บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 705 เช่นเจ้าไม่ไหวหรอก
ตอนที่ 705: เช่นเจ้าไม่ไหวหรอก
ตอนที่ 705: เช่นเจ้าไม่ไหวหรอก
ซูอี้!
เมื่อทุกคนเห็นร่างสูงองอาจเหนือกําแพงเมือง ผู้ฝึกตนทั้งหลายต่างทราบได้ว่าเจ้าของร่างผู้นี้เป็นใคร
เกิดความโกลาหลไปทั่วบริเวณอยู่พักหนึ่ง และมีเสียงอุทานเซ็งแซ่
“บุรุษผู้นี้กล้ายิ่งนัก เขาไม่ได้หนี…”
หลายคนประหลาดใจ
“เขาคือซูอี้นั่นเอง…”
ใครบางคนทอดถอนหายใจ
คนส่วนใหญ่เพิ่งเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของซูอี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นพวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นบุคคลเดียวกับที่สร้างตำนานเอาไว้มากมายตามข่าวลือ
“ซูอี้ยังคงดูลึกล้ำยากหยั่งถึงเช่นเดิม…”
เฉิงผูถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อแลเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของซูอี้ ไม่ว่าจะเป็นฉือเจี่ยนซู่ กู่ชางหนิง เฉินลวี่ หรือตัวตนรุ่นเยาว์คนอื่น ๆ ต่างก็มีความรู้สึกซับซ้อน
ไม่กี่เดือนก่อนพวกเขายังสามารถแข่งขันกับซูอี้ได้
แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับซูอี้อีกครั้ง พวกเขาถูกทิ้งห่างอย่างน่าใจหาย!
“คนหนุ่มผู้นี้… เขากล้าหรือเสียสติไปแล้วกันแน่…”
ชั้นบนสุดภายในหอคอยสูงแห่งหนึ่งของนครหลวงจิ๋วติ่ง ผูซู่หรงอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดซูอี้จึงกล้าออกไปปรากฏกายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้!
“เซี่ยอวิ๋นจิ้งวางแผนที่จะปล่อยให้ซูอี้ตายโดยลำพังหรือ?”
อาเหลิ่งไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น
“หรือว่า… ราชวงศ์เซี่ยฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ซูอี้…?”
รั่วฮวนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไร้สาระ!”
อาเหลิ่งเอ่ยคำอย่างดูแคลน
“ไร้สาระ?”
รั่วฮวนเอ่ยเสียงต่ำ “ลืมไปแล้วหรือซูอี้ยังสามารถใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน!”
ใบหน้าที่เย้ยหยันของอาเหลิ่งแข็งค้าง
เขาจำได้ว่าเมื่อตอนที่เขาบุกเข้าไปในภูเขาเทียนหมางเมื่อสิบวันก่อน เขาถูกกำราบโดยซูอี้ซึ่งใช้อำนาจของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน
“เช่นนั้นเรามาดูกันว่าซูอี้จะเปลี่ยนกระแสน้ำได้หรือไม่!”
ผูซู่หรงเอ่ยคำอย่างใจเย็น
…
ในเวลาเดียวกันบนยอดเขาเทียนหมาง
เหวินซินจ้าว เซียนหานเยียน และชิงหยารับชมเหตุการณ์อยู่เคียงข้างจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย
ในขณะนี้ ม่านแสงที่เกิดจากพลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน ปรากฏขึ้นในอากาศ
ม่านแสงนี้ฉายภาพฉากที่เกิดขึ้นนอกเมืองอย่างแจ่มชัด
“คนเหล่านั้นคงคิดว่าข้า… เซี่ยอวิ๋นจิ้งบ้าไปแล้ว…”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพึมพำกับตัวเอง ทว่าดวงตาของเขากลับเป็นประกาย
จากนั้นเขามองไปที่เหวินซินจ้าวและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “แม่นางซินจ้าว เจ้ากังวลเกี่ยวกับสหายเต๋าซูหรือไม่?”
