บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 699 แขกผู้มาเยือน
ตอนที่ 699: แขกผู้มาเยือน
จักรพรรดิเซี่ยกล่าวหยอกล้อ “จุดมุ่งหมายที่พวกเขามาเยี่ยมเยียนสหายเต๋าในครั้งนี้ ข้าไม่รู้หรอก แต่สำหรับราชวงศ์เซี่ยของข้าแล้ว หอดาบโคจรสวรรค์มาในครั้งนี้ก็เพื่อถือโอกาสฉกฉวยประโยชน์”
ถือโอกาสฉกฉวยประโยชน์?
ซูอี้ครุ่นคิดสักครู่จึงเข้าใจ
ขุมกำลังโบราณทั้งเจ็ดมองราชวงศ์เซี่ยเป็นของตาย ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดการต่อสู้ขึ้น
สำหรับขุมกำลังอย่างหอดาบโคจรสวรรค์แล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีทางเพิกเฉยเป็นแน่
เพราะอย่างไรเสียก็ดี นครหลวงจิ๋วติ่งกับภูเขาเทียนหมางที่ราชวงศ์เซี่ยครอบครองนั้นเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างที่สุดในอาณาจักรต้าเซี่ย!
“กล่าวเช่นนี้หมายความว่าหอดาบโคจรสวรรค์คิดจะเข้าเกี่ยวข้องด้วยเช่นนั้นหรือ?” ซูอี้ถาม
จักรพรรดิเซี่ยตอบ “ไม่ พวกเขาไม่ยอมมีเรื่องขัดแย้งกับขุมกำลังโบราณเหล่านั้นหรอก เพียงแค่ต้องการฉวยโอกาสนี้คว้าผลประโยชน์เท่านั้น”
ซูอี้กล่าว “เจ้ารับปากแล้วหรือ?”
จักรพรรดิเซี่ยส่ายหน้า “เปล่า”
ซูอี้กล่าว “เจ้าทำไม่ผิด หากว่ารับปากจะให้ผลประโยชน์แก่พวกเขา ผลที่ได้ไม่ต่างไปจากการอุ้มฟืนดับไฟ ดื่มยาพิษแก้กระหาย”
จักรพรรดิเซี่ยหัวเราะเจื่อนขึ้นมาสักพัก กล่าว “ถ้าเช่นนั้นสหายเต๋าจะยอมพบพวกเขาหรือไม่?”
ซูอี้ตอบ “ย่อมต้องไปพบ”
หอดาบโคจรสวรรค์เป็นขุมกำลังนักดาบแห่งหนึ่ง
เขาต้องการจะดูว่าขุมกำลังนี้มีอะไรจะพูดกับตนเอง
หนังตาของจักรพรรดิเซี่ยกระตุก ก่อนกล่าว “สหายเต๋า หากว่าพวกเขามาในครั้งนี้ไม่ได้มีประสงค์ร้าย สหายเต๋าอย่าได้คิดเอาความกับพวกเขา เพราะอย่างไรเสีย หากว่าผิดใจต่อขุมกำลังยิ่งใหญ่อย่างหอดาบโคจรสวรรค์อีก….”
ยังพูดไม่จบ ซูอี้ก็กล่าวตัดบทเสียก่อนว่า “วางใจเถิด ข้าไม่ใช่คนที่ชอบก่อเรื่องฆ่าฟันคนไม่เลือกหน้าเช่นนั้น”
จักรพรรดิเซี่ย “…”
หากว่าผู้ร้ายกาจยุคโบราณอย่างหวนเฉ่าโหยวกับเยี่ยนจิงอวิ๋นที่ตายด้วยเงื้อมมือของซูอี้มีโอกาสได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกเช่นใด
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จักรพรรดิเซี่ยก็กล่าวขึ้น “ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้พวกเขาไปเยี่ยมเยียนสหายเต๋าในคืนนี้?”
“ได้”
…….
