บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 702 โถงหลงลืม
ตอนที่ 702: โถงหลงลืม
“เข้ามาสิ”
ซูอี้กลับมานั่งที่เก้าอี้หวายอีกครั้ง
ไม่นานนัก เฒ่าชราตาบอดร่างผอมแห้งที่สวมชุดขาดรุ่งริ่งก็เดินเข้ามา
“ข้าน้อยคารวะคุณชายซู ขอแสดงความยินดีที่วันนี้คุณชายซูได้รับสมบัติวิญญาณคู่ชีพที่ตรงตามปรารถนา!”
เฒ่าบอดโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ “แม้เจ้าจะมองไม่เห็น แต่สายตาเฉียบแหลมกว่าผู้อื่นมากนัก”
เฒ่าบอดหัวเราะตาม “ข้าน้อยตาบอดทว่าใจไม่บอด และผู้คนในใต้หล้าผืนนี้ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนบ้องตื้นที่มีตาหามีแววไม่”
พูดจบ เขาสูดจมูกพร้อมเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “คุณชายซู หรือว่าคืนนี้มีคนจากเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงมาก่อเรื่องที่นี่”
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือด รวมถึงกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วง
“ไม่ใช่พวกเขา แค่คนกระจอกที่ไม่รู้จักเปิดหูเปิดตาเท่านั้น”
ซูอี้กล่าว “คืนนี้เจ้ามาเพื่อการใด”
เฒ่าบอดรีบตอบ “ไม่ขอปิดบังคุณชายซู ข้าน้อยมีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งต้องเรียนท่านจริง ๆ หวังว่าท่านจะชี้แนะ”
“เรื่องใหญ่?”
ซูอี้มีท่าทีสนใจ “ลองว่ามาสิ”
“วันที่สองเดือนสอง วันมังกรเงยหน้า วันนั้น พลังที่มาของมหาทวีปคังชิงแปรเปลี่ยนเป็นแสงฝนมหาวิถี สาดลงจากนภา ปกคลุมทั่วหล้า”
เฒ่าบอดกล่าว “เชื่อว่าเรื่องนี้ คุณชายซูคงทราบดีอยู่แล้ว”
ซูอี้พยักหน้า
เขาเองก็บรรลุขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ณ ทะเลวิญญาณโกลาหลเมื่อวันที่สองเดือนสอง ดังนั้นย่อมรู้เรื่องนี้ดี
เฒ่าบอดสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าตื่นเต้นนั้นเจือแววกลัดกลุ้ม “หลังจากวันนั้น ข้าน้อยสัมผัสได้ว่าผนังกั้นโลกของมหาทวีปคังชิงเกิดรอยร้าวมากมายที่ไม่เคยมี บางรอยจบลงบนผนัง และบางรอยเชื่อมต่อกับมิติต่างโลก”
“และหนึ่งในรอยร้าวเชื่อมต่อกับยมโลก!”
เมื่อฟังมาถึงนี่ ซูอี้ก็อดตะลึงไม่ได้ “ที่พูดมานั่นจริงหรือ?”
เฒ่าบอดเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง “ข้าน้อยย่อมไม่บังอาจโป้ปดในเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าน้อยเคยเดินทางไปยัง ‘แดนเซียนมิคสัญญี’ หนึ่งในสามแดนต้องห้ามแห่งต้าเซี่ยเพื่อสืบเสาะ จึงแน่ใจได้แล้วว่าภายในแดนเซียนมิคสัญญีนั้นมีช่องทางที่เชื่อมต่อกับยมโลกหรือภพภูมิมืดมิด!”
อาณาจักรต้าเซี่ยมีแดนต้องห้ามถึงสามสถานที่ด้วยกัน
ซึ่งประกอบด้วย เกาะเซียนพระสุเมรุ เมืองผีหลิงหลง และแดนเซียนมิคสัญญี
เท่าที่ซูอี้รู้ ในอดีต เย่ซุ่นข้ามมายังมหาทวีปคังชิงผ่านช่องทางภายในเมืองผีหลิงหลง
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ซูอี้เคยเดินทางไปยังเมืองผีหลิงหลงด้วยตัวเอง และตามหาช่องทางมิติที่พังทลายลงแล้วจนเจอ
ทว่าซูอี้กลับคิดไม่ถึงเลยว่าใน ‘แดนเซียนมิคสัญญี’ จะมีช่องทางที่เชื่อมต่อกับยมโลกอีกด้วย!โนเวลพีดีเอฟ
“เจ้าเห็นด้วยตาตัวเองหรือ?”
