บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 7 นิสัยของเทพเซียนเดินดิน
ตอนที่ 7 นิสัยของเทพเซียนเดินดิน
ชายชราในชุดคลุมสงบสติอารมณ์ตนเองอย่างรวดเร็ว
เขาอยู่ในกองทัพมาทั้งชีวิตและผ่านการสู้รบนองเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน มีสถานการณ์น่าอกสั่นใดบ้างที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน?
เขาตระหนักรู้อยู่แล้วว่าโลกใบนี้มีบางผู้คนที่มีทักษะอันน่าทึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้คือคนที่พบเจอได้ยาก!
“ก่อนหน้านี้เจ้าแอบตามพวกเรามาใช่หรือไม่?” จื่อจิ่นขมวดคิ้วทันที
ชายชราที่สวมชุดคลุมตื่นตระหนก เขาไม่รอให้ซูอี้ตอบและชิงพูดก่อน “หลานปู่อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ ด้วยความสามารถของสหายน้อยผู้นี้ เขาจะทำเรื่องไม่สมควรเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
ขณะที่พูด ชายชราโบกมือให้ซูอี้ด้วยใบหน้าชื่นชม “ว่าแต่สหายน้อย ข้าขอถามสหายน้อยอีกครั้ง เจ้าเห็นสิ่งใดอีกหรือไม่?”
ท่านปู่ของนางตอนนี้…
กำลังแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาดออกมา!
ด้วยสถานะของท่านปู่แล้ว ทั้งสิบเก้าเมืองในเขตปกครองอวิ๋นเหอ ไม่มีผู้ใดที่ปู่ของนางจำเป็นต้องกล่าวด้วยอย่างสุภาพแบบนี้
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองซูอี้อีกครั้ง ร่างกายของเขาสูงโปร่ง ใบหน้าขาวสะอาด นับว่าดูดีไม่น้อย
แต่ว่าคลื่นพลังของเขานั้นเบาบางและเกือบจะธรรมดา ราวกับว่าเขาไม่มีตันเถียนสำหรับบ่มเพาะ…
เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
ขอบเขตการบ่มเพาะของบุคคลผู้นี้จะอยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวจนนางไม่อาจคาดเดาได้?
นางมีภูมิหลังจากตระกูลที่ไม่ธรรมดา จึงเคยได้ยินอาวุโสในตระกูลกล่าวไว้เมื่อยังเยาว์ว่าในโลกนี้มีคนที่เลิศล้ำดุจดั่งเทพเซียน พวกเขาดูคล้ายกับมนุษย์ธรรมดา แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัว ขอบเขตพลังของพวกเขาอยู่เหนือวิถียุทธ์และวิถีแรกเริ่ม!
คนตรงหน้านี้อาจจะไม่ใช่ชายหนุ่ม แต่เป็นผู้อาวุโสผู้มีตบะเป็นเลิศใช่หรือไม่?
เมื่อไตร่ตรองแล้ว หัวใจของจื่อจิ่นพลันสั่นสะท้าน แววตาฉายความประหลาดใจออกมาอย่างชัดเจน
ซูอี้คงคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจื่อจิ่นจะคิดไปไกลได้ถึงเพียงนี้เพียงแค่เพราะว่านางเห็นปู่ของนางแสดงท่าทีนอบน้อมต่อเขา
เมื่อเผชิญกับคำถามของชายชรา ซูอี้กล่าวตอบเสียงเรียบ
“กล่าวก็คือ ด้วยการบ่มเพาะขั้นสามในเขตหลอมกำเนิดของท่าน แม้คราวนี้ท่านจะสามารถเก็บเกี่ยวหญ้าหกหยินและดอกทานตะวันได้ ข้าก็เกรงว่าท่านจะยังไม่อาจทะลวงข้ามขอบเขตไปได้”
หลังจากหยุดชั่วขณะ เขาจึงกล่าวต่อ “กล่าวอีกนัยหนึ่ง ท่านคงจะคาดเดาไว้แล้วว่าด้วยอายุและรากฐานในปัจจุบันของตน เพียงแค่วิธีการบ่มเพาะธรรมดา ท่านจะไม่สามารถก้าวหน้าในวิถียุทธ์ได้ ดังนั้นท่านจึงคิดว่าจะใช้สองสมุนไพรวิเศษนี้เพื่อทะลวงผ่านขอบเขตใช่หรือไม่?”
