึงมีโอกาสหล่อหลอมสุดยอดสมบัติไร้คู่เปรียบเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? ทว่าเท่าที่ข้ารู้ ไม่มีตัวตนใดในราชวงศ์เซี่ยที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิเลย!”
อาเหลิ่งพึมพำ “สถานที่นี้ผิดปกติ”
ผูซู่หรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “มองหาโอกาสตรวจสอบความเป็นไปของนิมิตนี้”
อาเหลิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบตกลงอย่างแสนรื่นเริง “ช่วงนี้ข้ายุ่งมากจริง ๆ แต่ข้ายินดียิ่งหากจะได้ออกไปเดินเล่นที่ภูเขาเทียนหมางสักหน่อย!”
ผูซู่หรงเตือน “อย่าทำร้ายผู้ใดนะ!”
อาเหลิ่งตอบยิ้ม ๆ “ได้”
พูดจบ เขาก็กระโดดลงจากชายคาแล้วก้าวฉับ ๆ ลับหลังไป
“เจ้าทำอันใดอยู่?”
ผูซู่หรงขมวดคิ้ว
“ในเมื่อจะทำก็ไม่ควรผลัดวันประกันพรุ่ง ข้าจะไปตรวจดูที่ภูเขาเทียนหมางเสียหน่อย”
อาเหลิ่งโบกมือโดยไม่หันกลับมา
ผูซู่หรงมองขึ้นไปบนฟ้า
อสนีบาตแล่นแปลบปลายงดงามตระการสีสัน พวกมันรวมตัวกันที่เหนือภูเขาเทียนหมาง แสงสว่างดุจรัศมีระลอกโชยเยี่ยงน้ำตก งดงามเปี่ยมมนตรา
“เซี่ยอวิ๋นจิ้ง ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริง ๆ หรือ?”
ผูซู่หรงดูคล้ายไม่แน่ใจ
ในขณะเดียวกัน…
นอกนครหลวงจิ๋วติ่ง
ชายชราตาบอดผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาเหนือภูเขาเทียนหมางด้วยดวงตากลวงโบ๋ของเขา
ไม่นานนัก สีหน้าชื่นชมสุดปรีดาก็ปรากฏบนใบหน้าซูบตอบของเขา พลางพึมพำ “ใต้เท้าซูอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งจริง ๆ ด้วย! มีเพียงตัวตนดุจเทพเซียนเช่นเขาเท่านั้นที่สามารถหล่อหลอมวัตถุดิบติดดินรากหญ้าเช่นนี้ให้เป็นสุดยอดสมบัติล้ำค่าได้ง่าย ๆ!”