ซูอี้ถาม
เฒ่าบอดตอบ “ข้าน้อยพยากรณ์ด้วยศาสตร์ ‘หยั่งฟ้ากำหนดชะตา’ อยู่หลายครา มั่นใจได้เลยว่าช่องทางที่เชื่อมต่อกับยมโลกตั้งอยู่ที่แดนเซียนมิคสัญญี”
“มิหนำซ้ำ เมื่อครั้งข้าเดินทางไปยังแดนเซียนมิคสัญญี เคยได้พานพบทายาทแห่งโถงหลงลืมอีกด้วย”
โถงหลงลืม!
ซูอี้เลิกคิ้ว
ในยมโลก โถงหลงลืมตั้งอยู่ที่หุบเขาไน่เหอ เป็นหนึ่งในกลุ่มเต๋าโบราณที่สุด เป็นใหญ่ทัดเทียมกับวังธารเหลือง ประตูผีเบญจทิศ หกกรมแห่งนรก และเก้าเผ่า
การสืบทอดของโถงหลงลืมนับเป็นสายผู้ฝึกจิตวิญญาณที่แท้จริง เจ้าโถงทุกคนล้วนมีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิในวิถีจิตวิญญาณกันทั้งนั้น
เมื่อครั้งซูอี้ออกท่องยมโลกเมื่อชาติก่อน เคยช่วยบุรุษผู้หนึ่งในทะเลทุกข์อันไพศาล นาม ‘อวิ๋นจื่ออิง’
คนผู้นี้คือมหาผู้อาวุโสแห่งโถงหลงลืมในเวลานั้น ได้รับสมญานามว่า ‘จักรพรรดิปรภพม่วงนิลกาฬ’
ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน
ซูอี้ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถ้าเช่นนั้น คนของโถงหลงลืมค้นพบช่องว่างมิติที่ตั้งอยู่ในแดนเซียนมิคสัญญีแล้วใช่หรือไม่?”
เฒ่าบอดพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยท่าทีหวั่นวิตก “เมื่อก่อน ข้าคิดว่าขุมกำลังต่างโลกที่เดินทางมายังมหาทวีปคังชิงล้วนมาจากโลกภูมิขนาดเล็ก”
“แต่หลังจากการปรากฏของโถงหลงลืม ข้าน้อยสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาเยือนมหาทวีปคังชิง คงต้องมีกลุ่มขุมกำลังโบราณจากโลกใบใหญ่ปรากฏตัวแน่นอน”
“หากเป็นเช่นนั้น มหาทวีปคังชิงเป็นต้องวุ่นวายแน่!”
ซูอี้หยอกอย่างอดไม่ได้ “ดูไม่ออกเลย เจ้ามีจิตใจเมตตาสรรพสัตว์ทั้งปวงในโลกด้วยหรือนี่”
เฒ่าบอดเอ่ยเสียงอ่อน “เมื่อรังพังพินาศ ไข่ในรังย่อมแตกสลายตาม ข้าเพียงแต่วางแผนตั้งรับแต่เนิ่น ๆ เท่านั้น”
ซูอี้กล่าว “เรื่องที่เจ้ากังวลใช่ว่าไร้สาระ เจ้าเองก็ค้นพบก่อนหน้านี้แล้วว่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงแห่งภูมินภาจรัสได้ปรากฏตัวในที่แห่งนี้แล้ว”
เฒ่าบอดชะงัก สีหน้าไหวระริก
รอบ ๆ เก้ามหาแดนดิน มีโลกภูมิอยู่สามสิบสามแห่ง
ภูมินภาจรัสเป็นหนึ่งในนั้น!
เรื่องนี้ เฒ่าบอดรู้ดีแก่ใจ
เขาจึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “คุณชายซู เช่นนี้ก็หมายความว่า เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง อิทธิพลในเก้ามหาแดนดินก็ต้องคาบเกี่ยวด้วยใช่หรือไม่”
ซูอี้คลี่ยิ้ม “ไม่หรอก ต่อให้แสงสว่างแห่งโลกกว้างมาเยือนมหาทวีปคังชิง จนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกผัน ก็ไม่อาจมั่งคั่งสู้เก้ามหาแดนดินได้หรอก”
“กลุ่มขุมกำลังชั้นนำในเก้ามหาแดนดินย่อมไม่แยแสแสงสว่างแห่งโลกกว้างที่มหาทวีปคังชิงเลยสักนิด”
เขารู้จักเก้ามหาแดนดินดียิ่ง
ในฐานะปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินที่เคยเป็นหนึ่งเหนือเก้ามหาแดนดิน เขารู้จักวิธีการของกลุ่มขุมกำลังชั้นนำในเก้ามหาแดนดินดียิ่งกว่าใคร
“ได้ฟังวาจาของคุณชายซู ข้าค่อยสบายใจขึ้นเยอะ”
เฒ่าบอดคลี่ยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเบาใจลงไม่น้อย
ซูอี้พึมพำกับตัวเอง “ตอนนี้สิ่งเดียวที่ข้าอยากรู้คือเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงจากภูมินภาจรัสมาได้อย่างไร หากสืบจนเจอเบาะแส บางทีหลังจากข้ากลับไปยังเก้ามหาแดนดินแล้ว ก็เลือกเดินทางจากภูมินภาจรัสได้เช่นกัน”
เมื่อพูดมาถึงนี่ ซูอี้ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่ามีเรื่องต้องการคำชี้แนะของข้า หรือจะเกี่ยวข้องกับยมโลก?”
