บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 700 เชิญ
ตอนที่ 700: เชิญ
ซูอี้ทำหน้าไม่ถูก
เขากับเซี่ยชิงหยวนมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ยังไม่ถึงขั้นชู้สาว
เห็นได้ชัดว่า พวกของผูซู่หรงเข้าใจผิดแล้ว
ผูซู่หรงเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “ข้าเข้าใจดี ให้คุณชายทำเช่นนี้ เป็นการทำร้ายจิตใจของคุณชาย แต่ขอให้คุณชายโปรดเข้าใจด้วยว่า ต่อไปชิงหยวนต้องกลับไปยังเผ่ากับข้า นางจึงไม่อาจมีพันธะผูกพันอันใดในเรื่องหญิงชายได้!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็หนักแน่นขึ้นมาก
ซูอี้ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนกล่าว “หากว่าข้าฟังไม่ผิด เจ้ากำลังจะบอกว่าชั่วชีวิตของแม่นางชิงหยวน ไม่อาจชอบผู้ชายคนอื่นได้อีกเช่นนั้นหรือ?”
ผูซู่หรงพยักหน้า และตอบน้ำเสียงมุ่งมั่น “หากต้องการจะได้รับสิ่งประทานจากเผ่า ก็ต้องรับผลและหน้าที่รับผิดชอบที่อยู่เบื้องหลังสิ่งประทาน”
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของซูอี้ แล้วเขาก็เข้าใจได้ในทันใด จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “เจ้าต้องการจะพาแม่นางชิงหยวนกลับสู่เผ่าพันธุ์จิ้งจอกบุหลันม่วง เพื่อสืบทอดตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหรือ?”
ผูซู่หรงนิ่งอึ้งไป และกล่าวด้วยความตระหนก “ที่แท้คุณชายก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน?”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ ก่อนกล่าว “พูดมาเช่นนี้ก็หมายความว่า ครั้งนั้นที่เจ้าลาจากจักรพรรดิเซี่ย ก็เพื่อสืบทอดตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นเช่นกันอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ผิด”
ผูซู่หรงพยักหน้า
ซูอี้นิ่งเงียบไปในทันใด
ตามกฎระเบียบของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกบุหลันม่วง คนใดก็ตามที่เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ จะต้องตัดความสัมพันธ์เชิงชู้สาวออกไปจนหมด มีแต่วิธีนี้เท่านั้นจึงสามารถสืบทอด ‘วิชาเรียกจันทรา’ ที่สืบช่วงกันมาจากบรรพชน จนได้กลายเป็นผู้คุ้มครองเผ่าอย่างแท้จริง
แต่อย่างน้อย เขาไม่ต้องการให้เซี่ยชิงหยวนต้องกลายเป็นผู้หญิง ‘ไร้หัวใจ’ เพื่อตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว! เพราะการถึงกับต้องเสียสละมากมายเช่นนี้… ไม่คุ้มเลยสักนิด!!