นครหลวงจิ๋วติ่ง ในหอแห่งหนึ่ง
“อาเหลิ่ง เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”
เห็นอาเหลิ่งหน้าตาสกปรกเลอะเทอะกลับมา ผูซู่หรงถึงกับตกใจ
อาเหลิ่งเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดที่ตัวเองเจออย่างละเอียดด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
สุดท้าย เขากัดฟันแน่น “หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะเกิดเป็นเรื่องใหญ่ กระทบกระเทือนไปถึงชีวิตของคนในราชวงศ์เซี่ย ข้าคงจัดการกับคน ๆ นั้นไปแล้ว!”
เขาทำหน้าเจ็บใจ
ผูซู่หรงสังเกตเห็นว่าอาเหลิ่งถึงแม้จะดูสกปรก แต่แท้จริงแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงวางใจลงไปไม่น้อย
นางกล่าวเสียงเบา “คนที่ทำให้เจ้าเสียหน้าได้ หรือว่าในราชวงศ์เซี่ยยังมีตัวตนที่แข็งแกร่งมากอยู่อีกเช่นนั้นหรือ?”
อาเหลิ่งตอบ “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่มั่นใจได้ว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่ตัวตนธรรมดา ทั้งยังรู้เรื่องค่ายกลในเขตนครหลวงจิ๋วติ่งจนถึงขั้นไม่น่าเชื่อ และยังมองพลังที่แอบซ่อนในตัวข้าอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้กระทั่งเซี่ยอวิ๋นจิ้งก็ยังทำได้ไม่ถึงขั้นนี้”
สายตาของผูซู่หรงเกิดประกาย ก่อนกล่าว “ข้าได้ยินมาว่า ในช่วงระยะนี้ ซูอี้ไปภูเขาเทียนหมางทุก ๆ สามวัน ว่ากันว่ากำลังช่วยราชวงศ์เซี่ยซ่อมแซมค่ายกลในเขตนครหลวงจิ๋วติ่ง เจ้าคิดว่าจะใช่คน ๆ นี้หรือไม่?”
อาเหลิ่งตะลึง “เขา?”
ฉับพลันเขาก็หัวเราะพลางส่ายหน้า และกล่าวตอบ “เป็นไปไม่ได้!”
ผูซู่หรงถาม “เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้?”
อาเหลิ่งพูดไม่ออก นิ่งเงียบไปนานจึงกล่าว “ผู้อาวุโสผูคิดว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้เช่นนั้นหรือ?”
ผูซู่หรงส่ายหน้าพลางกล่าว “เจ้าก็บอกแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามอาศัยพลังของค่ายกลในเขตนครหลวงจิ๋วติ่งจึงทำให้เจ้าต้องเสียหน้า และในเมื่อซูอี้สามารถซ่อมแซมค่ายกลนี้ได้ ก็ต้องสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้เป็นธรรมดา”
สายตาของอาเหลิ่งเกิดประกาย พลางกล่าว “มิเช่นนั้น พวกเราไปเจอคน ๆ นี้ดีหรือไม่?”
ผูซู่หรงกล่าว “ไปเจอเขาได้ แต่เจ้าจะต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
อาเหลิ่งราวกับรู้ว่าผูซู่หรงกำลังคิดอะไรอยู่ จึงตอบกลับโดยไม่คิดมาก “ผู้อาวุโสผูจงวางใจได้ ข้าไม่ทำเหลวไหลเป็นแน่! ในโลกนี้มีคนมากมายต้องการฆ่าเขา ขาดข้าสักคนไม่เป็นไรหรอก”
หลังได้ยินเช่นนี้ ผูซู่หรงจึงพยักหน้า
……
ณ สวนน้อยนภาเมฆ
ในช่วงเดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิ แม้กระทั่งแสงตะวันยามโพล้เพล้ก็ยังแลดูงดงามหลากสี
ซูอี้เอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้หวายริมสระด้วยความสบายอารมณ์
ระยะเวลาเจ็ดวัน เขาได้หลอมสร้าง ‘ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์’ ซึ่งเป็นดาบวิถีคู่ชีพออกมาได้ ทำให้ซูอี้อารมณ์ดีไม่น้อย แม้กระทั่งผีเสื้อจันทราที่โยนให้ปลาในสระกินก็ยังเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
“ศิษย์พี่ซู ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นบนภูเขาเทียนหมางในวันนี้ เกี่ยวข้องกับท่านเช่นนั้นหรือ?”
