บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 701 เคราะห์เกิดกับปาก ตายก็ไม่ต้องเสียดาย
ตอนที่ 701: เคราะห์เกิดกับปาก ตายก็ไม่ต้องเสียดาย
หมี่เทียนเหอสูดหายใจลึก ๆ ก่อนกล่าวคำออก “หากสหายเต๋าคิดว่าข้อเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ยังไม่พอ สามารถตั้งข้อเสนอเพิ่มได้ หากเป็นสิ่งที่หมี่ผู้นี้สามารถตัดสินใจได้ จะรับปากอย่างแน่นอน หากไม่อาจตัดสินใจได้ หมี่ผู้นี้ก็จะพยายามเรียกร้องแทนสหายเต๋าให้มากที่สุด!”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ พลางกล่าว “ไม่ใช่เรื่องเงื่อนไขข้อเสนอ แต่เป็นเพราะข้าไม่สนใจที่จะเข้าร่วมสำนักด้วย”
หมี่เทียนเหอตะลึง
ชายหนุ่มชุดยาวสีหยกข้างกายเขาอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงถามขึ้นมา “ซูอี้ หรือว่าเจ้ายังไม่รู้อีก ว่าตอนนี้ตัวเจ้าอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเพียงใด? ทั่วทั้งใต้หล้า นอกจากหอดาบโคจรสวรรค์ของพวกข้าแล้ว ใครกันที่สามารถช่วยเจ้าจนถึงขั้นผิดใจต่อขุมกำลังโบราณเหล่านั้น?”
คำกล่าวนี้แฝงไว้ซึ่งความโกรธ เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่รู้จักอะไรดีอะไรชั่วบ้างเลย
ศิษย์ของหอดาบโคจรสวรรค์อีกสองคนแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเช่นกัน
ซูอี้กลับหัวเราะ ก่อนกล่าวคำออก “ช่วย? พูดเสียเพราะ ความเป็นจริงแล้วก็มาเพื่อฉวยโอกาสฉกผลประโยชน์เท่านั้น”
ฉวยโอกาสฉกผลประโยชน์?
คำกล่าวนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พวกของหมี่เทียนเหอแสดงสีหน้าไม่พอใจเท่านั้น พวกของผูซู่หรงก็รู้สึกอึดอัดด้วยเช่นกัน ในใจรู้สึกโกรธยิ่งนัก
คน ๆ นี้ ไม่รู้จักว่าอะไรดีอะไรชั่วเสียแล้ว
“ถือโอกาสตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีอยู่ พวกเจ้ารีบกลับกันไปเถิด”
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย
ฟ้ามืดทอดตัวลงมาแล้ว เขาไม่อยากจะเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
หมี่เทียนเหอกล่าวเสียงเข้ม “สหายเต๋าจงฟังคำของหมี่ผู้นี้อีกสักครั้ง จากข่าวที่หอดาบโคจรสวรรค์สืบมาได้ ไม่เกินสิบวัน ขุมกำลังโบราณซึ่งมีตระกูลหวนเผ่ามารเป็นผู้นำจะต้องยกทหารบุกเมืองจิ๋วติ่งอย่างแน่นอน”
“ประการที่หนึ่งเพื่อต่อสู้รับมือกับสหายเต๋า ประการที่สองเพื่อจับราชวงศ์ต้าเซี่ย!”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา สีหน้าของเวิงจิ่วก็เปลี่ยนไป
อย่างไม่ต้องสงสัย แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน
“กล่าวอีกอย่างก็คือ เวลาของสหายเต๋ากับราชวงศ์ต้าเซี่ยมีเหลือไม่มากแล้ว”
หมี่เทียนเหอกล่าวต่อ “หมี่ผู้นี้ไม่ได้คิดจะข่มขู่ เพียงแต่เห็นว่าสหายเต๋าเป็นนักดาบผู้มากฝีมือที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น จะเป็นที่น่าเสียดาย ดังนั้น ขอให้สหายเต๋าพิจารณาข้อเสนอของหมี่ผู้นี้อย่างละเอียด”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “เจ้าสามารถรอดูได้ สุดท้ายคนที่จะเจอกับเรื่องไม่คาดคิด ไม่ใช่ซูผู้นี้อย่างแน่นอน”
หมี่เทียนเหอตะลึง
ชายหนุ่มชุดเขียวหยกคนนั้นราวกับได้ฟังเรื่องน่าขันที่สุดในใต้หล้า อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นกล่าวประชด “ซูอี้ หรือเจ้าคิดว่า อาศัยพลังของเจ้าก็สามารถรับมือกับขุมกำลังโบราณเหล่านั้นได้?”