“เจ้าทำร้ายจักรพรรดิเซี่ยไปแล้ว ตอนนี้ยังจะทำร้ายบุตรสาวของเจ้าอีก ในใจของเจ้า การเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สำคัญถึงเพียงนั้นเลยเชียวหรือ?“ ซูอี้ถาม
เป็นคำถามที่ไม่เกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย
ผูซู่หรงกลับไม่โกรธ นางกล่าวจริงจัง “พ่อแม่รักลูก ก็ต้องวางแผนระยะยาวให้ลูก ข้าเป็นมารดาของชิงหยวน ทำเช่นนี้ก็เพราะปรารถนาดีต่อนาง”
“บุตรสาวของเจ้ารับปากว่าจะไปกับเจ้าแล้วเช่นนั้นหรือ?” ซูอี้ถาม
ผูซู่หรงกล่าวสีหน้าราบเรียบ “ตอนนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ้งไม่ให้ข้าได้พบหน้าบุตรีของข้า แต่ไม่เป็นไร เมื่อข้าจากที่นี่ไปจะพานางไปจากที่นี่ด้วย ตอนนี้นางอาจจะโกรธ ไม่ยอม และไม่เข้าใจ แต่วันข้างหน้าเมื่อนางได้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็จะเข้าใจความหวังดีของข้าเอง”
นางเบนสายตามองไปที่ซูอี้ พลางกล่าว “เรื่องนี้ คุณชายได้โปรดสนับสนุนด้วย ข้ารับรองว่า ขอเพียงเจ้าตัดความสัมพันธ์กับบุตรสาวข้าอย่างเด็ดขาด ข้าจะช่วยให้เจ้าอยู่รอดปลอดภัย”
อาเหลิ่งกับรั่วฮวนเบนสายตามองไปที่ซูอี้เช่นกัน
ทุกอย่างพูดออกไปจนหมดแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ที่ท่าทีของซูอี้แล้ว
ซูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าสามารถรับรองได้เช่นกันว่า นอกเสียแต่ว่าแม่นางชิงหยวนยินยอม มิเช่นนั้น ต่อให้บรรพชนขั้นขอบเขตจักรพรรดิแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกบุหลันม่วงมาก็ไม่อาจพานางไปจากที่นี่ได้”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมา บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมาในทันใด
คิ้วงามของผูซู่หรงขมวดเข้าหากันโนเวลพีดีเอฟ
อาเหลิ่งหัวเราะเย็นชา ก่อนกล่าว “ซูอี้ ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาไม่ใช่เรื่องดีเลย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ และรู้ด้วยว่าเจ้ามีพื้นฐานที่ร้ายกาจ กำลังต่อสู้แข็งแกร่ง ผู้ร้ายกาจทั่วไปไม่อาจเทียมเทียมได้”
ทันใด น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป และเอ่ยวาจาเย้ยหยัน “ทว่าข้าขอพูดตรง ๆ สักประโยค เจ้าทำเช่นนี้ ไม่ต่างไปจากตั๊กแตนขวางรถ!”
รั่วฮวนก็ทนไม่ไหวจึงกล่าวขึ้นมาเช่นกัน “คุณชายซู พวกเราเพียงแค่ต้องการให้คุณชายตัดความสัมพันธ์กับพี่ชิงหยวนเท่านั้น แต่เจ้ากลับจะขัดขวางไม่ให้พวกเราพาพี่ชิงหยวนกลับ ทำเช่นนี้… จะเกินไปแล้วกระมัง?”
ซูอี้แหงนหน้ามองดูแสงตะวันยามเย็นบนท้องฟ้า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “สิ่งที่ควรจะพูดข้าได้พูดไปหมดแล้ว พวกเจ้าควรจะไปได้แล้ว”
อาเหลิ่งเข้าใจว่าตัวเองอดทนมากพอแล้ว ทว่าซูอี้ยังคงมีท่าทีดื้อรั้น เช่นนี้จึงทำให้เขาหมดความอดทนและรู้สึกโกรธขึ้นมา
ทว่า เมื่อเขาต้องการจะพูด ผูซู่หรงกลับห้ามเขาไว้ “อย่าได้ก่อเรื่อง”
อาเหลิ่งโกรธจนหายใจแรงติดต่อกัน และกล่าว “ท่านไม่เห็นหรือว่าท่าทีของคน ๆ นี้มันแย่แค่ไหน? ข้าว่า หากไม่สั่งสอนเขาบ้าง เขาคงจะเข้าใจว่าพวกเราเป็นคนทึ่มที่คิดจะทำอย่างไรก็ได้!”