เฒ่าบอดพยักหน้าพลางเอ่ย “คุณชายซู ครานั้นข้าน้อยเดินทางจากยมโลกมายังมหาทวีปคังชิงเพื่อหลีกหนีจากเคราะห์ภัย บัดนี้ ข้าอยากหาโอกาสกลับมาดูสักครั้ง ว่าจะตามหาท่านอาจารย์ปู่เจอหรือไม่…”
อาจารย์ปู่ของเฒ่าบอด ก็คือ ‘ผีเฒ่าแบกโลง’ ผู้เป็นบรรพชนบุกเบิกของเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ
ซูอี้เคยรู้จักมักจี่กับอีกฝ่าย และเคยเดิมพันกับผีเฒ่าแบกโลงว่าจะเดินทางไปตกปลาที่ ‘สระกำเนิด’ ด้วยกัน แล้วดูว่าผู้ใดตกปลาขึ้นมาได้
ท้ายที่สุดซูอี้เป็นฝ่ายชนะ
ทว่าผีเฒ่าแบกโลงกลับเฉไฉ ไม่ยอมนำ ‘โลงศพหกวิถี’ ออกมา อ้างว่าสมบัติชิ้นนี้ยังไม่ออกสู่สายตาโลก รอให้เจอสมบัติชิ้นนี้เมื่อใด ค่อยมอบให้ซูอี้
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงกลายเป็น ‘เจ้าหนี้’ ของผีเฒ่าแบกโลง
ส่วนเฒ่าบอด เป็นศิษย์หลานของผีเฒ่าแบกโลง
ตามที่เฒ่าบอดกล่าวอ้าง ผีเฒ่าแบกโลงออกตามหา ‘โลงศพหกวิถี’ เมื่อนานมาแล้ว และไร้ซึ่งข่าวคราวนับแต่นั้นมา ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ซูอี้เอ่ยขึ้น “เจ้าต้องการตามหาผีเฒ่าแบกโลงเพื่อแก้แค้นให้อาจารย์ของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เขาเคยได้ยินเฒ่าบอดเล่าให้ฟังว่า เมื่อห้าร้อยปีก่อน ศิษย์คนโตของเขา ผีหมัว เคยบุกเข้าไปในยมโลก เพื่อตามหาร่องรอยของผีเฒ่าแบกโลง
ถึงแม้ผีหมัวจะไม่เจอตัวผีเฒ่าแบกโลง แต่เขาเจออาจารย์ของเฒ่าบอด อู่จั้ง และพยายามจับตังอู่จั้งไปด้วย
ทว่า อู่จั้งได้ใช้เคล็ดวิชาลับที่ทำลายพลังวิถีตัวเอง จนรอดออกมาได้สำเร็จ และท้ายที่สุดก็ใช้พลัง ‘กงล้อศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนยมโลก’ ที่ผีเฒ่าแบกโลงทิ้งไว้ให้ ส่งตัวเฒ่าบอดออกจากยมโลก
ส่วนอู่จั้งบาดเจ็บหนักหนาเกินไป จบชีวิตลงนิรันดร์
เรียกได้ว่าหนี้แค้นนี้ เกิดขึ้นเพราะผีหมัว โนเวล-พีดีเอฟ
ส่วนซูอี้เดาได้แต่แรกแล้วว่าห้าร้อยปีก่อน ศิษย์ทรยศของตัวเองเดินทางไปตามหาผีเฒ่าแบกโลงที่ยมโลกเป็นไปได้สูงว่าเพื่อสืบค้นว่าตัวเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว!
