บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 70 อนุสรณ์แด่เก๋อฉางหลิง อักขระของซูเสวียนจวิน
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 70 อนุสรณ์แด่เก๋อฉางหลิง อักขระของซูเสวียนจวิน
ตอนที่ 70 อนุสรณ์แด่เก๋อฉางหลิง อักขระของซูเสวียนจวิน
ในความมืดมิดยามค่ำคืน ซูอี้กับชิงหว่านเดินไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ตลอดทางได้ยินเพียงเสียงร้องของแมลง เสียงลมพัดต้นไม้ใบหญ้า และเสียงร้องของสัตว์ป่า นอกจากนี้แล้วหาได้พบเจอภูตผีตัวใดไม่
ซูอี้ตระหนักทราบต้นเหตุเป็นอย่างดี
เสือร้ายออกตระเวน สัตว์ป่าย่อมหลบเลี่ยง
สำหรับภูตผีเหล่านั้น กลิ่นอายวิญญาณจากร่างของชิงหว่านเปรียบดังเสือ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้พวกมันหนีไปด้วยความกลัว
กระนั้นแล้ว ชิงหว่านก็เป็นสตรีขี้อาย เกรงว่านางคงไม่ได้ตระหนักทราบถึงเรื่องนี้
ตลอดทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หลังผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป
หมอกหลากสีปรากฏขึ้นในความมืดยามราตรี หากมองจากที่ไกลห่าง พวกมันจะดูเหมือนราวกับแถบแพรไหมหลากสีสันร่วงหล่นสู่โลก เป็นประกายต้องตา โดดเด่นในยามค่ำคืน
แน่นอนว่าสถานที่ซึ่งปรากฏหมอกหลากสีสันปกคลุม มันคือป่าท้ออันลึกสุดสายตา
จากระยะไกล ชิงหว่านหยุดชะงัก คำกล่าวออกอย่างหวาดหวั่น “นายท่าน ปราณหยินอันชั่วร้ายอยู่ลึกในป่าท้อตรงหน้า และยิ่งไปกว่านั้นข้าสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างอันชวนสะพรึงอยู่ภายในนั้นด้วย ราวกับว่าพลังนั้นดำรงอยู่เพื่อกักขังภูตผีเช่นตัวข้า”
ซูอี้รับชมอยู่ครู่หนึ่ง แววตาเกิดเป็นความประหลาดใจ ถ้อยคำนุ่มนวลกล่าวออก “ที่นี่มีพลังหยินปกคลุมพลังหยาง ซึ่งพลังหยางในที่แห่งนี้ให้กำเนิดพลังหยิน จนเกิดเป็น ‘แดนหยินหยาง’ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอดอกท้อถึงคละคลุ้งเต็มพื้นที่แห่งนี้ได้มากมายขนาดนี้”
หมอกหลากสีสันงดงามต้องตานั้นคือหนึ่งในพิษร้ายรุนแรง เรียกขานกันว่า ‘ไอดอกท้อ’
ยามที่สิ่งมีชีวิตเข้าใกล้และสัมผัสเข้ากับไอดอกท้อ ร่างกายจะเกิดผื่นหนอง
ขณะนี้เอง ซูอี้หัวเราะเบา “หากคาดเดาไม่ผิด ป่าท้อแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงชีพจรวิญญาณหยินคงอยู่ แต่ยังมีต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์หยั่งรากอยู่บนชีพจรวิญญาณหยินอีกด้วย!”
เขานึกไว้ไม่ผิด
ซากศพหยินหกสมบูรณ์คงจะทราบอยู่เช่นกันว่าชีพจรวิญญาณหยินฝังอยู่ที่นี่ แต่กระนั้นมันกลับไม่กล้าแม้เข้าใกล้ป่าท้อตรงหน้า
เหตุผลอันเข้าใจได้ง่าย เป็นเพราะปราณของต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์ มันคือเครื่องพันธนาการพลังหยินและสิ่งชั่วร้าย!
“ไอดอกท้อมากมายเพียงนี้ ต้นท้อไฟต้องมีอายุอย่างน้อยห้าร้อยปี ทั้งแกนและผลของต้นสมควรอยู่ระดับที่สี่แล้ว ในอาณาจักรโจวนี่ถือเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากล้ำ!”