ผูซู่หรงไม่ได้สนใจคำต่อว่าของอาเหลิ่ง
นางเบนสายตามองไปที่ซูอี้ซึ่งนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้มาโดยตลอด จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ข้าเชื่อว่า เมื่อคุณชายรู้ตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในอันตราย จะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้น ข้ายังคงยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือต่อคุณชาย”
นางแสดงท่าทีมั่นใจอย่างเต็มที่
ซูอี้ไม่แม้แต่จะลืมตามอง ความเป็นจริงแล้ว เขาไม่มีอะไรจะพูดอีก
ผูซู่หรงเห็นเช่นนี้ จึงคิดจะจากลา
ทว่าเวลานี้ เสียงของเวิงจิ่วก็ดังขึ้นจากด้านนอกสวนน้อย
“สหายเต๋าซู ผู้อาวุโสสามหมี่เทียนเหอแห่งหอดาบโคจรสวรรค์พร้อมกับผู้แข็งแกร่งมาหาขอรับ”
สีหน้าของผูซู่หรงเปลี่ยนไป ไม่รีบร้อนจากลาอีก
“พวกเราคอยดูกันต่อ”
นางถ่ายทอดเสียงไปให้รั่วฮวนกับอาเหลิ่ง
ทั้งสองต่างก็พยักหน้า
ซูอี้เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าพวกของผูซู่หรงคิดจะรอดูเรื่องสนุก
ทว่าเขาคร้านจะสนใจ และกล่าวตอบ “พาพวกเขาเข้ามาได้”
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ขอบฟ้าเริ่มเป็นสีดำประดุจถ่านหิน บนท้องถนนสายคึกคักที่อยู่ห่างออกไปมีเสียงร้องโหวกเหวกดังขึ้นมาแต่ไกล
เมื่อเวิงจิ่วพากลุ่มผู้ฝึกตนเข้ามา สวนน้อยนภาเมฆก็แลดูคึกคักขึ้นมา
“เหตุใดสหายเต๋าผูจึงอยู่ที่นี่ได้?”
เวิงจิ่วรู้สึกประหลาดใจ
“พวกเจ้าคุยกันไปเถิด”
ผูซู่หรงตอบสีหน้าราบเรียบ จากนั้นก็พาอาเหลิ่งกับรั่วฮวนออกไปยืนอยู่ห่าง ๆ
เวิงจิ่วเบนสายตามองไปที่ซูอี้ เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้าน จึงยิ้มพลางกล่าวแนะนำ “สหายเต๋าซู ข้าขอแนะนำให้รู้จัก”
พูดจบ เขาก็แนะนำฐานะของผู้ฝึกตนทั้งหมดในกลุ่มทีละคนจนครบทุกคน
ผู้แข็งแกร่งของหอดาบโคจรสวรรค์กลุ่มนี้มีด้วยกันทั้งสิ้นสี่คน
คนที่เป็นหัวหน้าคือผู้ชายร่างผอมสวมชุดสีน้ำเงิน ไรผมเป็นสีขาว สะพายดาบโบราณ มีลักษณะโดดเด่นกว่าใคร
เขามีนามว่าหมี่เทียนเหอ ผู้ฝึกดาบขอบเขตสยายวิญญาณระยะสมบูรณ์ ผู้อาวุโสอันดับสามของหอดาบโคจรสวรรค์
ข้างกายหมี่เทียนเหอมีผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายอีกสองคนติดตามมาด้วย ท่าทางอายุยังน้อยมาก เป็นศิษย์สายตรงของหอดาบโคจรสวรรค์ ต่างก็มีระดับการฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
ในใต้หล้าตอนนี้ ระดับการฝึกตนเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นที่น่าตะลึงและโดดเด่นเกินใคร
แม้แต่ในเก้ามหาแดนดินก็ยังถือได้ว่าเป็นผู้นำในกลุ่มคนยุคใหม่
เพราะอย่างไรเสียก็ดี สามารถย่างสู่หนทางแห่งวิถีวิญญาณได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงได้
ทว่าตัวตนเช่นนี้ไม่อาจทำให้ซูอี้รู้สึกตื่นเต้นจนต้องให้ความสนใจมากนัก
“หมี่ผู้นี้คารวะสหายเต๋าซู!”
หมี่เทียนเหอยิ้มพลางก้าวออกไปแสดงความคารวะ
ซูอี้ประสานมือกล่าว “ข้าไม่ชอบพูดพล่าม มีอะไรสามารถกล่าวได้ไม่ต้องอ้อมค้อม”
เช่นนี้ทำให้หญิงหนึ่งชายสองที่ยืนอยู่ข้างกายหมี่เทียนเหอพากันขมวดคิ้ว
ผูซู่หรง อาเหลิ่ง กับรั่วฮวนมองตากัน ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า ไม่ใช่เพราะซูอี้มีอคติต่อพวกเขา
แต่เขาทำเช่นนี้กับทุกคน!