ซูอี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ขืนพูดมากอีกแค่คำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า”
ดวงตาสีดำดูลุ่มลึกของเขามองไปที่ชายหนุ่มชุดสีหยก
เดิมทีชายหนุ่มชุดสีหยกก็โกรธมากอยู่แล้ว ทว่าเมื่อสบสายตาของซูอี้แล้ว ถึงกับตัวสั่นสะท้าน ขนลุกซู่ราวกับร่วงเข้าไปในห้องน้ำแข็ง
หมี่เทียนเหอตวาดชายหนุ่มชุดสีหยกเสียงเข้ม “สืออัน อย่าได้ทำเหลวไหล!”
ชายหนุ่มชุดสีหยกนิ่งเงียบไป สีหน้าสลดลง
หมี่เทียนเหอเบนสายตามองไปที่ซูอี้ พลางกล่าว “สหายเต๋า หมี่ผู้นี้คิดว่า ต่อให้เจ้าไม่คำนึงถึงตัวเอง ก็ควรจะคำนึงถึงความปลอดภัยของราชวงศ์เซี่ยบ้าง”
ซูอี้เลิกคิ้ว “กล่าวเช่นนี้หมายความเช่นใด?’”
“หอดาบโคจรสวรรค์ของพวกข้าเคยสัญญาไว้ว่า จะให้การปกป้องคุ้มครองต่อเผ่ามนุษย์ราชวงศ์เซี่ย ไม่ต้องให้พวกเขาสูญสิ้นเผ่าพันธุ์”
หมี่เทียนเหอกล่าว “ทว่าจักรพรรดิเซี่ยกลับกล่าวว่า ทุกอย่างต้องดูตามความคิดเห็นของสหายเต๋า หากว่าเจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมหอดาบโคจรสวรรค์ ถ้าเช่นนั้น จักรพรรดิเซี่ยก็จะรับปากร่วมมือกับหอดาบโคจรสวรรค์ของพวกเรา ไม่เช่นนั้นก็ไม่ร่วม”
ซูอี้เบนสายตามองไปที่เวิงจิ่ว แล้วจึงถาม “เป็นเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”
เวิงจิ่วพยักหน้า
ซูอี้ครุ่นคิดสักครู่ เข้าใจท่าทีของจักรพรรดิเซี่ยขึ้นมา
หากว่าตัวเองรับปากเข้าร่วมหอดาบโคจรสวรรค์ ก็หมายความว่าอยู่ฝ่ายเดียวกับหอดาบโคจรสวรรค์
ถึงเวลานั้น จักรพรรดิเซี่ยจะไม่ปฏิเสธทำข้อตกลงกับหอดาบโคจรสวรรค์อีก
ในทางกลับกัน หากว่าตัวเองปฏิเสธที่จะเข้าร่วมหอดาบโคจรสวรรค์ ท่าทีเช่นนี้ของตัวเอง จักรพรรดิเซี่ยก็จะไม่ทำข้อตกลงกับหอดาบโคจรสวรรค์
สรุปก็คือจักรพรรดิเซี่ยวางเดิมพันทั้งหมดไว้ที่ตัวของซูอี้ ต้องการก้าวพร้อมไปกับซูอี้!
เช่นนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกยอมรับนับถือขึ้นมาในใจ
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพระองค์นี้อาจจะมีระดับการฝึกตนที่ไม่ถึงกับร้ายกาจมากนัก แต่สายตาอันคมเฉียบเหนือกว่าคนจำนวนมาก!
