บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 703 วันที่สิบเดือนสาม เหล่าศัตรูมาเยือนถ้วนหน้า
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 703 วันที่สิบเดือนสาม เหล่าศัตรูมาเยือนถ้วนหน้า
ตอนที่ 703: วันที่สิบเดือนสาม เหล่าศัตรูมาเยือนถ้วนหน้า
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งห้ากลุ่มขุมกำลังเต๋าโบราณมาเยือน ปลายดาบชี้มายังนครหลวงจิ๋วติ่งอันเป็นเมืองหลวงแห่งต้าเซี่ย!
เรื่องนี้สะท้านไปทั้งปฐพี
ผู้ฝึกตนในโลกนี้ต่างตระหนักได้ว่าท้ายที่สุดแล้ว บรรดาขุมกำลังโบราณก็ต้องลงมือ ช่วงชิงอำนาจและแดนดินของราชวงศ์เซี่ย!
หนนี้หากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าชนะ กฎเกณฑ์ในต้าเซี่ยคงต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยมีเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าเป็นผู้พิพากษา!
“บรรดาเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ต่างหมายตาอำนาจและอิทธิพลของราชวงศ์เซี่ย ส่วนเรื่องสังหารซูอี้… เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น!”
ใครบางคนคาดเดา
อย่างไรเสีย ซูอี้ก็มีเพียงตัวคนเดียว ต่อให้ล้ำเลิศสะท้านฟ้าปานใด ก็ไม่ควรค่าให้บรรดาขุมกำลังโบราณเหล่านั้นต้องปฏิบัติการเสียยิ่งใหญ่ขนาดนี้
เป้าหมายของพวกเขาคือปันส่วนราชวงศ์เซี่ย แล้วเข้าแทนที่!
“ศึกใหญ่นี้ ย่อมต้องดุเดือดเป็นแน่แท้ เพียงพอให้จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ตลอดไป ผู้ใดชนะ ผู้นั้นคือจ้าวแห่งโลกนี้!”
คนรุ่นอาวุโสชี้
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป คนจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วสารทิศ รวมพลกันมุ่งหน้าไปยังนครหลวงจิ๋วติ่ง
ความสำคัญของศึกนี้เพียงพอที่จะส่งผลกระทบต่อระเบียบในใต้หล้า เรียกได้ว่าเป็นสงครามที่สำคัญที่สุดก่อนแสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึง
“บางทีพวกเรา… อาจได้ประจักษ์ถึงปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์!”
บางคนมีความคาดหวังอยู่เต็มอก
“โถงวิญญาณหยินทมิฬกับตระกูลตงกัวไม่เข้าร่วม? หรือว่าพวกเขาไม่ปรารถนาได้ส่วนแบ่งเนื้อหวานอย่างราชวงศ์เซี่ยหรือ?”
บางคนวิพากษ์วิจารณ์ เหตุใดโถงวิญญาณหยินทมิฬและตระกูลตงกัวซึ่งเป็นสมาชิกเจ็ดขุมกำลังโบราณจึงไม่เข้าร่วม
แต่ก็ไม่ได้คำตอบชัดเจน
……
ขณะที่พายุกำลังโหมกระหน่ำใต้หล้า ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันมากมายพากันออกเดินทางมายังนครหลวงจิ๋วติ่ง
อย่างเช่น เฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ กู่ชางหนิง หลี่หานเติง เฉินลวี่ และคนอื่น ๆ
ขณะเดียวกัน ยังมีบุคคลชั้นนำที่ติดอันดับ ‘ทำเนียบดารา’ พากันเดินทางมาอีกมาก!
สำหรับผู้เกรียงไกรที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสารทิศอย่างพวกเขา หาได้สนใจการมีอยู่ของราชวงศ์เซี่ยไม่
สิ่งที่พวกเขาสนใจคือ ซูอี้จะรอดจากมรสุมคราวนี้หรือไม่!
อย่างไรเสีย นับแต่ที่ชายหนุ่มปรากฏตัวในโลกฝึกฝนแห่งต้าเซี่ยอีกครั้งจวบจนบัดนี้ เริ่มจากปลิดชีพศิษย์ผู้สืบทอดคีรีดาบเมฆาเร้นอย่างพวกฉู่อวิ๋นเคอ จากนั้นปราบตงกัวเฟิง ณ วังเทพสวรรค์เมฆา และสังหารมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตสยายวิญญาณหกคนอย่างพวกตงกัวไห่
วีรกรรมเหล่านี้ส่งผลให้ซูอี้กลายเป็นบุคคลจับตามองในใต้หล้าอีกครั้ง
กระทั่งมีข่าวลือว่า สามอันดับแรกใน ‘ทำเนียบดารา’ ที่หอเมฆาเขียวเรียบเรียงขึ้นใหม่มีตำแหน่งของซูอี้!
