บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 704 หนึ่งบุรุษพิทักษ์
ตอนที่ 704: หนึ่งบุรุษพิทักษ์
ขอบฟ้าไกล มีเรือล่องล้อเมฆาขนาดใหญ่เท่าขุนเขาห้าลำปรากฏออกมา คืบคลานเข้ามาบนมวลเมฆ ประหนึ่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ห้าแห่งที่เคลื่อนย้ายข้ามมิติมา
ประกายแสงเวียนวน ธงรบสะบัด
เงาจากเรือล่องล้อเมฆาซึ่งสาดส่องลงจากผืนฟ้าบดบังแสงอัสดง ส่งผลให้ผู้ฝึกตนทั้งหมดในที่นี้รู้สึกมืดมน ในใจรู้สึกกดดันขึ้นมา
บนเรือล่องล้อเมฆาห้าลำนี้ บรรทุกผู้แข็งแกร่งจากตระกูลหวนเผ่ามาร สำนักผลาญตะวัน สำนักวิถีสุญญะ คีรีดาบเมฆาเร้น และสำนักฌานกระจ่างจิต
เวลานี้พวกเขาล่วงล้ำเข้ามาพร้อมกัน เสียงแตรดังก้องอยู่ในอากาศ เพิ่มบรรยากาศพิฆาตแก่ฟ้าดินผืนนี้
ตู้ม!
ท้ายที่สุด เรือล่องล้อเมฆาห้าลำหยุดลงตรงที่ห่างจากนครหลวงจิ๋วติ่งพันจั้ง ท่ามกลางคลื่นอากาศที่ซัดสาด เงาร่างมากมายกระโจนออกจากเรือล่องล้อเมฆา
“หนึ่งคน สองคน สามคน… สวรรค์! ลำพังตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณก็มากันห้าสิบกว่าคนเลยหรือนี่ ผนวกกับตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ไม่เท่ากับว่ามีมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณเกินหลักร้อยเลยรึ?”
ผู้อาวุโสเหล่านั้นเอ่ยอึ้ง ๆ
“แค่ขอบเขตสยายวิญญาณอย่างนั้นหรือ? ไม่! มีตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณด้วย!”
สายตาบางคนร้อนเร่า “เท่าที่ข้ารู้มา หนนี้ห้าขุมกำลังโบราณต่างส่งตัวปีศาจเฒ่าขอบเขตวงล้อวิญญาณออกมาหนึ่งคน แต่ละคนแข็งแกร่งกันทั้งนั้น และต่างประสงค์จะโค่นล้มราชวงศ์เซี่ยลง!”
ขอบเขตวงล้อวิญญาณห้าคน!
ฝูงชนที่อยู่ที่นี่ส่งเสียงกันเซ็งแซ่ เสียงฮือฮาดังขึ้นจากทั่วทุกทิศ
เดิมทีภาพที่มหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณมารวมตัวกันคับคั่งน่าตกใจมากพออยู่แล้ว
ถ้าผนวกกับตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณมาบัญชาการอีกห้าคน ทัพระดับนี้เพียงพอจะกวาดล้างทั้งมหาทวีปคังชิงแล้ว!
ในโลกนี้ไม่เหลือขอบเขตจักรพรรดิแล้ว ดังนั้นการดำรงอยู่ของตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจึงเป็นพลังรบเหนือสุด!
แต่ละคนล้วนเป็นดั่งเสาค้ำที่ข่มขวัญศัตรูจากสิบทิศ!
และบัดนี้ ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณห้าคน นำทัพมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณนับร้อยบุกเข้ามาพร้อมกัน ความเกรียงไกรนี้แค่คิดก็รู้แล้วว่าน่าสะพรึงปานใด!
“คราวนี้ราชวงศ์เซี่ยต้องพ่ายแพ้เป็นแน่แท้!”
คนไม่น้อยสังหรณ์ใจว่า ราชวงศ์เซี่ยที่เคยเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อาจต้องจบสิ้นลงในวันนี้!