ถึงอย่างไร ห้าร้อยปีก่อนที่ตัวเองเลือกกลับชาติฝึกฝนใหม่อีกครา
ภายในโลงศพที่ตั้งอยู่ในหอวิญญาณ ก็ปราศจากศพของตัวเอง…
“ถูกต้อง”
เฒ่าบอดมีท่าทีอาดูร
จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึก “คุณชายซูคงรู้ว่าข้ารับฉือเจี่ยนซู่เป็นศิษย์แล้ว เชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพของข้านับว่ามีผู้สืบทอด ต่อให้ข้ากลับไปยังยมโลกแล้วประสบเคราะห์ร้าย ก็ไม่มีสิ่งใดให้นึกเสียใจ”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หนี้แค้นของอาจารย์เจ้าเกิดขึ้นเพราะข้า ย่อมเป็นข้าที่ต้องจัดการ”
เฒ่าบอดผงะ และเอ่ยอย่างผิดคาด “คุณชายซู นี่ท่าน… หมายความว่าอย่างไร?”
ซูอี้ตบบ่าเขา “เจ้ารู้แค่ว่าหลังจากนี้ข้าจะช่วยเจ้าจัดการผีหมัว ผดุงความเป็นธรรมให้อาจารย์ของเจ้าเป็นพอ”
เฒ่าบอดชะงัก ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้นอย่างซาบซึ้ง “คุณชายซู เรื่องนั้น… ข้าจะบังอาจได้อย่างไร…”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ ขัดขึ้น “ฟังที่ข้าพูด เจ้ายังไม่ต้องรีบร้อนกลับยมโลก อย่างไรเสีย แดนเซียนมิคสัญญีแห่งนั้นก็อยู่ในการควบคุมของโถงหลงลืมแล้ว เจ้าต้องการยืมพลังช่องทางกลับไปยังยมโลก ย่อมต้องพบเจออุปสรรค”
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยต่อ “ส่วนข้า ย่อมต้องเดินทางไปที่ยมโลกในภายภาคหน้าอยู่แล้ว ข้าต้องเอาของคืนจากคนเคยรู้จักนิดหน่อย ถึงเวลานั้น เจ้าค่อยเดินทางไปกับข้า”
เฒ่าบอดตอบรับทันที “ได้!”
สนทนากันต่ออีกชั่วครู่หนึ่ง ชายชราตาบอดจึงบอกลา
ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายคนเดียว ตามองท้องฟ้ายามราตรีที่ห่างออกไป ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด
ข่าวที่เฒ่าบอดนำมาให้วันนี้ พิสูจน์เรื่องที่เขาคาดเดาไว้หนึ่งประการ…
นั่นก็คือถึงแม้กฎเกณฑ์ในโลกใบนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมหันต์ แต่นี่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น
ละครที่แท้จริงจะเริ่มแสดงเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง!
ถึงครานั้น บางทีอาจมีกลุ่มขุมกำลังต่างโลกที่คาดไม่ถึงทยอยเดินทางเข้ามา!
“ชักสนุกขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ ไม่เเปลกหรอกที่บรรดากลุ่มขุมกำลังโบราณอย่างตระกูลหวนเผ่ามารจะฉวยโอกาสก่อนแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึงขยายอำนาจออกไปไม่หยุด พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าการแก่งแย่งที่แท้จริงจะเกิดขึ้นหลังจากแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง…”
“กระนั้น หากพวกเขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้า ถือว่ารนหาที่ตายเสียแล้ว!”
…..
เวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า
วันที่สามเดือนสาม
ฤดูวสันต์ แมกไม้มวลบุปผาผลิบาน นกน้อยคล้อยบินอยู่บนผืนหญ้า ความสดชื่นแห่งวสันตฤดูกระจายคละคลุ้ง
ส่วนบรรยากาศในเมืองจิ๋วติ่งพลันกดดันขึ้นมา
พายุใกล้จะมาแล้ว!
เพราะมีข่าวหนึ่งแพร่ออกไปในวันนี้…
ห้ากลุ่มขุมกำลังโบราณอันประกอบด้วย ตระกูลหวนเผ่ามาร สำนักผลาญตะวัน สำนักฌานกระจ่างจิต คีรีดาบเมฆาเร้น และสำนักวิถีสุญญะ ประกาศร่วมกันว่าจะยกทัพพิชิตนครหลวงจิ๋วติ่งในเจ็ดวันนี้!
หนึ่งเพื่อสังหารซูอี้!
สองเพื่อโค่นราชวงศ์เซี่ย!
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ผู้คนในใต้หล้าล้วนตะลึง ฮือฮากันยกใหญ่
นครหลวงจิ๋วติ่งในฐานะเมืองหลวงแห่งต้าเซี่ย ย่อมกลายเป็นตาพายุโหม!