ร่างกายของชายชราในชุดคลุมแข็งค้าง แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มเหงื่อ ราวกับว่าความลับทั้งหมดในจิตใจถูกมองทะลุผ่านได้
หากซูอี้คาดเดาที่มาของอาการบาดเจ็บได้เพียงอย่างเดียว เขาคงรู้สึกสงสัยเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ตอนนี้เขามั่นใจยิ่งว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้ต้องเป็นผู้เลิศล้ำแน่นอน!
“ท่านปู่ เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร…” จื่อจิ่นอุทานออก
นางไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป ใบหน้างดงามเผยความตื่นตระหนกออกอย่างชัดเจน
แต่สำหรับซูอี้ที่ผ่านการฟื้นคืนความทรงจำของชาติที่แล้วได้ การพูดกล่าวเพียงแค่นี้ยังเป็นเรื่องง่ายดายเกินไป
“ดวงตาของเซียนเชิง*[1]คมปลาบราวกับเหยี่ยว ชายชราผู้นี้นับถือนัก!”
ชายชราในชุดคลุมถอนหายใจพร้อมกับยกมือคำนับ เขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกซูอี้จากสหายน้อยเป็น ‘เซียนเชิง’ และไม่กล้าถามสิ่งใดต่อ
ซูอี้พยักหน้ารับอย่างเงียบงัน
ขอบเขตหลอมกำเนิด หรือเรียกอีกอย่างว่าขอบเขตปรมาจารย์!
จากประสบการณ์สิบเจ็ดปีของชายหนุ่มในโลกใบนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าด้วยสถานะของปรมาจารย์แห่งวิถียุทธ์ของชายชราสวมเสื้อคลุม ไม่ต้องพูดถึงในเมืองกว่างหลิง แม้แต่ในเขตปกครองอวิ๋นเหอทั้งหมดเขาก็ยังถูกมองว่าเป็น ‘ยักษ์ใหญ่!’ ผู้น่าเกรงขาม
อย่างไรแล้วอาณาจักรโจวก็ขาดแคลนซึ่งพลังวิญญาณ ดังนั้นผู้ที่บ่มเพาะมาจนถึงขอบเขตปรมาจารย์ได้ ย่อมสมควรได้รับบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายอย่างสมเกียรติ
ตามปกติแล้ว เป็นเรื่องยากมากที่ชายชราสวมชุดคลุมจะปฏิบัติตนอย่างนอบน้อมต่อผู้อื่น ด้วยฐานะปรมาจารย์ของอาณาจักรโจว
“เซียนเชิง หากท่านสามารถมองเห็นอาการบาดเจ็บของปู่ข้าได้ อย่างนั้นท่านก็คงมีวิธีรักษาอาการบาดเจ็บของปู่ข้าด้วยใช่หรือไม่?”
จื่อจิ่นอดไม่ได้ที่จะถาม ใบหน้ารูปไข่เผยความสัตย์ซื่อออกมา นางค่อนข้างคาดหวังกับคำตอบยิ่ง
ในอาณาจักรโจว เหล่าปรมาจารย์ถูกมองเสมือนกับมังกร ทุกคนย่อมต้องให้ความเคารพ
แค่ปรมาจารย์เพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะกำหนดชะตาของตระกูลว่าจะรุ่งโรจน์หรือล่มสลายได้
และต้องรู้ว่าปู่ของนางนั้นแข็งแกร่งมากกว่าปรมาจารย์วิถียุทธ์ทั่วไปอีกต่างหาก
หากปู่ของนางเป็นอะไรไปขึ้นมาเพราะอาการบาดเจ็บเช่นนี้ เรื่องนี้ย่อมทำให้ทุกคนในตระกูลได้รับผลกระทบร้ายแรง!
เมื่อเห็นความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของซูอี้แล้ว จื่อจิ่นที่กำลังกังวลดูเหมือนว่าจะเห็นแสงสว่างอันริบหรี่ขึ้นมา
“ชายชราผู้นี้มีนามว่าเซียวเทียนเชวี่ย ในเขตปกครองอวิ๋นเหอแห่งนี้ชายชราผู้นี้พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง หากเซียนเชิงสามารถช่วยชีวิตข้าได้ ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตาของท่านเลย!”