เมื่อเห็นว่าซูอี้นิ่งเงียบไปนาน รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของหมี่เทียนเหอ ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมา “สหายเต๋า นี่เป็นเรื่องที่มีแต่ได้กับได้ ไม่ว่าจะต่อตัวเจ้า หรือต่อราชวงศ์เซี่ย ล้วนแคล้วคลาดปลอดภัย เพียงแต่ไม่รู้ว่า เจ้า… คิดละเอียดรอบคอบแล้วหรือยัง?”
ชั่วขณะนี้ คนอื่น ๆ ในเหตุการณ์ต่างก็เบนสายตามองไปที่ซูอี้
ซูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้ากลับกันได้แล้ว”
คนทั้งหลาย “…”
ไม่มีใครคาดคิดว่า ซูอี้จะปฏิเสธได้อย่างรวดเร็วฉับไวเช่นนี้!
อีกครั้งที่ได้รับคำปฏิเสธ ต่อให้หมี่เทียนเหอเป็นคนใจเย็นแค่ไหน เวลานี้ก็ไม่สามารถยับยั้งความไม่พอใจที่มีไว้ได้อีก สีหน้าเปลี่ยนไปดูบิดเบี้ยวขึ้นมา
เขากล่าวเสียงเข้ม “สหายเต๋ามั่นใจหรือว่าคิดรอบคอบแล้ว?”
เห็นได้ชัดว่าซูอี้เริ่มหมดความอดทน และกล่าวตอบกลับไป “ยังได้ยินไม่ชัดอีกหรือ มีข้าอยู่ ราชวงศ์เซี่ยจะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้น นครหลวงจิ๋วติ่งก็จะไม่เกิดเรื่องด้วยเช่นกัน!”
“เสียสติไปแล้ว คน ๆ นี้จะต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ”
ชายหนุ่มชุดสีหยกอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป แล้วหัวเราะขึ้นมาด้วยอาการโกรธจัด “เขาถึงขั้นคุยว่าเขาคนเดียวก็สามารถปกป้องราชวงศ์เซี่ยได้ หากพูดออกไป คนในใต้หล้าต้องหัวเราะจนฟันกระเด็นเป็น…”
เอื๊อก!
เสียงหยุดกึก
พลังดาบแทงทะลุคอหอยชายหนุ่มชุดสีหยก เลือดทะลักออกมาบาดแผลเหวอะหวะ
เขาเบิกตากว้าง ราวกับไม่อยากจะเชื่อ
ฉับพลันก็หงายหน้าล้ม ดับชีวิตอยู่ตรงนั้น
บรรยากาศในเหตุการณ์สงบเงียบ ไร้สุ้มเสียง
ภาพเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ไม่ได้ให้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
เพราะอย่างไรเสียก็ดี ใครกันจะคาดคิดว่าซูอี้จะลงมือฆ่าคนหน้าตาเฉยเช่นนี้?
“เคราะห์เกิดกับปาก ตายก็ไม่เสียดาย”
ซูอี้เอ่ยพูดน้ำเสียงราบเรียบ
ก่อนหน้านี้เขาได้พูดเตือนฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว หากพูดมากกว่านี้อีกแค่คำเดียว จะฆ่าไม่เว้น
และแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนที่พูดแล้วต้องทำ!
“เจ้า… เจ้าถึงกับฆ่าคน!?”
หมี่เทียนเหอหน้าเขียวเพราะความโกรธอย่างที่สุด
เขาตื่นตะลึงกับภาพเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้มากเช่นกัน ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า ในสภาพการณ์เช่นนี้ซูอี้ยังจะกล้าลงมืออีก
เวิงจิ่วถึงมุมปากกระตุก นิ่งเงียบไม่พูด
เขารู้นิสัยของซูอี้ดี ต้องยอมรับเลยว่า ชายหนุ่มชุดสีหยกที่มีนามว่าสืออันคนนั้น… หาเรื่องตายเสียจริง ๆ
“ดีเลย!”