คิดได้ดังนี้ ซูอี้เกิดยินดีอยู่ภายในที่ไม่ด่วนตัดสินใจเดินทางกลับ หากไม่แล้วคงพลาดโอกาส
“ถือซีกไผ่นี้ไว้”
ซูอี้นำซีกไม้ไผ่ออกมา หนึ่งถือไว้กับตนเอง อีกหนึ่งมอบให้ชิงหว่าน
ซีกไม้ไผ่นี้มีอักขระระดับต่ำแกะสลักเอาไว้ มันคือ ‘อักขระอาภรณ์พิสุทธิ์’ ยามถือไว้ในมือจะสามารถขับไล่พลังชั่วร้าย ป้องกันพิษสีชาด ไอพิษ และพิษจากซากศพ มันเป็นอักขระอีกรูปแบบหนึ่งที่ซูอี้ตระเตรียมไว้เพื่อใช้ในภูเขามารดาภูตผี
ทันทีที่ชิงหว่านถือมันเอาไว้ในกำมือ นางก็รับรู้ได้ถึงกระแสปราณอบอุ่นกำลังเคลือบคลุมร่าง เป็นเหตุให้เกิดรู้สึกสบายอย่างยากพูดกล่าว
จากนั้นทั้งสองจึงมุ่งตรงสู่ป่าท้อโดยพร้อมกัน
ซู่ซู่~~
ไอดอกท้อเกิดประกายเปล่งแสงถอยห่างให้ทั้งสองราวกระแสน้ำแหวกออก ราวพวกมันไม่คิดอยากเข้าใกล้ เป็นภาพอันชวนอัศจรรย์
ชิงหว่านพบเห็นจึงเกิดชื่นชม วัตถุของนายท่าน ถือเป็นสิ่งวิเศษที่ยากหาใครเหมือน
หลังจากไอดอกท้อซึ่งเดิมคือพิษร้ายได้หลบลี้ ทั้งสองจึงเดินทางต่อโดยไร้อุปสรรคเป็นระยะทางหลายลี้
ซูอี้หยุดเท้า
ท่ามกลางความมืดมิดในระยะไกลห่าง มีต้นท้อหนึ่งทอประกายเจิดจ้าด้วยอัคคี ส่องสว่างเห็นเด่นชัดยากที่จะไม่สังเกตเห็น
มันเป็นต้นท้อขนาดไม่ใหญ่ สูงราวหนึ่งจั้ง กิ่งก้านแผ่สยายคล้ายดังร่ม ตัวใบคล้ายดังหยก เปล่งประกายเป็นสีคราม
ลำต้นประกอบด้วยเปลือกไม้โบราณ คล้ายกับถูกหุ้มด้วยเกล็ดมังกร
ประกายอัคคีที่โหมซัดกระจายออก ยามรับชมต้นท้ออยู่ไกลห่าง มันให้ความรู้สึกราวกับต้นท้อนี้กำลังถูกเผา ประหนึ่งดวงอาทิตย์สาดแสงอันร้อนแรง
“มีแต่หยิน หยินไม่อาจคงอยู่ มีแต่หยาง หยางไม่อาจก่อเกิด ในแดนหยินหยางแห่งนี้ มีเพียงชีพจรวิญญาณหยินเท่านั้นที่จะสามารถหล่อเลี้ยงให้ต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์เติบโตขึ้นได้”
ซูอี้เกิดรู้สึกวางใจขึ้นมา
อาจกล่าวได้ว่า การเดินทางสู่ภูเขามารดาภูตผีวันนี้ หาได้มีสิ่งใดเทียบเท่าต้นท้อไฟตรงหน้า!
ยิ่งไปกว่านั้น เศษส่วนของชีพจรวิญญาณหยินที่ยังอยู่ภายใต้ต้นไม้นี้ ความล้ำค่าของมันไม่ใช่เล็กน้อย
“นายท่าน พลังของต้นท้อไฟน่ากลัวเกินไปแล้ว ข้า…ข้าไม่กล้าเข้าใกล้มัน…”
ชิงหว่านหลบยืนไกลห่าง ตัวสั่นกลัว ประหนึ่งมีอักษรหวาดเกรงเขียนปรากฏไว้บนหน้า
ไม้ท้อ มันมีฤทธิ์วิเศษในการสะกดภูตผี
ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จะมีการตัดไม้ท้อไปทำเป็นยันต์ วางไว้ด้านหลังประตูเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย ปัดเป่าเภทภัย ซึ่งเป็นที่หวาดเกรงของภูตผีทั้งปวง
และที่อยู่ตรงหน้าไกลห่างคือต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์ ทั้งต้นเทียบได้กับวัตถุวิญญาณระดับสี่ พลังของมันอัดแน่นเต็มเปี่ยม มีหรือภูตผีทั้งหลายจะต้านรับได้ไหว?