“เผชิญกับความแข็งแกร่งระดับนี้ ต่อให้ซูอี้ผู้นั้นเป็นเทพเซียนลงมาจุติ ก็ไม่ต่างจากตั๊กแตนริอ่านขวางรถ ไร้ซึ่งโอกาสชนะ”
ใครบางคนเอ่ยอย่างมั่นใจ
ปฐพีแห่งนี้ อึมครึมไปด้วยจิตสังหาร
เรือล่องล้อเมฆาห้าลำลอยค้างอยู่เหนือฟ้า มหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณนับร้อยยืนตระหง่านอยู่หน้าเรือล่องล้อเมฆา บารมีที่รวมตัวอยู่นั้นปกคลุมทั่วฟ้าดินผืนนี้ กระทั่งสายลมหมู่เมฆยังต้องเปลี่ยนสี
ประหนึ่งเป็นกองทัพเซียนที่จุติมายังโลกมนุษย์!
“ขบวนยิ่งใหญ่เช่นนี้ ต่อให้ราชวงศ์เซี่ยมีค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนคอยคุ้มกัน ก็ไม่มีทางต้านทานได้ ส่วนเด็กแซ่ซูนั่น… เหอะ ๆ ข้าอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าเขาตายอย่างไร!”
ในสถานที่นี้ หมี่เทียนเหอ ผู้อาวุโสสามแห่งหอดาบโคจรสวรรค์มีสีหน้าเคียดแค้น
สิบวันก่อน ซูอี้ปฏิเสธคำเชิญของเขาไม่เท่าไร ซ้ำยังปลิดชีพสืออันต่อหน้าเขา เป็นผลให้ผูกใจเจ็บมาตลอด
“เจ้าคนแซ่ซูนั้นบอกอีกว่า เมื่อบรรดาขุมกำลังโบราณพ่ายแพ้ลง ให้ท่านเอ่ยวจีเมื่อครู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง น่าขันยิ่งนัก”
ข้างกายหมี่เทียนเหอ คนหนุ่มชุดเทาส่งเสียงด้วยรอยยิ้มเย็น
หมี่เทียนเหอเอ่ยเรียบ ๆ “น่าขันรึ ไม่หรอก เขาจองหองถึงขั้นที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงแล้ว!”
ขณะเดียวกัน…
ภายในนครหลวงจิ๋วติ่ง บนยอดเขาหอคอยสูงแห่งหนึ่ง
จากตรงนี้ มองเห็นสถานการณ์นอกเมืองไกล ๆ ได้
“เซี่ยอวิ๋นจิ้งเอ๋ยเซี่ยอวิ๋นจิ้ง คราวนี้ขืนเจ้ายังไม่ยอมก้มหัวอีก ราชวงศ์เซี่ยและนครหลวงจิ๋วติ่งของเจ้าคงต้องดับสูญไปด้วยกันแน่”
ผูซู่หรงทอดมองออกไปไกล
ความยิ่งใหญ่ของขบวนทัพแห่งห้าขุมกำลังโบราณเป็นที่ประหลาดใจของนางเช่นกัน
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งมั่นใจว่าเซี่ยอวิ๋นจิ้งคงแบกรับแรงกดดันนี้ไม่ไหว จนเลือกก้มตัวเสียเอง แล้วยอมให้บุตรสาว เซี่ยชิงหยวนไปกับนาง
“ไหนจะเจ้าซูอี้ผู้นั้นอีก เชื่อว่าเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับภาพนี้จริง ๆ ต้องเปลี่ยนใจ ยอมมาพบข้าแต่โดยดีแน่ เพราะมีเพียงข้าที่ช่วยชีวิตเขาได้!”
ผูซู่หรงพูดมาถึงนี่ มุมปากที่คลี่ออกแสดงถึงความยโสอย่างอดไม่ได้
เวลานั้น อาเหลิ่งกลับมาด้วยท่าทีรีบร้อน
ผูซู่หรงตื่นตัวขึ้นมา “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
อาเหลิ่งตอบด้วยสีหน้าอึมครึม “เจ้าเซี่ยอวิ๋นจิ้งบอกว่านครหลวงจิ๋วติ่งไม่มีทางพ่ายแพ้ ราชวงศ์เซี่ยก็ไม่มีทางมีอันเป็นไป พวกเรา… อย่าหวังว่าเขาจะยอมก้มหัว!”