ชายชราในชุดคลุมลอบมีความหวังเล็ก ๆ ในใจ เขาก้มศีรษะลงพร้อมยกมือคำนับอย่างน้อบน้อม
ในฐานะปรมาจารย์วิถียุทธ์ที่ครองอำนาจมาหลายปี เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือผู้ที่เหนือกว่าตนเอง เพราะถ้าสมมติเป็นตัวเขาเองมาเห็นสภาพร่างกายของเขาตอนนี้ เขาย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นอาการบาดเจ็บนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ ชายชราจึงยกสถานะของซูอี้ไว้ในจุดที่เรียกขานว่า ‘ผู้ลึกล้ำยากหยั่งถึง’
“หากข้ารักษาอาการบาดเจ็บนี้ไม่ได้ แล้วข้าจะพูดสิ่งก่อนหน้านี้ไปได้อย่างไร?” ซูอี้หัวเราะออกมา
ดวงตาของเซียวเทียนเชวี่ยและหลานสาวจื่อจิ่นทอประกายแห่งความหวัง
“ตราบใดที่เซียนเชิงช่วยรักษาโรคของชายชราผู้นี้ได้ ข้ายินยอมทำตามทุกสิ่งที่ร้องขอ!”
การแสดงออกของเซียวเทียนเชวี่ยเปลี่ยนเป็นจริงจัง และน้ำเสียงนั้นก็กังวานขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม เขาอดไม่ได้ที่จะกังวล
ในความคิดของเขา สำหรับความอัศจรรย์ของซูอี้แล้ว เพียงแค่ ‘รางวัล’ ทั่วไปคงไม่เพียงพอแน่!
เขารู้ดีว่าราคาที่ต้องจ่ายย่อมไม่ใช่เล็กน้อย
แต่ตราบใดที่มีชีวิตรอด ต่อให้ต้องจ่ายเท่าไหร่เขาก็ยินดี!
“สำหรับเจ้า เจ้าคงคิดว่าสิ่งนี้เป็นหนี้ชีวิตต่อกัน แต่สำหรับข้ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เอาล่ะ เพียงให้ค่าคำปรึกษากับข้าสักเล็กน้อยก็เพียงพอ” ซูอี้คิดไตร่ตรองก่อนจะกล่าวตอบ
“หา?” เซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่นต่างตกตะลึง พวกเขาแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง
“มีปัญหาหรือ?” ซูอี้ถาม
“ไม่ ไม่มี”
จื่อจิ่นรีบส่ายศีรษะด้วยท่าทางแปลก ๆ อีกทั้งนางยังกล่าวติดขัด “ข้าไม่ได้คาดหวัง… ว่า… ที่จริง… มันจะง่ายดาย…”
เมื่อกล่าวตรงนี้ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสับสน
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะไม่หัวเราะ การช่วยเหลือเพียงแค่นี้สำหรับเขามันง่ายไม่ต่างกับการโบกมือ ดังนั้นเหตุใดเขาจึงต้องทำให้คนพวกนี้ยากลำบากด้วย?
เซียวเทียนเชวี่ยถอนหายใจพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น “หลานปู่ เจ้ารู้หรือไม่ ในสายตาของตัวตนอย่างท่านเซียนเชิง เงินตราคือสิ่งไร้ค่า แต่เหตุผลที่ท่านเซียนเชิงร้องขอจากเราเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้เราติดค้างบุญคุญต่อกัน”
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง” จื่อจิ่นตกตะลึง
นี่คือวิสัยแห่งผู้เลิศล้ำ เขาไม่สนใจที่จะให้ใครเป็นหนี้บุญคุญต่อตน!
จื่อจิ่นหยิบตั๋วเงินออกมาจากกระเป๋าของตนอย่างรวดเร็ว และยื่นมันให้ซูอี้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะกล่าว
“เซียนเชิง นี่คือตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน มันคือสิ่งตอบแทนจากท่านปู่และข้า โปรดรับไว้เถิด”
ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน ยื่นมันออกมาง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ?