แต่หากชิงหว่านฝึกฝนสำเร็จเป็น ‘ผีวิญญาณ’ และเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด ถึงตอนนั้นนางจะไม่หวาดเกรงต่อวัตถุวิญญาณเช่นนี้อีกแต่อย่างใด
“เจ้ารอที่ตรงนี้ได้”
สิ้นคำกล่าว ซูอี้ก็ก้าวเดินไปด้านหน้า เขาจึงได้เห็นต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์นี้มีอายุราวแปดร้อยปี ซึ่งเก่าแก่กว่าที่เขาคาดไว้แต่แรกไม่ใช่น้อย
ภายใต้กิ่งและใบของต้นท้อ ปรากฏผลสีแดงประหนึ่งอัคคีห้อยอยู่ เป็นผลึกใสราวดวงตะวันขนาดเล็ก พบเห็นเลือนรางภายใต้ใบสีเขียว
แต่แล้ว ยามซูอี้เข้าไปใกล้ ดวงตาพลันต้องหรี่ลง
ผืนดินข้างต้นท้อไฟที่หยั่งราก มันปรากฏจารึกหินแผ่นหนึ่ง
บนแผ่นหินเขียนไว้ ‘เก๋อฉางหลิงฝากจารึกไว้ที่นี่ สรรพชีวิตในโลกห้ามเข้าใกล้ต้นท้อ หากไม่จะต้องโทษอันหนักหนา!’
ลายมือนี้หนักแน่นและเถรตรง แสดงชัดถึงเจตนาข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง
เก๋อฉางหลิง?
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย สืบค้นจากความทรงจำช่วงสิบเจ็ดปีที่ผ่านพ้น คล้ายว่าชื่อนี้คุ้นอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ใช่จดจำได้
แต่มันทำให้เขาได้ตระหนักถึงสิ่งหนึ่ง ต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์นี้คงเป็นเก๋อฉางหลิงค้นพบมันมาก่อนยาวนานแล้ว ป้ายนี้กล่าวเตือน เพื่อไม่ให้มีผู้ใดเข้าใกล้
“วัตถุวิญญาณเช่นนี้ ถือกำเนิดตามธรรมชาติ กล้าพูดกล่าวได้อย่างไรว่ามีใครเป็นเจ้าของ?”
ซูอี้ยิ้มพลางส่ายศีรษะ เขาไม่คิดเห็นด้วย
กระนั้นแล้ว ยามคิดเข้าใกล้ ต้นท้อไฟกลับสั่นไหว ระหว่างกิ่งและใบ เปลวไฟควบแน่นรวมตัว ก่อเกิดตัวตนรูปลักษณ์เตี้ยราวคนแคระร่างหนึ่ง
ร่างคนแคระที่เล็กประหนึ่งเด็กน้อย คิ้วและเส้นผมเป็นสีขาว ดวงตาสองข้างเป็นสีฟ้าคราม
ทันทีที่ปรากฏตัว ร่างนั้นตะโกนคำออก “เจ้าหนุ่ม! ไม่พบเห็นอักษรบนแผ่นจารึกหรืออย่างไร รีบออกไปได้แล้ว! หากไม่ อย่ากล่าวหาว่าตาแก่ผู้นี้ไร้มารยาทพลั้งเผลอสังหารเจ้า!”
น้ำเสียงบ่งชัดว่าข่มขู่
ซูอี้มองยังร่างคนแคระ คิ้วเลิกขึ้นพร้อมกล่าวคำ “ก็นึกว่าเป็นอะไร กลับกลายเป็นตัวประหลาดน้อยสิงสู่เฝ้าในต้นไม้นี่เอง”
คนแคระเกิดนิ่งงัน ถ้อยคำกล่าวออกโกรธเกรี้ยว “ยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำนมวาจากลับอหังการ กล้าดีเช่นไรดูหมิ่นข้า!?”
ซูอี้ก้าวออกไปด้านหน้า แววตาทอประกายเย็นเยือกชวนสะพรึงข่มขวัญ จับจ้องยังคนแคระ ถ้อยคำแผ่วเบากล่าวออก
“ขนาดจักรพรรดิปีศาจจากแดนใต้พิภพยังไม่กล้าบังอาจอวดดีต่อหน้าข้า ตัวประหลาดน้อยเช่นเจ้าจำเป็นหรือที่ข้าจะต้องเกรงใจ?”