ไม่ไกลนัก อาเหลิ่งกล่าวด้วยความตะลึง “คนแซ่ซูผิดแล้วไม่รู้สำนึก คิดจะผิดซ้ำซ้อนอีกเช่นนั้นหรือ?”
ผูซู่หรงกับรั่วฮวนมองตากันด้วยความตื่นตระหนกเช่นกัน
ในการเจรจาตกลงกันเช่นนี้ ยากนักที่จะไม่เกิดความขัดแย้งและทะเลาะเบาะแว้ง แต่โดยทั่วไปแล้ว ต่อให้ไม่พอใจมากเพียงใด ทุกคนก็ยังจะสกัดกลั้นอารมณ์ของตัวเอง เพื่อรักษาหน้าและความปรองดอง
ทว่าซูอี้ไม่ใช่ แค่พูดไม่ถูกคอก็ฆ่ากันเลย!
เช่นนี้ก็เท่ากับเป็นไปไม่ได้ที่จะรับข้อเสนอของหอดาบโคจรสวรรค์อีก และราชวงศ์เซี่ยก็ยังต้องพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย!
“เหตุใดข้าจึงไม่กล้าฆ่า?”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา “มอบถ่านยามหิมะตก พวกเจ้าก็เพียงแค่ยกเอามาบังหน้าเท่านั้น แต่แท้จริงฉวยโอกาสฉกผลประโยชน์ หากว่าทำให้ข้าต้องโมโห บดขยี้หอดาบโคจรสวรรค์จะยากอย่างไร?”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา นอกจากเวิงจิ่วแล้ว คำ ๆ หนึ่งผุดขึ้นในสมองของคนทั้งหมด
ขาดสติ!
หมี่เทียนเหอหัวเราะด้วยความโกรธ ก่อนกล่าว “ซูอี้! สุราคาราวะไม่ดื่ม อยากจะดื่มสุราลงทัณฑ์! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราคอยดูกันต่อไป!”
เขาดูเหมือนโกรธมาก ทว่าความจริงแล้วไม่ได้โกรธจนขาดสติ ยังคงรู้ดีกว่าประมือกับซูอี้ในตอนนี้ไม่ต่างไปจากหาที่ตาย
เพราะอย่างไรเสีย ผู้ฝึกตนในใต้หล้าตอนนี้ต่างก็เข้าใจดีกว่า คนหนุ่มชุดเขียวตรงหน้าคนนี้มีกำลังการต่อสู้ที่ร้ายกาจถึงขั้นฆ่าตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณได้!
หน้าวังเทพสวรรค์เมฆา การตายของพวกตงกัวไห่ผู้เฒ่าขอบเขตสยายวิญญาณ ถือเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักที่สุด
ซูอี้คิดสักครู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “เมื่อสำนักโบราณเหล่านั้นหัวคะมำต่อหน้าซูผู้นี้แล้ว เจ้าอย่าลืมมาพูดประโยคนี้กับข้าอีกครั้ง”
“ฟังชัดเจนแล้ว หากเจ้าไม่มา ข้าจะไปหาพวกเจ้าที่หอดาบโคจรสวรรค์ หากว่าถึงเวลานั้น ข้ารับรองว่า มหาทวีปคังชิงแห่งนี้จะไม่มีที่ให้หอดาบโคจรสวรรค์ของพวกเจ้าได้ยืนหยัดอยู่อีก”
เขาโบกมือ “กลับไปได้ ไม่ส่ง”
“ถ้าเช่นนี้ข้าจะคอยดู!”
หมี่เทียนเหอร้องฮึ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
ชายหนึ่งหญิงหนึ่งนำศพของชายหนุ่มชุดสีหยกกลับไปด้วย
จนกระทั่งร่างของพวกเขาลับหายไปแล้ว เวิงจิ่วจึงกระเถิบเข้ามา กล่าวด้วยสีหน้ากังวล “สหายเต๋าซู ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจเช่นใด ราชวงศ์เซี่ยของพวกเราก็จะยืนอยู่ข้างเดียวกับเจ้า!”
ซูอี้ส่งเสียงรับอืม จากนั้นเบนสายตามองไปที่พวกของผูซู่หรง “เรื่องสนุกก็ดูจนจบแล้ว พวกเจ้าควรจะกลับไปได้แล้วกระมัง?”