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ก่อนจะตระหนักว่าทั้งปู่และหลานสาวตรงหน้าตนอาจจะร่ำรวยกว่าที่เขาคิดก็ได้
ที่ชายหนุ่มมีความคิดเช่นนี้เป็นเพราะเขาเห็นการกระทำของตระกูลเหวินมาโดยตลอด แม้ตระกูลเหวินจะมีฐานะเป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักของเมืองกว่างหลิง แต่ตระกูลเหวินก็ยังแจกจ่ายค่าขนมให้กับพี่น้องเหวินหลิงเจาและเหวินหลิงเสวี่ยเพียงเดือนละสามร้อยตำลึงเงินเท่านั้น
“หนึ่งหมื่นตำลึงเงินนั้นมากเกินไป” ซูอี้ส่ายศีรษะ
แม้จะต้องการเงินเร่งด่วนเพื่อไปซื้อสมุนไพร แต่เขาก็ไม่สนใจที่จะรับลาภลอยเช่นนี้
เซียวเทียนเชวี่ยลอบถอนหายใจอีกครั้ง
เขามั่นใจมากขึ้นอีกว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้ไม่สนใจว่าเขาจะมีเงินเท่าไหร่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในสายตาของผู้เลิศล้ำคนนี้… บางทีการรักษาอาการบาดเจ็บนี้นั้นมันไม่สำคัญเลยจริง ๆ ก็เป็นได้!
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ละโมบอยากรับเงิน ทั้งยังไม่เต็มใจที่จะติดค้างหนี้บุญคุณต่อกัน แถมยังสามารถมองเห็นรายละเอียดของตนได้ในพริบตา หากอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้เลิศล้ำในตำนาน ตัวเขาเองคงเป็นได้แค่ขอทานเท่านั้น!
ยิ่งเซียวเทียนเชวี่ยได้เผชิญหน้ากับซูอี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งให้ความเคารพอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น
เขากำลังวางแผนและเริ่มมองอนาคตในระยะยาว ทั้งยังลอบตัดสินใจว่าหากอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามเขาจะต้องสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มผู้นี้ให้ได้!
ในเวลานี้ จื่อจิ่นยิ่งเผยท่าทางประหม่าพร้อมกล่าวต่อ “แต่ในบรรดาตั๋วเงินที่ข้าพกอยู่ทั้งหมดมูลค่าต่ำสุดที่มีคือหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน…”
ซูอี้ “…”
ในอาณาจักรโจวแห่งนี้ ตระกูลนี้ต้องร่ำรวยเพียงใดจึงให้เด็กสาวคนนี้ถือเงินติดตัวมากขนาดนี้?
อย่างไรก็ตาม เซียวเทียนเชวี่ยเผยน้ำเสียงจริงจัง “เซียนเชิง สำหรับมนุษย์ธรรมดาในโลกนี้ ตั๋วเงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงเงินนั้นมหาศาลก็จริง แต่สำหรับเราแล้ว มันไม่มีความหมายใด และมันก็ยังห่างไกลจากสิ่งที่ข้าควรตอบแทนต่อท่าน”
“อย่างที่ท่านได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ สำหรับท่านแล้วมันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับชายชราผู้นี้ มันคือหนี้ชีวิต!”
หลังกล่าวจบเขาโค้งคำนับอย่างจริงใจ “ข้าขอวิงวอนให้ท่านยอมรับตั๋วเงินของเราด้วยเพื่อให้ชายชราและหลานสาวได้สบายใจเถิด”
เมื่อเห็นท่านปู่กล่าวเช่นนี้ จื่อจิ่นจึงกังวลพร้อมกล่าวอย่างเคารพ
“เซียนเชิง โปรดอย่าได้ขบขันในการกระทำของเราปู่หลานเลย ในเมืองกว่างหลิง ต่อให้ต้องใช้ตั๋วเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงเงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิตของท่านปู่ พวกข้าก็ไม่คิดลังเล แล้วนับประสาอะไรกับตั๋วเงินเพียงหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน?”