เหวินซินจ้าวถามด้วยความอยากรู้ หญิงสาวนั่งหน้ากองไฟอีกด้านกำลังต้มชาให้ซูอี้ มือขาวเนียนประดุจหิมะ งดงามยิ่งนัก
ซูอี้ส่งเสียงตอบรับอืม จากนั้นจึงกล่าว “เพียงแค่หลอมสร้างดาบวิถีคู่ชีพเท่านั้น ใช่แล้ว เจ้าก็ใกล้จะบรรลุขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว ถึงเวลาหลอมสร้างดาบวิถีคู่ชีพข้าจะช่วยเจ้า”
เหวินซินจ้าวถึงกับตาลุกวาว และกล่าวด้วยความยินดี “ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่ซูล่วงหน้าแล้ว”
ซูอี้หัวเราะ พลางกล่าว “เรื่องเล็กน้อย”
ไม่ว่าจะเป็นเหวินซินจ้าว หรือชิงหว่าน ล้วนมีระดับการฝึกตนในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นสมบูรณ์ทั้งสิ้น
อีกไม่นานเท่าไรก็ต้องเจอกับมหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณ เพื่อบรรลุสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!
เรื่องทำให้ซูอี้นึกถึงเยว่ซือฉานที่จากมหาทวีปคังชิงไปสู่ภูมิมหาแดนดินสวรรค์ลึกลับขึ้นมา
“ด้วยพื้นฐานและพรสวรรค์ของนาง ไม่แน่ตอนนี้นางอาจจะผ่านมหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณกลายเป็นนักดาบขั้นวิถีวิญญาณแล้ว…”
สายตาของซูอี้เลื่อนลอยขึ้นมา
ทันใด เขานึกถึงเรื่อง ๆ หนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวเตือนสติ “ตอนนี้เหลือเวลาเพียงแค่ไม่ถึงสองเดือนแสงสว่างแห่งโลกกว้างก็จะอุบัติขึ้น ถึงเวลานั้น ฟ้าดินจะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน ข้าหวังว่า เจ้าจะสามารถแสวงวิถีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ในตอนนั้น”
เหวินซินจ้าวกล่าวโดยไม่คิดมาก “ข้าจะทำตามที่ศิษย์พี่ซูบอก!”
พูดจบ นางก็รวบแขนเสื้อขึ้น รินน้ำชาวิญญาณที่ต้มเสร็จแล้ว ยื่นให้ซูอี้สองมือ
ซูอี้รับมาแล้วจิบคำหนึ่งเบา ๆ ก่อนกล่าว “ประเดี๋ยวมีคนแปลกหน้ามาหา เจ้า อาจารย์ของเจ้ากับชิงหยากลับเข้าห้องไปก่อน”
เหวินซินจ้าวนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นพยักหน้า และลุกจากไป
ไม่นานนัก
นอกประตูใหญ่ของสวนน้อย มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้น
“ผู้น้อยผูซู่หรง ต้องการพบคุณชายซู”
ซูอี้คาดไม่ถึง
เดิมทีเขาคิดว่าคนที่มาคือคนของหอดาบโคจรสวรรค์
“เข้ามาได้” ซูอี้กล่าว
อย่างรวดเร็ว ผูซู่หรง อาเหลิ่งกับรั่วฮวนผลักประตูเข้ามา
เห็นว่าซูอี้ไม่คิดจะลุกขึ้นมาต้อนรับ อาเหลิ่งถึงกับขมวดคิ้วน้อย ๆ คน ๆ นี้วางท่าไม่เบาเลย!