เหวินซินจ้าวส่ายหัวโดยไม่ลังเลและกล่าวว่า “ไม่แม้แต่น้อย”
จักรพรรดิเซี่ยหัวเราะ “ข้าก็เช่นกัน!”
เมื่อเห็นฉากนี้ เวิงจิ่วและคนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้าซับซ้อน
พวกเขาไม่สามารถสงบและมั่นใจได้เหมือนจักรพรรดิของพวกเขาหรือเหวินซินจ้าว
ท้ายที่สุดแล้วขุมกำลังโบราณเหล่านั้นที่อยู่นอกเมืองน่ากลัวอย่างแท้จริง
“พี่ชายซูอี้ย่อมไม่แพ้และจะไม่มีวันแพ้!”
ชิงหยากล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
…
ฟ้าดินเงียบสงัดเย็นยะเยือก
ทุกสายตาจากนอกเมืองล้วนบรรจบกันที่ซูอี้ซึ่งยืนอยู่บนยอดขอบกำแพงเมือง
นครหลวงอันใหญ่โตแต่กลับมีเพียงผู้เดียวที่ปรากฏกายอย่างองอาจ ไม่ต้องเอ่ยวาจาก็พอจะเดาได้ว่าศึกครานี้ซูอี้คือผู้รับผิดชอบ!
“เซี่ยอวิ๋นจิ้งอยู่ที่ใด? เหตุใดเขาจึงส่งตัวตนเล็กจ้อยเช่นเจ้าออกมารับหน้าตายแต่เพียงผู้เดียว?”
ทันใดนั้นหวนเทียนซูตะโกนอย่างเย็นชา
ทุกคำพูดที่เอ่ยออกเสียงดังลั่นประหนึ่งปืนใหญ่คำราม คลื่นเสียงนี้ส่งผลให้แม้แต่กำแพงนครจิ๋วติ่งอันแข็งแรงยังสั่นสะเทือน พื้นดินตีนกำแพงแตกแยกอย่างน่าหวาดหวั่น
อำนาจของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนสำแดงออกทันทีปิดกั้นคลื่นเสียงนี้ไม่ให้กล้ำกรายเข้าไปภายในเมือง
ฉากนี้ทำให้หลายคนตื่นตระหนก
นี่คือความน่าสะพรึงกลัวของขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
โดยไม่ต้องใช้ทักษะวิเศษใด ๆ เพียงแค่พึ่งพาน้ำเสียงจากคำเอ่ยก็เพียงพอทำให้โลกสั่นสะเทือน ภูเขาและแม่น้ำปั่นป่วนพังทลาย!
และคำพูดของหวนเทียนซูดูถูกซูอี้ถึงขีดสุด เขาเรียกซูอี้ว่า ‘ตัวตนเล็กจ้อย’ ราวกับหาได้เห็นอยู่ในสายตาไม่
ซูอี้ยกน้ำเต้าขึ้นจิบสุรา ก่อนจะพูดอย่างเฉยเมย “ข้าคนเดียวเพียงพอแล้วที่จะฆ่าพวกเจ้าได้จนสิ้น”
แม้ไม่ได้ตะโกน แต่คำพูดของซูอี้นั้นไม่มีผู้ใดไม่ได้ยิน
ประหนึ่งมีสายลมเย็นพัดวูบ ไม่รู้มีกี่คนที่สะดุ้งกับประโยคเรียบสั้นนี้
“เขา… เขาคิดจะรับมือคนเดียวอย่างนั้นหรือ?”
ใครบางคนอุทานตะกุกตะกัก
“ชายผู้นี้… เขาบ้าไปแล้วหรือ?”
ใครบางคนอุทานเสียงดัง ๆ ด้วยรู้สึกไร้สาระ
เกิดเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ ไม่มีใครคาดคิดว่าซูอี้จะหมายใจต่อกรกับเหล่าขุมกำลังโบราณยักษ์เหล่านี้เพียงลำพัง!
การกระทำเช่นนี้เหนือจินตนาการของผู้คนโดยสิ้นเชิง
“ก็แค่คนบ้าที่ไม่รู้ว่าตนเองจะตายเร็ว ๆ นี้!”