“ท่าน… ได้โปรดรับมันไว้ ไม่อย่างนั้นท่านปู่และข้าคงต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต” ขณะที่นางกล่าวคำออก นางก็ได้โค้งคำนับพร้อมยื่นตั๋วเงินด้วยสองมืออีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็หัวเราะออกมา
เดิมทีเขามีความคิดที่จะยกให้ แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะยืนกรานมอบเงินเช่นนี้…
เขาขี้เกียจเกินกว่าจะปฏิเสธอีกต่อไป จึงรับตั๋วเงินนั้นไว้และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ ๆ แต่หลังจากนี้พวกเจ้าทั้งสองไม่จำเป็นต้องมอบของขวัญอะไรให้ข้าอีกแล้ว มิฉะนั้นค่ารักษาคงจะมากเกินไป”
เซียวเทียนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มกว้างทันที
จื่อจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้านั้นผ่อนคลายลงและเปี่ยมความสุข
“หากเจ้าต้องการรักษาอาการบาดเจ็บ นอกจากจะต้องกินยาติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดวัน เจ้ายังต้องใช้ทักษะลับเพื่อขับพิษศพหกหยินออกจากอวัยวะภายในทั้งห้า ด้วยวิธีนี้พิษร้ายทั้งหมดที่ซ่อนอยู่จะถูกกำจัดออกไปโดยสมบูรณ์”
ซูอี้กล่าวคำก่อนจะเขียนใบสั่งยา มีสมุนไพรมากกว่าสามสิบชนิด ซึ่งไม่มีสมุนไพรใดที่เป็นของหายาก
มีเพียงส่วนผสมที่ไม่ใช่สนไพรเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่หายากและมีค่ายิ่ง มันคือคราบคางคกหยกอายุสิบปี
อย่างไรก็ตาม ซูอี้เชื่อว่าคนระดับปรมาจารย์อย่างเซียวเทียนเชวี่ยย่อมสามารถหามันได้
“ขอขอบคุณเซียนเชิงยิ่งสำหรับใบสั่งยานี้!”
หลังจากจดจำยาทั้งหมดได้แม่นยำแล้ว เซียวเทียนเชวี่ยโค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
ซูอี้พยักหน้ารับและกล่าวว่า “ใช้ยาพวกนี้เป็นเวลาเจ็ดวัน หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน มารอข้าที่นี่ แล้วข้าจะช่วยกำจัดพิษที่ตกค้างในร่างกายเจ้าให้สมบูรณ์”
“ตอนนี้ข้ามีเรื่องอื่นต้องทำ ขอตัวก่อน” หลังจากพูดจบ ซูอี้จึงหันหลังกลับ
จนกระทั่งร่างของซูอี้หายลับไป
จากนั้นจื่อจิ่นค่อยสงบใจลง น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย นางกล่าวคำเบา
“ท่านปู่ หากเซียนเชิงผู้นั้นไม่ล่วงรู้ความลับของท่านมากขนาดนี้ ข้าคงมองว่าเขาเป็นเพียงนักต้มตุ๋นเท่านั้น”
เซียวเทียนเชวี่ยหัวเราะก่อนจะตอบคำ “หลานปู่ เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ มันก็แค่ตั๋วเงินเพียงหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน เจ้ามองบุรุษผู้นั้นผิดแปลกไปได้อย่างไร ดูจากการกระทำของเซียนเชิงแล้ว อย่างไรก็คือผู้ที่อยู่เหนือเราทั้งสอง!”
“จำไว้เถิด คราวหน้าหากได้พบกับเขาอีกครั้ง เจ้าต้องถ่อมตัวและนอบน้อมให้ยิ่งกว่า ห้ามละเลยเด็ดขาด!”
ถึงตอนนี้ ท่าทีของชายชราพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
จื่อจิ่นพยักหน้าพร้อมตอบกลับอย่างเชื่อฟัง “ท่านปู่ไม่ต้องกังวล ข้าย่อมจดจำ”
เซียวเทียนเชวี่ยถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ข้าเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าข้าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันหลังกลับจากสันเขามารดาภูตผี ใครจะคาดคิดว่าข้าจะพบผู้เลิศล้ำโดยบังเอิญ แถมเขายังให้คำแนะนำแก่ข้า ใบสั่งยานี้คือของขวัญล้ำค่า… นี่ข้าโชคดีเพียงใดกัน?”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ จู่ ๆ เขาก็ยกมือตบศีรษะตนเองอย่างแรง ด้วยนึกอะไรบางอย่างออกอย่างกระทันหันก่อนจะสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “บัดซบ เมื่อครู่ข้าก็ลืมถามชื่อของเซียนเชิงไปเสียสนิท!”
[1] เซียนเชิงเป็นสรรพนามยกย่องบุรุษ