ยามที่เผชิญสายตาของซูอี้ คนแคระเกิดรู้สึกราวจิตและวิญญาณสั่นไหว บังเกิดเป็นความหวาดกลัวทะลักล้น ถ้อยคำไม่อาจเอื้อนเอ่ย ประหนึ่งพบเจอเทพเจ้าผู้มาเยือน กายจึงสั่นงันงก ร่วงหล่นลงจากต้นไม้เกิดเป็นเสียงดัง ร่างจมฝังกับพื้น
“ท…ท่านเซียนผู้สูงส่ง! โปรดอภัยแก่ข้าด้วย โปรดอภัยแก่ข้าด้วย!”
คนแคระกลับกลายเป็นคุกเข่า กราบกรานร้องขอความเมตตา ร่างกายสั่นเทารุนแรง แสดงชัดว่ายอมศิโรราบ
“แค่เพียงเศษเสี้ยวกลิ่นอายดาบเก้าคุมขัง กลับชวนสะพรึงได้เพียงนี้ ไม่นึกแปลกใจเลยที่ตลอดช่วงปีอันนับไม่ถ้วน มันจึงถูกคุมขังเอาไว้ไม่ให้อาละวาดสร้างความปั่นป่วนไปทั่วเก้าแดน”
ซูอี้ลอบส่ายศีรษะ
สองมือเขาไพล่ด้านหลัง สายตามองยังต้นท้อไฟและกล่าวคำ “ลุกขึ้น ตราบเท่าที่ตอบคำถามข้าตามตรง ข้าจะละเว้นที่เจ้าล่วงเกินครั้งนี้ให้”
“ขอบคุณท่านเซียนที่เมตตาไว้ชีวิต!”
คนแคระกราบกรานหลายครั้งต่อเนื่อง ก่อนจะค่อยกล้าลุกขึ้นยืน
ซูอี้ชี้ไปยังอักษรบนแผ่นจารึกและกล่าวถาม “เก๋อฉางหลิงคือผู้ใด?”
“เรียนท่านเซียน เก๋อฉางหลิงคือ ‘ราชากลืนสมุทร’ หนึ่งในเก้า อ๋องแห่งอาณาจักรโจว เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตที่สี่แห่งวิถียุทธ์ ‘ขอบเขตไร้แพร่งพราย’ เมื่อสามสิบปีก่อนตอนที่เขามาพบเจอที่นี่ ตัวตนของเขาก็ถือเป็นหนึ่งในสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่โลกหล้าให้การยอมรับ”
คนแคระกล่าวด้วยความนอบน้อม
ภายใต้สี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์ ขอบเขตไร้แพร่งพรายถือเป็นลำดับสุดท้าย ผู้ที่บรรลุขอบเขตนี้ได้จะเปรียบดังก้าวเข้าสู่แดนแรกกำเนิด และทั้งร่างจะถือกำเนิดใหม่
จะได้รับสมญานามเป็น ‘บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์’ เป็นรองแค่เพียง ‘เทพเซียนเดินดิน’ ในตำนานก็เท่านั้น
คนแคระแอบเหลือบมองซูอี้ และเมื่อพบเห็นสีหน้าซูอี้ยังคงเฉยเมย ประหนึ่งว่าไม่ได้สนใจแม้เพียงนิด ท่าทีอันสงบนิ่งนี้เป็นเหตุให้เขาต้องสั่นกลัวอีกครา
บุรุษหนุ่มผู้นี้เข้ามาที่นี่ได้โดยง่ายดาย ปราณในร่างอีกฝ่ายที่แผ่ออกเมื่อครู่ชวนสะพรึงล้นพ้น แถมขณะนี้ยังไม่แม้สนใจบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์แม้เพียงนิด หรือว่า… อีกฝ่ายจะเป็นตัวตนอันชวนสะพรึงมากล้ำกว่าบรรพชนยทธ์ปฐมสวรรค์?
“เก๋อฉางหลิงผู้นี้ไม่ตัดต้นไม้ไปแต่แรก คงวางแผนเก็บลูกท้อไฟทุกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ใช้เป็นโอสถวิญญาณเพื่อสร้างรากฐานจนบรรลุวิถีต้นกำเนิดกระมัง?”