“ท่าทีโอหังเช่นนี้ หากว่าอยู่ที่ภูมินภาจรัส ไม่รู้ว่าคนถูกขยี้ตายไปไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว”
อาเหลิ่งไม่พอใจเอามาก
ริมสระ
หมี่เทียนเหอส่งเสียงหัวเราะดังกังวานออกมา แล้วกล่าว “ระหว่างทางที่มา ข้าได้ยินสหายเต๋าเวิงจิ่วกล่าวว่า สหายเต๋าซูเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชอบพิธีรีตอง วันนี้ได้เห็น เป็นดังที่ว่าจริง ๆ เพียงแต่…”
สายตาของเขาชำเลืองมองไปที่พวกของผูซู่หรง
เวิงจิ่วรีบกล่าว “สหายเต๋าหมี่โปรดวางใจ วันนี้ไม่ว่าพูดคุยกันเรื่องใด ด้วยฐานะของสหายเต๋าผูแล้ว ไม่มีทางเล็ดลอดออกไปแม้แต่กระเบียดเดียว”
เห็นเวิงจิ่งรับรองเช่นนี้แล้ว หมี่เทียนเหอจึงยิ้มพลางพยักหน้า
เขาไม่ได้ลังเลอีกต่อไป แสดงจุดประสงค์การมาโดยตรง กล่าว “สหายเต๋าซู หมี่ผู้นี้มาในวันนี้ตามบัญชาของเจ้าสำนัก หวังว่าจะสามารถเชิญสหายเต๋าเข้าร่วมเป็นพวกเดียวกับหอดาบโคจรสวรรค์!”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ
เวิงจิ่วรับแทบไม่ทัน แววตาสั่นสะท้าน
พวกของผูซู่หรงก็ตะลึงนิ่งไปเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเข้าใจว่าซูอี้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย คิดว่าตัวเองสามารถ ‘ส่งถ่านยามหิมะตก’ ได้ ซูอี้จะได้รับปากตัดสัมพันธ์กับชิงหยวนแต่โดยดี
ทว่าพวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหอดาบโคจรสวรรค์จะมีความคิดในลักษณะเดียวกันเช่นนี้!
ซูอี้ไม่เข้าใจเอ่ยถาม “พวกเจ้าไม่กลัวว่าจะผิดใจต่อขุมกำลังโบราณเหล่านั้นหรอกหรือ?”
หมี่เทียนเหอหัวเราะพลางกล่าว “เรียนตามตรง ในเมื่อพวกข้ากล้ามาที่นี่ ก็ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่มีเป็นธรรมดา อีกทั้งยังมีแผนรับมือเรียบร้อยแล้ว”
ซูอี้นึกสนใจขึ้นมา “ลองเล่ามาสิ”
คนอื่น ๆ ในเหตุการณ์ต่างก็เงี่ยหูฟัง
“อันที่จริงวิธีการนั้นง่ายมาก อันดับแรก ต้องให้สหายเต๋าร่วมมือกับพวกเรา เปลี่ยนชื่อสกุลชั่วคราว และเปลี่ยนสถานะเป็นคนใหม่”
หมี่เทียนเหอกล่าวอีก “นอกจากนี้ หากว่าขุมกำลังโบราณเหล่านั้นจับได้ คิดจะเป็นศัตรูกับหอดาบโคจรสวรรค์ของพวกเรา พวกเราก็ไม่กลัวที่จะงัดข้อกับพวกเขา ถึงแม้สุดท้ายจะต้องพ่ายแพ้ ทว่าพวกเราสามารถเลือกที่จะหนีไปยังมหาทวีปคังชิงได้”
นิ่งเงียบไปสักครู่ เขาหัวเราะพลางกล่าว “แต่ ตามความเห็นของหมี่ผู้นี้ ขุมกำลังโบราณเหล่านั้นคงไม่กล้าแตกหักกับหอดาบโคจรสวรรค์ของพวกเราเพียงเพื่อสหายเต๋าเพียงคนเดียวหรอก”
เมื่อฟังแล้ว ซูอี้จึงเข้าใจขึ้นมา
หอดาบโคจรสวรรค์มาจากต่างโลก อยู่ที่มหาทวีปคังชิงสามารถบุกและสามารถถอยรับได้!