หมี่เทียนเหอเยาะเย้ย
มีหลายคนที่คิดเหมือนเขา
เมื่อห้าขุมกำลังโบราณได้ยินคำพูดของซูอี้ หวนเทียนซู เหวินหรูเฟิง เสวี่ยโม่หนิง เฉิงอวิ๋น และ เนี่ยหว่านจือ ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณอดไม่ได้ที่จะหัวร่อ
ไม่ต้องสงสัยเลย พวกเขามองว่าคำพูดของซูอี้เป็นเรื่องชวนขำ
“อย่าได้กังวลไปซูอี้ วันนี้เจ้าต้องตาย!”
เสวี่ยโม่หนิงผู้ซึ่งสวมชุดคลุมสีม่วงกล่าวด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักผลาญตะวัน เสวี่ยโม่หนิงในเวลานับได้ว่าเป็นตัวแทนเจตจำนงของสำนักผลาญตะวันทั้งหมด
“พวกเจ้าคิดว่าจะฆ่าข้าได้จริง ๆ หรือ?”
ซูอี้หัวเราะ มือข้างหนึ่งไพล่หลัง ส่วนมืออีกข้างถือน้ำเต้า ดวงตาของเขากวาดไปรอบ ๆ
“แต่หากสหายเต๋าซูเต็มใจที่จะกักขังตัวเองในสำนักฌานกระจ่างจิตของอาตมา อาตมาจะตัดสินใจช่วยเหลือสหายเต๋าให้ได้รอดพ้นจากความตาย”
หลวงจีนเฒ่าเฉิงอวิ๋นพนมมือขึ้นพร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“ซูอี้! หากเจ้ามอบมรดกเต๋าที่อยู่ในกายเจ้ามา ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะยอมปล่อยให้เจ้าถูกคุมขังอยู่ในสำนักฌานกระจ่างจิต”
เหวินหรูเฟิงแห่งสำนักวิถีสุญญะกล่าวออก
“ไม่ได้! เขาสังหารลูกหลานของคีรีดาบเมฆาเร้น วันนี้เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือดเท่านั้น!”
เนี่ยหว่านจือแห่งคีรีดาบเมฆาเร้นตะโกนออกอย่างเย็นชาและอาฆาต
ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านี้ปฏิบัติต่อซูอี้คล้ายปลาบนเขียง จะกดขี่หรือหาผลประโยชน์เช่นไรก็ได้ทั้งนั้น
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูอี้ “เช่นนั้นพวกเจ้าฟังคำของข้าบ้าง ด้วยข้าหาได้เหมือนกับพวกเจ้าไม่… ฉะนั้นคำขอของข้าจึงง่ายยิ่ง วันนี้คำขอข้ามีเพียงอย่างเดียวคือพวกเจ้าอย่าได้พยายามหนีในตอนท้ายก็เพียงพอ”
เงียบสงัด…
ทุกคนมองซูอี้อย่างไม่เชื่อสายตาราวกับกำลังมองคนสติไม่สมประกอบ
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ขอข้าสู้กับคนผู้นี้ก่อนจะได้หรือไม่?”
ทันใดนั้น โจวจื้อบินลอยขึ้นกลางอากาศ
เขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมเต๋าปักลวดลายมังกรและหงส์ ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ทันทีที่เขาปรากฏตัวเขาสามารถดึงดูดความสนใจทุกสายตาของผู้ชมในทันที
“เจ้าอยากตายก่อนอย่างนั้นหรือ?” ซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย
ตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณกล้าที่จะต่อสู้กับเขาในสถานการณ์เช่นนี้? …เห็นได้ว่าอีกฝ่ายมีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองมาก!
โจวจื้อเพิกเฉยต่อการดูแคลนในคำพูดของซูอี้ เขาก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนประกาศเสียงดัง “สำนักวิถีสุญญะโจวจื้อขอคำชี้แนะจากสหายเต๋าซู!”