ซูอี้เอ่ยถาม
คนแคระรีบกล่าว “สายตาท่านเซียนเฉียบแหลมเหนือล้ำ ครั้งนั้นราชากลืนสมุทรกล่าวเอาไว้ ท้อไฟนี้ถือกำเนิดโดยธรรมชาติ หากตัดไปจะเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติโดยเปล่า ดังนั้นจึงฝากจารึกหินนี้ไว้เพื่อเตือนไม่ให้ผู้ใดได้เข้าใกล้มัน”
หลังหยุดไปครู่ เขากล่าวคำต่อ “ต้นท้อไฟออกดอกและออกผลทุกสิบปี และออกมากที่สุดครั้งละเก้าลูก ยามคำนวณเวลาแล้ว ในปีนี้ราชากลืนสมุทรน่าจะมาเก็บเอาผลของมันไป”
ซูอี้เผยยิ้มรับกล่าวคำตอบ “เจ้ากำลังกล่าวเตือนข้าอ้อม ๆ หรือไร? ว่าหากเก็บลูกท้อไปแล้ว จะหมายความถึงล่วงเกินราชากลืนสมุทรงั้นหรือ?”
คนแคระตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว คำเร่งร้อนกล่าวตอบ “ผู้น้อยมิกล้า ผู้น้อยมิกล้า! ท่านเซียนโปรดอย่าเข้าใจคำข้าผิดไป!”
ซูอี้ใช้นิ้วจรดคางครุ่นคิด สายตามองยังผลบนต้นท้อไฟและกล่าว “ขณะนี้บนต้นมีผลที่สุกเต็มที่แล้วเพียงใด?”
คนแคระกล่าวตอบตามตรง “สามลูก อีกหกลูกยังต้องใช้เวลาบ่มเพาะ เร็วที่สุดสมควรประมาณครึ่งปี”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา “ไม่เป็นไร เจ้าไปเก็บท้อไฟสามผลนั้นมาเสีย”
ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาอันสุกงอม หากลูกท้อไฟยังไม่เติบโตเต็มที่ ดีที่สุดก็อยู่เพียงระดับที่สอง มูลค่าจะกลายเป็นน้อยนิด
“คือ…” คนแคระลังเลก่อนจะกล่าวคำเสียงเบา “ท่านเซียน…ข้าไม่อาจล่วงเกินท่าน และข้าก็ไม่อาจล่วงเกินราชากลืนสมุทรเช่นกัน ท่าน…”
ซูอี้เดินตรงเข้าหาแผ่นจารึก ข้อมือสะบัดชักดาบสุดแดนดินจากฝัก ใช้ดาบแทนพู่กันตวัดเขียนอักขระลงไป
ยังไม่ทันเศษหินร่วงหล่นพื้นหมดสิ้น ประโยคหนึ่งปรากฏบนแผ่นจารึก
‘ซูอี้รับผลท้อไฟสามลูกในวันที่สี่เดือนสองตามปฏิทินต้าโจว’
ลายมือนี้ชัดเจนและวิจิตร แต่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจ
หลังเขียนเสร็จเรียบร้อย ซูอี้เก็บดาบเข้าฝัก พร้อมหันมองยังคนแคระและกล่าวคำ “หากเก๋อฉางหลิงมาเยือน ให้เขาอ่านข้อความบนจารึกนี้!”
คนแคระค่อยถอนใจโล่งอก ก่อนจะโค้งคำนับด้วยความสำนึกและกล่าว “ขอบคุณท่านเซียนที่เข้าใจ ประเดี๋ยวข้าจะไปเด็ดผลท้อมาให้”
ฟุ่บ!
ร่างนั้นอันตรธานเลือนหาย พริบตาจึงปรากฏตัวบนต้นท้อไฟ
ไม่นานชายแคระจึงนำผลท้อไฟสามลูกที่เปี่ยมด้วยพลังวิญญาณมามอบให้ ทุกผลนั้นมีขนาดเท่ากำปั้น สีแดงสดเด่นชัด ส่งกลิ่นหอมหวานอันดึงดูดของดอกท้อ ทำให้เกิดรู้สึกผ่อนคลายและจิตใจสงบ
ซูอี้นำกล่องหยกใบหนึ่งออกมา ก่อนจะเก็บผลท้อทั้งสามลูกไว้ในนั้น
จากนั้นเขาจึงชี้นิ้วไปยังพื้นดินใต้ต้นท้อไฟ “ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อรับเศษส่วนชีพจรวิญญาณหยินไปด้วย เอามาให้ข้าหน่อยเป็นไร”
อย่างไรก็ตาม หลังจากถ้อยคำนี้กล่าวออก อีกฝ่ายที่รับฟังประหนึ่งถูกฟ้าผ่า ถึงขนาดคิดหลั่งน้ำตา
นี่ไม่ใช่ท่านเซียนแล้ว แต่เป็นราชันโจรผู้มาปล้นชิง!