ผูซู่หรงชายตามองอาเหลิ่งเพื่อเตือนเขา
อาเหลิ่งยิ้มพลางลูบจมูก เป็นการแสดงว่าเข้าใจแล้ว
เวลานี้ รั่วฮวนหญิงสาวชุดกระโปรงสีเหลืองยิ้มพลางร้องทัก “คุณชาย พวกเราเจอกันอีกแล้ว” โนเวล-พีดีเอฟ
สายตาของซูอี้มองไปที่ปลาในสระ พลางเอ่ย “ครั้งก่อนเจ้าหนีไปได้ ตอนนี้เจ้ายังกล้าปรากฏตัวอีก ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าเช่นนั้นหรือ?”
รั่วฮวนนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ยิ้มแหะ ๆ “คุณชายพูดล้อเล่นเก่งจริง”
ผูซู่หรงจึงกล่าวขึ้นมาในเวลานี้ “คุณชายซู ขออภัยที่มารบกวน”
ขณะที่พูด พวกเขาทั้งหมดหยุดยืนอยู่ด้านหนึ่งของสระ
“ไม่จำเป็นต้องกล่าวเรื่องไร้สาระ จงบอกจุดประสงค์การมาเสีย”
ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย แสงตะวันยามเย็นสาดส่องกระทบตัว ทุกอณูรูขุมขนบนตัวราวกับได้รับความสบายตัว
ท่าทางของเขาเช่นนี้ อาเหลิ่งเห็นแล้วรู้สึกขัดลูกตายิ่งนัก จนทนไม่ไหวกล่าวขึ้นมา “เจ้าจะไม่เชิญให้พวกเรานั่งลง เตรียมของหวานน้ำชามาต้อนรับหน่อยหรือ? มองไม่เห็นหัวพวกเราเกินไปแล้วกระมัง?”
ซูอี้ชายตามองดูเขา พลันเอ่ยขึ้นมา “ดูท่าแล้ว ที่เจ้าเจอบนภูเขาเทียนหมางวันนี้คงยังไม่พอ ช่างไม่จดจำใส่ใจบ้างเลย”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ม่านตาของอาเหลิ่งหรี่ลง สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาในทันใด “คนที่ใช้ค่ายกลเขตนครหลวงจิ๋วติ่งทำร้ายข้าในวันนี้ ที่แท้ก็เป็นเจ้าจริง ๆ!”
ผูซู่หรงกับรั่วฮวนมองตากัน เข้าใจได้ในทันใด
“อยากจะแก้แค้น?”
ในที่สุดซูอี้ก็หันไปมองดูอาเหลิ่งอย่างเต็มตา
เพียงแต่ว่าสายตาดูแคลนเช่นนั้นทำให้อาเหลิ่งรู้สึกโกรธมาก
ซูอี้พูดไปเรื่อย ๆ “จักรพรรดิเซี่ยเคยเล่าถึงเรื่องเขากับเผ่าพันธุ์จิ้งจอกบุหลันม่วง บอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ข้าจึงไม่คิดจะเข้าไปยุ่งด้วย มิเช่นนั้น เจ้าคิดว่าวันนี้จะรอดชีวิตออกจากภูเขาเทียนหมางได้เช่นนั้นหรือ?”
อาเหลิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป และกล่าวขึ้นมา “น่าขัน เจ้าเพียงแค่ยืมพลังของค่ายกลเขตนครหลวงจิ๋วติ่งเท่านั้น คิดว่าฆ่าตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณไปไม่กี่คนถึงกับมองไม่เห็นหัวคนอื่นเลยเช่นนั้นหรือ?”
เห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมา ผูซู่หรงจึงรีบส่งเสียงดุ “อาเหลิ่ง! อย่าลืมเรื่องที่เจ้าเคยรับปากข้าก่อนจะมา!”