เสียงนั้นเจือแววข้องใจ “ข้าล่ะแปลกใจยิ่ง หรือคนผู้นี้จะเสียสติไปแล้ว? ไม่ดูสถานการณ์เบื้องหน้าหน่อยเลยหรือ ว่าร้ายแรงถึงปานใด หรือต้องการรนหาที่ให้ได้?”
ผูซู่หรงผงะ เซี่ยอวิ๋นจิ้ง…ปฏิเสธอย่างนั้นหรือ!?
นางคิดไม่ถึงเช่นกันว่าถึงขั้นหมดหนทาง คราวเคราะห์พร้อมหล่นทับเยี่ยงนี้แล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ้งยังจะปฏิเสธข้อเสนอของตัวเองอีก
ผูซู่หรงสงบจิตใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แล้วซูอี้เล่าว่าอย่างไร”
ยามพูดถึงซูอี้ ดวงหน้างดงามของอาเหลิ่งก็เปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคืองมุ่งร้าย เขากัดฟันกรอด “หมอนั่นบอกว่า ให้ข้า… ไสหัวไป!”
เขาขยี้จมูกด้วยความโมโห “ถ้าไม่ใช่ว่าท่านไม่อนุญาตให้ข้าลงมือ ตอนนั้นข้าต้องฆ่าเจ้าคนแซ่ซูเป็นแน่!”
ผูซู่หรง “…”
ใบหน้าสง่างามของนางอึมครึมลงทีละน้อย นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความกราดเกรี้ยว “ซูอี้ผู้นี้…ช่างไม่รู้จักมองความหวังดีเอาเสียเลย!”
ผูซู่หรงสูดหายใจเข้าลึกพลางกล่าว “เช่นนั้นจงทำตามแผนก่อนหน้านี้ของเรา ถึงคราวที่ราชวงศ์เซี่ยล่มสลาย พวกเราค่อยลงมือพาตัวชิงหยวนไป!”
อาเหลิ่งพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีบอกบุญไม่รับ “พอนึกไปว่าประเดี๋ยวเจ้าซูอี้ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือผู้อื่น ข้าไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย”
ผูซู่หรงอดขำไม่ได้ “เขากำลังจะตายอยู่ทนโท่ ไฉนเลยที่เจ้าต้องติดใจเอาความกับเขาด้วย”
พูดมาถึงนี่ ราวกับนางรู้สึกถึงบางอย่าง นัยน์ตานิ่งงันเล็กน้อยขณะมองออกไปนอกเมือง
…..
นอกนครหลวงจิ๋วติ่ง
บนเรือล่องล้อเมฆาลำหนึ่งของตระกูลหวนเผ่ามาร ชายแก่ผอมแห้งผู้หนึ่งก้าวออกมา
พริบตานั้น ทั้งหมดเงียบกริบ
ผู้ฝึกตนในที่นี้ล้วนรู้สึกกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก สีหน้าเปลี่ยนไปทันควัน
หวนเทียนซู!