การดำรงอยู่สะท้านโลกาเช่นนี้ บัดนี้โดนเหล่าขุมกำลังโบราณทั้งห้าหมายตัว ปรารถนาจะเข่นฆ่าเพื่อความสะใจ ผู้ใดเล่าจะไม่สนใจ?
…..
นครหลวงจิ๋วติ่งเงียบเชียบหนาวเหน็บขึ้นมา
ตั้งแต่ข่าวที่เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ร่วมมือกันนำทัพพิชิตนครหลวงจิ๋วติ่งแพร่ออกไป ผู้คนภายในนครหลวงจิ๋วติ่งเปรียบเสมือนนกตื่นธนู และต่างก็เริ่มอพยพออกจากเมือง
ต่อให้เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาก็รู้ดี สงครามนี้ปะทุเมื่อใด พลังที่พร้อมจะลบล้างฟ้าดินเป็นไปได้สูงว่าจะสร้างบาดแผลฉกรรจ์แก่นครหลวงจิ๋วติ่ง!
ถึงเวลานั้น ขืนยังอยู่ภายในนครหลวงจิ๋วติ่ง ก็ไม่ต่างสิ่งใดจากรนหาที่ตาย
ที่เรียกกันว่าบ้านเมืองแตกสลาย ชีวิตหาไม่ คงเป็นเช่นนี้แล
เป็นเหตุให้ในเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน
ประชากรส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือสามัญชนคนธรรมดา ต่างพากันหนีออกจากนครหลวงจิ๋วติ่งอย่างรีบร้อน
นครหลวงจิ๋วติ่งที่เคยเป็นสถานที่รุ่งเรืองมั่งคั่งอันดับหนึ่งในโลกนี้ ราวกับสูญสิ้นพลังชีวิตไปกว่าครึ่ง กลายเป็นสถานที่เงียบเหงาวังเวง
ความรุ่งเรืองในอดีตราวกับสายน้ำที่หลั่งไหลจากไปจนหมดสิ้น
“นครหลวงจิ๋วติ่งอันกว้างใหญ่ไพศาล บัดนี้เหลือเพียงความเงียบเชียบหงอยเหงา”
บนภูเขาเทียนหมาง จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมือไพล่หลัง พลางถอนหายใจเบา ๆ
จากนั้นเขาหันไปมองเวิงจิ่ว “สถานการณ์ภายในเป็นอย่างไรบ้าง?”
เวิงจิ่วมีสีหน้ากังวล “ภัยพิบัติกำลังจะมา หัวใจทุกคนต่างหนักอึ้ง แต่ยังดีที่ไม่ได้โกลาหลแต่อย่างใด ทุกคนล้วนทำตามคำสั่ง อยู่กันนิ่ง ๆ ที่ภูเขาเทียนหมาง”
เสียงนั้นหดหู่แหบแห้ง
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกลับดูสุขุม “ขอเพียงพวกเรานิ่งได้ก็พอ”
เวิงจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง “ถ้าสหายเต๋าซู…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็ขัดขึ้นเสียก่อน “เหล่าจิ่ว สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดคือหลังจากตัดสินใจแล้วละล้าละลัง คิดมากกังวล! อีกอย่าง ข้าไม่คิดว่าสหายเต๋าซูจะแพ้หรอก!”