นี่จึงจะเป็นความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา!
หมี่เทียนเหอยิ้มพลางกล่าว “นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของหอดาบโคจรสวรรค์ของพวกเรา ขอเพียงสหายเต๋าเข้าร่วมหอดาบโคจรสวรรค์ของพวกเรา ท่านสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้สืบทอดคนสำคัญได้ โดยไม่ต้องอยู่ในกฎระเบียบของสำนัก และไม่ต้องทำตามคำสั่งโยกย้ายของผู้อาวุโสในสำนักด้วย!”
“และหอดาบโคจรสวรรค์ของพวกเรายังจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อหาทรัพยากรการฝึกตนสร้างรากฐานวิถีวิญญาณอันแข็งแกร่งที่สุดให้กับสหายเต๋า เพื่อเตรียมไว้สำหรับแสวงวิถีขอบเขตจักรพรรดิ!”
พวกเขาต่างก็มองออกว่าหอดาบโคจรสวรรค์ให้ความสำคัญต่อซูอี้เป็นอย่างมาก มิเช่นนั้น ไม่มีทางมอบข้อเสนอที่มีผลประโยชน์เต็มเปี่ยมเช่นนี้ออกมาเป็นแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่ว่า ‘ไม่ต้องอยู่ในกฎระเบียบ ไม่ต้องทำตามคำสั่ง’ สำหรับขุมกำลังระดับสุดยอดใด ๆ ก็ตามแต่คงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก!
เวิงจิ่วรู้สึกเกร็งขึ้นมา
หากว่าซูอี้ถูกหอดาบโคจรสวรรค์ดึงตัวไป ใครจะมาช่วยราชวงศ์เซี่ยของพวกเขาซ่อมแซมค่ายกลของนครหลวงจิ๋วติ่งกัน?
แม้กระทั่งหญิงหนึ่งชายสองที่อยู่ข้างกายหมี่เทียนเหอก็ยังแอบอิจฉาไม่ได้
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นศิษย์สายตรงในขอบเขตสยายวิญญาณ ทว่ายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับข้อเสนอเงื่อนไขที่พิเศษสุดเช่นนี้
ทว่าเกินความคาดหมายของพวกเขา ซูอี้กลับส่ายหน้าปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดมาก “ข้าไม่สนใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในสำนักพวกเจ้า”
คำพูดประโยคนี้เห็นแก่ความจริงใจของฝ่ายตรงข้ามมาก ดังนั้นจึงกล่าวด้วยความเกรงใจ
มิเช่นนั้นป่านนี้เขาเชิดหน้าหนีและคร้านจะสนใจแล้ว
เพราะอย่างไรเสียก็ดี เขาเมื่อชาติก่อนเคยเป็นใหญ่ในเก้ามหาแดนดิน สยบคนใต้หล้า มีความยิ่งใหญ่จนสั่นสะเทือนอดีตและปัจจุบัน
จะสนใจกับคำเชิญเช่นนี้ได้อย่างไร?
หากว่าถูกสหายรักในอดีตชาติมาได้ยินเข้า คงจะหัวเราะงอหายเป็นแน่
เมื่อได้ยินคำตอบของซูอี้ คนอื่น ๆ ในเหตุการณ์ต่างก็พากันตะลึง ราวกับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ปฏิเสธ…ง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ?
แม้กระทั่งเวิงจิ่วก็ยังสะดุ้ง
ถามใจตัวเอง หากว่าเป็นเขา เจอกับข้อเสนอเงื่อนไขที่พิเศษสุดเช่นนี้ ไม่อาจระงับใจได้แน่!
ทว่าซูอี้ ราวกับไม่สนใจเลยสักนิด…