ผู้ฝึกอสูรขอบเขตวงล้อวิญญาณ ได้รับสมญานามว่าเป็นสองเสาหลักแห่งตระกูลหวนเผ่ามารร่วมกับพี่ชายของเขา หวนเทียนตู้
แม้ว่าหวนเทียนซูจะไม่ค่อยได้ออกมาสู่โลกนัก แต่สำหรับผู้ฝึกตนใต้หล้า ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะไม่สนใจ
“สหายเต๋าทุกท่าน โปรดร่วมวงสนทนาด้วย”
หวนเทียนซูกวาดสายตามองเรือล่องล้อเมฆาสี่ลำอื่น ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง
ทันใดนั้น ในเรือล่องล้อเมฆาสี่ลำนั้นต่างมีร่างหนึ่งเดินออกมา
โดยเป็นนักพรตเต๋าในชุดสีนิล บุรุษในชุดสีม่วง หลวงจีนเฒ่าในชุดสีเทา สตรีชุดหลากสีสันที่แบกดาบไว้ที่หลัง
บนตัวพวกเขา บ้างมีเปลวเพลิวสีทองทะยาน บ้างมีแสงสะท้อนเจิดจ้า บ้างมีบุคลิกเคร่งขรึม บ้างมีปราณดาบทะยาน
พลังของแต่ละคนน่ายำเกรง ทั้งตัวปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงศักดิ์สิทธิ์มหาวิถี ทำลายเมืองให้พังพินาศได้ด้วยการยกมือหนึ่งข้างเท่านั้น
ทั้งหมดเป็นตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
เมื่อสี่คนนี้ปรากฏตัว แรงกดดันมหาศาลได้ขยายออกไป สรรพสิ่งต่างสะท้าน มิติกู่ร้อง ราวกับกำลังศิโรราบ
ผู้แข็งแกร่งที่กระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ นครหลวงจิ๋วติ่งล้วนแต่ใจสั่นด้วยความผวากันทั้งนั้น
“นี่น่ะหรือนครหลวงจิ๋วติ่ง องอาจจริง ๆ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อันวิจิตร”
นักพรตเต๋าชุดดำทอดมองนครหลวงจิ๋วติ่ง สะท้อนใจออกมา โนเวล-พีดีเอฟ
เครายาวและเรือนผมของเขาเป็นสีเทา มือถือแส้ปัด แขนเสื้อกว้างพลิ้วไหว ประหนึ่งเทพเซียนก็ไม่ปาน ดูอยู่เหนือฆราวาส
เหวินหรูเฟิง!
ผู้อาวุโสแห่งสำนักวิถีสุญญะ มหาปราชญ์สวรรค์แห่งขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
“อนิจจา ราชวงศ์เซี่ยดื้อด้าน น่ากลัวว่านครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้… ต้องล่มสลายลงวันนี้เสียแล้ว”
ชายชุดม่วงปริปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เสียงของเขาเสมือนอัสนีบาต กึกก้องจนมิติอื้ออึง
เสวี่ยโม่หนิง
หนึ่งในผู้ฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณที่เหลืออยู่น้อยนิดแห่งสำนักผลาญตะวัน!
“โลกกลียุค ปวงประชาคือผู้บริสุทธิ์ หากวันนี้ราชวงศ์เซี่ยยอมละทิ้งความมืดมิด โอบกอดแสงสว่าง ก้มหัวศิโรราบ นครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้คงไม่ถึงขั้นล่มสลายไปเสียอย่างนี้ ใต้หล้าผืนนี้ก็ไม่ต้องอยู่ในความอลหม่านเพราะเหตุนี้”
หลวงจีนเฒ่าชุดเทาพนมมือ สีหน้าเศร้าหมอง
หลวงจีนมีนามว่าเฉิงอวิ๋น มาจากสำนักฌานกระจ่างจิต พลังวิถีในขอบเขตวงล้อวิญญาณนั้นลึกล้ำเกินหยั่ง
“หากราชวงศ์เซี่ยคิดยอมแพ้ ไฉนต้องรอมาถึงป่านนี้ ข้าว่าต่อให้วันนี้พวกเขายอมแพ้ ก็ควรให้บทลงโทษเพื่อเป็นตัวอย่าง”
สตรีชุดหลากสีผู้แบกดาบไว้ที่หลังเอ่ยอย่างดุดัน
นางมีโฉมหน้าโดดเด่น ทว่าสีหน้ากลับเยียบเย็นดั่งหิมะ บุคลิกคมกล้าราวดาบ ข่มขวัญผู้อื่นยิ่งนัก
เนี่ยหว่านจือ
ผู้ฝึกดาบขอบเขตวงล้อวิญญาณแห่งคีรีดาบเมฆาเร้น!
“จริงสิ ไหนจะเจ้าซูอี้ผู้นั้นอีก คราวนี้ต้องกำจัดให้ได้!”
เนี่ยหว่านจือเอ่ยเสียงเย็น
ซูอี้!
เมื่อกล่าวถึงชื่อนี้ ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณอีกสี่คนที่เหลือต่างพยักหน้า
หนึ่งในเป้าหมายที่พวกเขาร่วมทัพมาเยือนในครานี้ก็เพื่อสังหารซูอี้!