คำประกาศอันองอาจกล้าหาญนี้เรียกเสียงปรบมือดังเกรียวกราวจากผู้ชม
“สมควรแล้วที่อยู่อันดับสองในทำเนียบดารา!”
แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนที่รับชมเหตุการณ์อยู่ก็ยังประทับใจในท่าทางของโจวจื้อและประหลาดใจ
“เจ้าคนเดียวไม่อาจทำสิ่งใดได้หรอก ให้ผู้อาวุโสของเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลยจะดีกว่า”
ซูอี้ส่ายหัวเล็กน้อย
เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเล็กจ้อยเช่นนี้
อันที่จริงซูอี้ไม่เคยเห็นค่าตัวตนในขอบเขตเดียวกันกับเขามานานมากแล้ว
โจวจื้ออาจจะน่าทึ่งมากสำหรับผู้คนทั่วไป แต่ในสายตาของซูอี้ รุ่นเยาว์ผู้นี้ไม่ได้ต่างจากตงกัวเฟิงแม้แต่น้อย!
สีหน้าของโจวจื้อยังคงสงบแม้จะถูกดูแคลนโดยซูอี้ขนาดนี้ เขากล่าวอย่างเรียบเฉย “สหายเต๋าซูอย่าได้หลงตัวเองมากเกินไปนัก ผู้อาวุโสทั้งหลายมาที่นี่เพื่อจัดการกับราชวงศ์เซี่ยไม่ใช่มาเพื่อจัดการกับเจ้า”
ความหมายของเขาคือซูอี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะให้เหล่าตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งหลายลงมือ
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้
เขาไม่อยากจะเสียเวลาอีกแล้ว ดังนั้นจึงกระโดดออกจากขอบกำแพงเมืองและบินลอยขึ้นไปในอากาศ มือข้างหนึ่งถือน้ำเต้าส่วนอีกข้างหนึ่งยังคงไพล่หลังแล้วพูดว่า “มาเถิด ข้าจะส่งเจ้าไปสู่ถนนปรโลกก่อนก็แล้วกัน”
แม้แต่ผู้ชมทั้งหลายก็ต้องยอมรับว่าท่าทางของซูอี้ตอนนี้นั้นไร้ผู้ใดเทียบ!
ท้ายที่สุด ตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณผู้ใดบ้างที่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนของเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณห้าร้อยคนและผู้ฝึกตนขอบเขตวงวิญญาณอีกกลุ่มแล้วจะสงบเยือกเย็นได้ดั่งเช่นซูอี้?
“มา!”
โจวจื้อสะบัดมือ
ครืน! เปรี้ยง!
ฟ้าร้องและฟ้าผ่าบังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และจากนั้นดาบปลายมนที่ลุกไม้ด้วยเปลวไฟสีม่วงปรากฏขึ้นกลางอากาศ ที่บนดาบปลายมนมีอักขระเต๋าโบราณสองตัวสลักไว้ ‘เพลิงอัสนี’
โจวจื้อเอื้อมคว้าดาบปลายมนหยก สีหน้าของเขายิ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจก่อนจะกล่าวว่า “นี่คือดาบปลายมนเพลิงอัสนี มันเป็นศาสตราวิญญาณที่ข้าขัดเกลา…”
ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบซูอี้ก็พูดขัดแทรก “ข้าไม่ต้องการฟังคำพูดไร้สาระของผู้ที่กำลังจะตาย หากเจ้าคิดจะสู้ก็จงลงมือเสียตอนนี้ ไม่เช่นนั้นหากให้ข้าลงมือก่อนจะเจ้าจะตายโดยไม่ได้แสดงฝีมือใด ๆ เลย”
โจวจื้อพูดไม่ออก
ต่อมาดวงตาของเขาลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วงวูบวาบดั่งมีโทสะ ทั้งร่างของเขาฉากรัศมีแสงเจิดจ้าและเขาตะโกนก้องว่า “ซูอี้! เจ้าจะต้องชดใช้ราคาสำหรับความโอหังของเจ้า!”
ตูม!