ผูซู่หรงระงับสติอารมณ์ และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณชาย คำพูดเมื่อก่อนหน้านี้ของข้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ข้าเชื่อว่า เมื่อเจ้าเจอกับอันตรายขึ้นมาจริง ๆ จะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน”
โดยไม่ต้องสงสัย นางยังคงต้องการให้ซูอี้ตัดความสัมพันธ์กับเซี่ยหยวนชิง
ซูอี้ร้องอ้อ จากนั้นกล่าว “ดีที่สุดเจ้าจงจดจำคำพูดของข้าให้ดี มีข้าซูอี้อยู่ เผ่าพันธุ์จิ้งจอกบุหลันม่วงของพวกเจ้าไม่มีทางพาตัวชิงหยวนไปจากที่นี่ได้”
ดวงตาคู่งามของผูซู่หรงหรี่เล็กลง
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ๆ นางก็ส่ายหน้า และไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะพาอาเหลิ่งกับรั่วฮวนกลับพร้อมกัน
ลมยามราตรีเย็นสบาย กลิ่นอายดินโคลนและดอกไม้ใบหญ้าในช่วงฤดูใบไม้ผลิอบอวลไปทั่วสวนน้อย
ซูอี้บิดขี้เกียจ และกล่าวกับจิ่วเวิงว่า “เมื่อสักครู่คน ๆ นั้นบอกว่าสิบวันให้หลังขุมกำลังโบราณเหล่านั้นจะมา หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริง เจ้าจงมาแจ้งกับข้า”
เวิงจิ่วกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “คุณชายสามารถซ่อมค่ายกลได้เสร็จภายในสิบวันหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่ได้”
เวิงจิ่วตะลึง กล่าวสีหน้าเศร้า “หากเป็นเช่นนี้ ก็คงจะจบเห่กันจริง ๆ แล้ว…”
“ร้อนใจอะไร?”
ซูอี้กล่าวอารมณ์ดี “เพียงแค่ฆ่าตัวตนสำคัญของขุมกำลังโบราณเท่านั้น ข้ากับดาบก็เพียงพอแล้ว”
เวิงจิ่วสูดปาก ตัวคนเดียวจะไปรับมือกองทหารของขุมกำลังโบราณเหล่านั้นได้อย่างไร!?
ถึงแม้เขาจะมั่นใจในความสามารถของซูอี้สักเพียงไหน แต่เวลานี้ก็ยังยากนักที่จะเชื่อ
ซูอี้ไม่สนใจหรอกว่าเวิงจิ่วจะคิดอย่างไร เขาเพียงแต่ออกคำสั่ง “เจ้ากลับไปบอกจักรพรรดิเซี่ย บอกให้เขาไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ ข้าซูอี้จะรับมือเอง”
เวิงจิ่วพยักหน้า และจากไปด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจของซูอี้ทำให้จิตใจของเขาได้รับความกระทบกระเทือน ยากนักที่จะกลับมามีชีวิตชีวาได้อีก
จนกระทั่งกลับไปถึงภูเขาเทียนหมาง หลังจากที่เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้จักรพรรดิเซี่ยฟังแล้ว เวิงจิ่วก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “นายท่าน ท่านคิดว่าสหายเต๋าซูจะ… ไหวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิเซี่ยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงพยักหน้ากล่าว “ไหว!”
เวิงจิ่ว “…”
ต่อมาจักรพรรดิเซี่ยจึงทรงมีพระบัญชา “ไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของขุมกำลังโบราณเหล่านั้น เมื่อพวกเขาบุกเข้ามา ข้าหวังว่าพวกเรายังพอระวังตัวกันได้บ้าง”
เวิงจิ่วสะดุ้งในใจ รับคำสั่งแข็งขัน “ขอรับ!”
ขณะเดียวกันนี้เอง…
มีคนมาเคาะประตูใหญ่ของสวนน้อยนภาเมฆกลางราตรีมืดอีกครั้ง