สีหน้าของอาเหลิ่งเปลี่ยนไป สุดท้ายยังคงระงับอารมณ์ไว้ได้
ซูอี้คร้านจะใส่ใจกันคน ๆ นี้อยู่แล้ว จากนั้นยื่นมือไปหยิบผีเสื้อจันทราออกมา ด้านหนึ่งให้อาหารปลาในบ่อ อีกด้านหนึ่งกล่าว “หากว่าไม่มีเรื่องอื่นอีก จงกลับไปเสีย”
ผู่ซู่หรงสงบสติอารมณ์ ก่อนกล่าว “พวกข้ามาในครั้งนี้ไม่ได้มีประสงค์ร้าย คุณชายซูอย่าได้แสดงท่าทีรังเกียจเช่นนี้ พูดขึ้นมา ครั้งข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการจะพูดคุยกับคุณชายจริง ๆ”
ซูอี้ตอบไม่ใส่ใจ “ว่ามา”
สายตาของผูซู่หรงเป็นประกาย พลางกล่าว “ข้าได้ยินมาว่า คุณชายเคยมีความแค้นกับขุมกำลังโบราณจำนวนไม่น้อย ถึงแม้ตอนนี้จะมีราชวงศ์เซี่ยคอยปกป้องคุ้มครอง ทว่าราชวงศ์เซี่ยในตอนนี้มีเรื่องทั้งภายในและภายนอก ดูแลตัวเองก็ยังเป็นเรื่องยาก เมื่อเกิดอันตรายขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าคงยากที่จะปกป้องคุณชายได้อีก”
นิ่งเงียบไปสักครู่ นางก็กล่าวต่ออีก “แต่ หากว่าคุณชายยอมรับปากข้าเรื่องหนึ่ง ข้าสามารถช่วยคุณชายขจัดภัยอันตรายได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้างดงามของนางแสดงความมั่นใจในตัวเองออกมา “บางทีขุมกำลังโบราณเหล่านั้นอาจจะตั้งตนเป็นใหญ่ในมหาทวีปคังชิงแห่งนี้ แต่ในสายตาของพวกข้า… ยังไม่ถึงกับเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง!”
คำกล่าวนี้พูดได้มั่นใจมาก
ซูอี้กล่าวด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าให้ข้ารับปากเรื่องอันใด?”
ผูซู่หรงยิ้มน้อย ๆ กล่าว “อันที่จริงนั้นง่ายมาก ข้าหวังว่าคุณชายจะออกตัวเป็นฝ่ายตัดสัมพันธ์กับชิงหยวนบุตรสาวของข้า นับแต่นี้ไปต่างคนต่างเดิน ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
ซูอี้ถึงกับตะลึง คิดจนสมองแตกก็นึกไม่ถึงว่าผูซู่หรงมาเพราะเรื่องนี้
แต่ประเด็นสำคัญหรือ ระหว่างเขากับชิงหยวน ดูเหมือนไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมีเลยนี่นา…
ครุ่นคิดสักครู่ เขาจึงเอ่ยถาม “ความสัมพันธ์ที่เจ้าพูดถึง หมายถึงความสัมพันธ์อันใด?”
อาเหลิ่งอดหัวเราะเสียงเย็นชาขึ้นมาไม่ได้ “ซูอี้ พวกเราต่างก็เป็นคนฉลาดด้วยกันทั้งสิ้น เจ้าอย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหน่อยเลย ไม่รู้สึกว่าทำเสแสร้งเช่นนี้มันช่างน่าขันมากเลยเช่นนั้นหรือ?”
ความดูแคลนเขียนติดเต็มหน้าเขา
รั่วฮวนถอนใจเบา ๆ ก่อนกล่าว “คุณชายซู หญิงชายชอบกัน เดิมทีเป็นเรื่องธรรมดา แต่พี่ชิงหยวนไม่มีทางที่จะอยู่กับคุณชายได้ หวังว่าคุณชายจะบังคับม้าไม่ให้ร่วงหล่นหน้าผา กลับตัวได้ทัน เช่นนี้ถือเป็นการดีทั้งต่อคุณชาย และต่อพี่ชิงหยวนด้วย”
นางเงยหน้ามองดูซูอี้ กล่าวจริงจัง “ในทางกลับกัน หากฝืนต่อก็รังแต่จะเป็นการทำร้ายตัวเองและทำร้ายคนอื่น”
ซูอี้ “…”
ในสายตาของพวกเขา เหตุใดจึงดูเหมือนว่าตัวเองไปมีอะไรกับเซี่ยชิงหยวนเสียอย่างนั้น?