เสียงนั้นเด็ดเดี่ยวดังกึกก้อง
นี่ไม่ได้เป็นการปลอบใจตัวเอง แต่เกิดจากความเชื่อใจที่จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมีต่อซูอี้
“จริงสิ ช่วงนี้สหายเต๋าซูทำอะไรอยู่?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยถาม
สีหน้าของเวิงจิ่วแปลกไปทันที “ยังเป็นเช่นวันเก่า เวลาฝึกฝนก็ฝึกฝน เวลาพักผ่อนก็พักผ่อน บางครั้งก็ไปเดินเล่นชมนกชมไม้ในเมืองกับแม่นางซินจ้าว เมื่อวานตอนข้าน้อยไปเยี่ยมเยือนยังพบว่ากระทั่งปลาในสระบัวที่สวนน้อยนภาเมฆยังโดนให้อาหารจนอ้วนขึ้นเป็นเท่าตัว…”
เมื่อพูดมาถึงนี่ เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกที่ทั้งนับถือทั้งสะท้อนใจ “ต้องยอมรับว่า การผ่อนอารมณ์ของสหายเต๋าซูเก่งกาจที่สุดเท่าที่ข้าน้อยเคยพานพบ ราวกับต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายเขาก็ไม่มีทางขมวดคิ้วสักแอะ”
ฟังจบ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหัวเราะเสียงใส “เมื่อเผชิญเรื่องใหญ่ให้สุขุมมีสมาธิ! ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้ายิ่งสบายใจ! กระทั่ง…”
“กระทั่งอะไรหรือ”
เวิงจิ่วถามอย่างแปลกใจ
สายตาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเป็นประกาย ทอดมองไปยังที่ไกล ๆ “กระทั่งข้ามีความคิดว่าถ้าคราวนี้ พลังจากห้าขุมกำลังโบราณพ่ายแพ้ให้กับสหายเต๋าซูหมด ระเบียบในใต้หล้านี้จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร?”
เวิงจิ่วขบคิด แล้วต้องนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น
หัวใจร้อนรุ่ม
…..
สวนน้อยนภาเมฆ
ซูอี้นอนอยู่บนเก้าอี้หวายด้วยท่าที่สบาย ทั้งตัวอาบอยู่ใต้แสงแดดวสันตฤดู
ในมือเขามีเมล็ดพันธุ์ดอกไห่ถัง
หลังจากพลังมหาวิถีแผ่ซ่านออกจากมือของเขา เมล็ดพันธุ์ดอกไห่ถังสั่นระริกเล็กน้อย พลันมีต้นอ่อนงอกออกมา เอนไวลู่ลม เจริญเติบโต
เพียงไม่กี่อึดใจ ก็มีใบอ่อนและดอกไม้ตูมงอกออกมา
คล้อยตามเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน ดอกตูมผลิบาน กลีบบุปผาขาวชมพูนวลเนียนดั่งหยกแย้มบาน เปล่งประกายชีวิตชีวาใต้แสงตะวัน งดงามแวววาว เพริศพริ้งเหลือคณา
ทว่าหลังจากเจิดจ้าไปแล้ว ดอกไห่ถังกลับแห้งเหี่ยวทั้งก้านและใบ กลีบดอกไม้หม่นหมอง ปลิดปลิวลงมาอยู่ในฝ่ามือของซูอี้
เมล็ดหนึ่งเมล็ด ดอกไม้หนึ่งดอก จากงอกงามสู่ร่วงโรย สับเปลี่ยนวัฏจักรชีวิต แค่พริบตาสั้น ๆ หนึ่งชีวิตกลับจบสิ้นไปแล้ว
ซูอี้มองก้านใบกลีบดอกที่แห้งเหี่ยวอยู่เต็มกำมือ ความคิดบังเกิด พลังมหาวิถีหนาแน่นเวียนวน เมล็ดดอกไห่ถังอันน้อยนิดดั่งเม็ดทรายงอกรากผลิต้นอ่อนท่ามกลางกิ่งก้านกลีบดอกที่แห้งเหี่ยว เจริญงอกงามอีกครั้ง
ซูอี้คลี่ยิ้ม
นี่แหละ แก่นแท้จุดกำเนิด!
จุดกำเนิด หมายถึงการเริ่มต้น
หนึ่งกำเนิดวนกลับเริ่มใหม่ สรรพสิ่งฟื้นคืน!
แก่นแท้ประการนี้ ก่อเกิดโดยผสานกับสามสุดยอดจังหวะวิถีอย่างเบญจธาตุ ลมและสายฟ้า หยินและหยาง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในความลับสูงสุดแห่งมหาวิถี
“ข้าในตอนนี้ จึงจะนับเป็นผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณที่แท้จริง!
ซูอี้สะท้อนใจ
เส้นทางวิถีวิญญาณ หลอมสมบัติวิญญาณคู่ชีพ รู้แจ้งในความหมายที่แท้จริงของมหาวิถี
มีเพียงครอบครองทั้งสองสิ่งนี้เท่านั้น ถึงจะสมกับสมญานาม ‘มหา’
และเป็นที่มาของนาม ‘มหาปราชญ์สวรรค์’
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ซูอี้หลอมดาบวิถีคู่ชีพ ‘ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์’ ขึ้นมา
และตอนนี้ เขาหล่อหลอมแก่นแท้จุดกำเนิดขึ้นมาได้แล้วจริง ๆ พลังมหาวิถีในตัวล้วนแล้วแปรเปลี่ยนเป็นแก่นแท้จุดกำเนิด!