ทันใดนั้น อำนาจกดดันที่โจวจื้อแผ่ออกจากร่างพุ่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุด พลังนี้ทำให้เหล่าผู้ชมทั้งหลายจิตใจสั่นสะท้าน
แข็งแกร่งยิ่งนัก!
หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง คงไม่มีผู้ใดเชื่อว่านี่คือพลังอำนาจที่สำแดงโดยตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!
หวนเทียนซูอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดกับเหวินหรูเฟิง “สหายน้อยโจวจื้อจากสำนักวิถีสุญญะของท่าน แม้ว่าตอนนี้จะยังอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ แต่กลับฉายแววพิสูจน์เต๋าสำเร็จ อนาคตย่อมมีโอกาสกลายเป็นจักรพรรดิเป็นแน่แท้”
ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณคนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วย
สำนักวิถีสุญญะมีศิษยที่เลิศล้ำท้าทายสวรรค์เช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกอิจฉา
เหวินหรูเฟิงลูบคิ้วตนเองและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สหายเต๋ากล่าวชมเกินไปแล้ว สำหรับโจวจื้อ การหาคู่ต่อสู้ในขอบเขตเดียวกันนั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่หนทางที่เขาต้องเดินนั้นยังอีกไกล”
แม้คำพูดเหมือนถ่อมตน แต่จริง ๆ แล้วเขาพึงพอใจยิ่ง
ครืน!
โจวจื้อวาดฟันดาบปลายมนหยก บังเกิดสายอัสนีและเปลวเพลิงพุ่งผ่านอากาศ ก่อนจะกลายรูปลักษณ์เป็น ‘นกหลู่อัน’ ตัวมหึมา กระพือปีกบินเข้าใส่ซูอี้
นกหลู่อันตัวนี้มีความยาวมากกว่าสิบฉื่อ ทั้งร่างปกคลุมด้วยเพลิงอัสนีสีม่วงรุนแรง ทว่าสิ่งที่ทำให้มันพิเศษยิ่งขึ้นก็คือมันถูกก่อรูปขึ้นโดยเต๋าอย่างชัดเจน ส่งผลให้มันคล้ายกับมีชีวิตอย่างแท้จริง!
ภาพฉากนี้แสดงให้ทุกคนเห็นว่าระดับการรู้แจ้งเต๋าของโจวจื้อนั้นลึกลับเพียงใด
แม้แต่สัตว์ในตำนานตัวนี้ที่ก่อรูปขึ้นมาจากมวลพลังยังให้ความรู้สึกคล้ายกับมีชีวิตดั่งเช่นตัวจริงปรากฏ
ตูม!
นกหลู่อันกระพือปีกหมายมั่นจะสังหารซูอี้ อำนาจอันท่วมท้นที่แผ่ออกจากร่างปั่นป่วนฟ้าดินคล้ายกับมรสุมหายนะบังเกิด
อำนาจพลังระดับนี้เหนือล้ำกว่าของตงกัวเฟิงซึ่งอยู่ในอันดับที่เจ็ดทำเนียบดาราอย่างเด่นชัด ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าการจัดอันดับรายชื่อของหอเมฆาเขียวยุติธรรมและเที่ยงตรง
แต่ทว่าเมื่อเห็นการโจมตีนี้ ซูอี้กลับส่ายหัวเล็กน้อย
ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ มือขวาของเขาที่ซึ่งไพล่หลังอยู่ตลอดแปรเปลี่ยนท่าทางเป็นโบกแขนเสื้อเรียบง่ายไปด้านหน้า
ปัง!!
ทันใดนั้นมันคล้ายว่านกหลู่อันร่างยักษ์ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาซูอันถูกตบโดยหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์มหึมาของเทพสวรรค์ ในทันทีทันใดนกหลู่อันระเบิดสลายกลายเป็นเพียงเศษประกายฝนเพลิงอัสนี
เพียงการสะบัดแขนเสื้อเรียบง่ายเบา ๆ นกหลู่อันระเบิดเป็นจุณราวกับไม่เคยปรากฏ!
—————————