“คราวนี้ พวกเราตั้งกองทัพระดับวิถีวิญญาณบุกพิชิตเมือง ลำพังซูอี้คนเดียว ย่อมไม่อาจกระทำสิ่งใดได้!”
น้ำเสียงของหวนเทียนซูเย็นยะเยือก สีหน้าเรียบนิ่ง
“ผู้อาวุโสทุกท่าน หากซูอี้ปรากฏตัว โปรดอนุญาตให้ข้าได้สู้กับเขาเพียงลำพังด้วย!”
เวลานั้น ภายในกองทัพสำนักวิถีสุญญะ ชายหนุ่มในชุดเต๋าก้าวออกมา
เขานั้นโดดเด่นสง่า ดวงตาเป็นประกาย คิ้วโก่งคมกล้า ประดับรัดเกล้าปีกนกบนหัว รูปโฉมหล่อเหลา
โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้น เจิดจรัสประดุจดาราบนฟ้า เมื่อลืมตา วายุอัสนีพลุ่งพล่าน สะกดใจยิ่ง
ฉับพลัน สายตาทุกคู่จดจ้องไปที่ชายหนุ่มชุดเต๋าผู้นี้
เมื่อจำได้ว่าชายหนุ่มชุดเต๋าผู้นี้คือใคร เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้งในสถานที่นั้น
โจวจื้อ!
ผู้นำคนรุ่นเยาว์แห่งสำนักวิถีสุญญะ ผู้ร้ายกาจยุคโบราณซึ่งติดอันดับสองของทำเนียบดารา ผลการฝึกขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นสมบูรณ์!
ลือกันว่า เขามีพรสวรรค์เหนือชั้น เกิดมาพร้อมกับ ‘เนตรเพลิงอัสนี’ และมีเคล็ดวิชาลับลึกล้ำมากมาย พลังวิถีของเขาสามารถข้ามขอบเขตไปเข่นฆ่าตัวตนขอบเขตสยายวิญญาณได้!
ความจริงแล้ว บุคคลห้าอันดับแรกบนทำเนียบดาราล้วนเป็นผู้ร้ายกาจในผู้ร้ายกาจ แต่ละคนต่างครอบครองมหาบารมี รากฐานแกร่งกล้าไร้ขอบเขต
ส่วนโจวจื้อที่ติดอันดับสองย่อมแข็งแกร่งโดยไม่ต้องสงสัย
“ทุกท่านคิดเห็นอย่างไร”
เหวินหรูเฟิงแห่งสำนักวิถีสุญญะเอ่ยพร้อมกับยิ้มบาง
หวนเทียนซูตอบ “ตราบใดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการกวาดล้างราชวงศ์เซี่ยของพวกเรา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกอย่าง ที่นี่มีพวกข้าอยู่ ต่อให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับสหายน้อยโจวจื้อ ก็ช่วยเหลือได้ทัน”
วาจาเหมือนสงบราบเรียบ ทว่าเมื่อกระทบหูของโจวจื้อ กลับทำให้เขาคิ้วขมวด
“ผู้อาวุโสวางใจได้ ข้าย่อมสู้เต็มที่ ไม่ปล่อยให้มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น”
โจวจื้อประสานมือเบา ๆ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแน่วแน่
หวนเทียนซูยิ้ม และกำลังจะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง สายตาพลันทอดมองกำแพงเมืองสูงลิ่วของนครหลวงจิ๋วติ่งที่ห่างไกลออกไป
แทบจะในเวลาเดียวกัน คนอื่น ๆ ก็หยุดสนทนา และทอดสายตามองไปเช่นกัน
ใต้แสงอัสดง ลำแสงอ่อน ๆ ปกคลุมกำแพงเมืองโบราณไว้
และบนกำแพงเมือง มีร่างสูงโปร่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบได้
ชุดสีเขียวหยกนั้นบริสุทธิ์เหนือปุถุชน
เขายืนไพล่มืออยู่ที่นั่น ประหนึ่งเทพเซียนผู้ก้มมองมวลมนุษย์!