“เทียบกับเมื่อครั้งเพิ่งก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ พลังวิถีของข้าในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ต่อให้เทียบกับเมื่อชาติก่อน ทั่วทั้งผืนนภาแดนพสุธาแห่งเก้ามหาดินแดน ตั้งแต่ยุคโบราณไล่มาถึงปัจจุบัน น่ากลัวว่าไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้…”
เมื่อคิดมาถึงนี่ ซูอี้ก็ระอาขึ้นมา
เมื่อไร้คู่ต่อสู้ในขอบเขตเดียวกัน หมายความว่าเป็นการยากที่จะวัดฝีมือของตัวเองว่าแกร่งเพียงใด…
และขณะนั้นเอง ซูอี้พลันรู้สึกเฝ้ารอการบุกของเหล่าขุมกำลังโบราณ
“ถ้ามีพวกเก่ง ๆ มาเยอะหน่อยคงจะดี”
ซูอี้รำพึงกับตัวเอง
“ศิษย์พี่ซู เหลืออีกสามวันก็จะถึงวันที่สิบเดือนสามแล้ว”
เหวินซินจ้าวเดินเข้ามา ยื่นชาใสถ้วยหนึ่งให้ซูอี้
วันที่สิบเดือนสาม คือวันที่เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าร่วมทางนำทัพพิชิตนครหลวงจิ๋วติ่ง!
ซูอี้รับชาใสมาจิบหนึ่งอึก แล้วจึงถามขึ้น “ทำไมหรือ เจ้ากลัวว่าข้าสู้พวกเขาไม่ได้รึ?”
“ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่ซูไม่มีทางแพ้แน่นอน!”
เหวินซินจ้าวตอบอย่างมั่นใจ
สองตาของนางเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ราวกับต่อให้ฟ้าดินทลาย ตะวันจันทราดับสิ้น นางก็ไม่มีทางหวั่นไหว
ซูอี้คลี่ยิ้มสง่า “ข้ากลับหวังว่าพวกเขาจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังเกินไป”
…..
วันที่สิบเดือนสาม
เมื่อแสงอัสดงแรกสาดส่องลงพื้นดิน ภายในนครหลวงจิ๋วติ่งอันโอ่อ่าและเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา ทุกอย่างกลับเงียบสงัดหงอยเหงา
สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ และความคึกคักในดินแดนล้วนหายไปหมดสิ้น
ตามตรอกซอย มีเพียงผู้ฝึกตนที่ขึ้นตรงกับราชวงศ์เซี่ยเคลื่อนไหว
และนอกนครหลวงจิ๋วติ่ง กลับมีทิวทัศน์อีกแบบ
เวลานี้ ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ รวมตัวกันอยู่ด้านนอกนครหลวงจิ๋วติ่ง
ยามทอดสายตามองไป ท่ามกลางฟ้าดินไพศาลผืนนี้ เงาคนซ้อนทับกันเต็มไปหมด ศีรษะมนุษย์ขยับไปมา
ไม่เพียงแต่บรรดาตระกูลหลักและสำนักต่าง ๆ จากสิบสามแคว้นแห่งต้าเซี่ย ยังมีผู้แข็งแกร่งจากขุมกำลังโบราณอื่น ๆ อยู่ด้วย ทั้งหมดกำลังรอ
“วันนี้ หากราชวงศ์เซี่ยพ่ายแพ้ นครหลวงจิ๋วติ่งเบื้องหน้าเราอาจกลายเป็นซากปรักหักพัง…”
ใครบางคนพึมพำ
“เมืองถูกทำลายยังสร้างใหม่ได้ ถ้าคนตายไป เป็นอันจบสิ้นอย่างสมบูรณ์! ไม่รู้ว่าราชวงศ์เซี่ยเอาสิ่งไหนมามั่นใจ จนบัดนี้ยังไม่ยอมก้มหน้าให้บรรดาเหล่าผู้ยิ่งใหญ่”
ใครบางคนถอนหายใจ
“ต้องยอมรับว่าการโดนเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าหมายหัวพร้อมกัน ซูอี้ถือว่าเป็นคนแรกของโลกนี้!”
เมื่อมีคนพูดถึงซูอี้ พลันก็เกิดเสียงเห็นด้วยจากผู้คนอีกมากมาย!