บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 706 ตัวตลก
ตอนที่ 706: ตัวตลก
เพียงสะบัดแขนเสื้อแผ่วเบา การโจมตีอันตระการตาของโจวจื้อก็สลายหายไปราวกับเป็นเรื่องตลก!
บรรดาผู้รับชมทั้งหลายต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่อาจกล่าววาจาใด ๆ ได้ จนบรรยากาศรอบด้านแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง
แต่ทว่าผู้ชมบางคนกลับหาได้ตกตะลึงมากนักเนื่องจากในใจของพวกเขาพอเดาฉากเช่นนี้ได้บ้าง
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ซูอี้จะหยิ่งทะนงเป็นที่สุด แต่ความแข็งแกร่งของซูอี้ก็หาใช่สิ่งที่ผู้ใดจะสามารถมองข้ามได้ ตงกัวเฟิงผู้ซึ่งอยู่ในอันดับเจ็ดแห่งทำเนียบดาราหรือแม้แต่ตงกัวไห่ยังพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของซูอี้มาแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งแบบนี้จะล้มพ่ายง่ายดายได้อย่างไร?
หากซูอี้ไม่สามารถป้องกันการโจมตีเช่นนี้ได้ เช่นนั้นจึงจะเรียกว่าผิดปกติ!
“แม้ว่าไอ้ตัวตนเล็กจ้อยที่ชั่วร้ายนี้จะหยิ่งทะนงโอหังเป็นที่สุด แต่ข้าต้องขอยอมรับว่าความแข็งแกร่งของมันนั้นท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง หายากที่จะได้เห็นในช่วงรอบพันปี”
เหวินหรูเฟิงแห่งสำนักวิถีสุญญะเอ่ยขึ้นพลางทอดถอนใจ
“ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน มีตัวตนน่าทึ่งกำเนิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าต่อให้ซูอี้จะเลิศล้ำท้าทายสวรรค์เพียงใด มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมการตายของตนเองในวันนี้ได้”
หวนเทียนซูกล่าวอย่างเฉยเมย
เฉิงอวิ๋นแสดงสีหน้าเวทนา “ช่างน่าเสียดาย…”
เช่นเดียวกับพวกเขา ผู้ฝึกตนจากทั้งห้าขุมกำลังโบราณนั้นมีสีหน้าสงบมาก
ต่อให้วันนี้โจวจื้อจะแพ้ซูอี้ แต่หากยังมีพวกเขาอยู่ซูอี้ย่อมต้องตายวันนี้อย่างแน่นอน!
…
สีหน้าของโจวจื้อเคร่งเครียดขึ้น
แน่นอนว่าเขารู้ความสำเร็จในอดีตของซูอี้ และปฏิบัติต่อซูอี้เป็นประหนึ่งศัตรูตัวฉกาจ ดังนั้นเมื่อครู่ที่โจมตีจึงใช้พลังที่แท้จริงโดยไม่ออมกำลังแม้แต่น้อย
ทว่าความแข็งแกร่งของซูอี้นั้นเกินความคาดหมายของเขาไปไกลโข!
ตูม!
ปราณในร่างของเขาโคจรรุนแรงมากขึ้นอีกระดับ มวลพลังเพลิงอัสนีก่อตัวขึ้นอีกครั้งและควบแน่นเป็นรูปลักษณ์มังกรอัสนีและมังกรเพลิง บินลอยวนเวียนไปอยู่รอบ ๆ ร่างของเขา
ในฐานะผู้สืบทอดหลักของสำนักวิถีสุญญะ ความเข้าใจในเต๋าของเขานั้นนับได้ว่าสูงส่งกว่าที่คนทั่วไปจะเทียบได้
ดังนั้นในขณะนี้เมื่อเขาจริงจังมากกว่าเดิม อำนาจที่สำแดงออกจึงแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้อย่างไม่อาจเทียบกันได้
ความแข็งแกร่งของโจวจื้อในตอนนี้มันสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างง่ายดาย!
“ฆ่า!”
โจวจื้อตะโกนด้วยเสียงต่ำพลางตวัดดาบปลายมนเพลิงอัสนี
อากาศโดยรอบระเบิดลั่นและเสียงฟ้าร้องสั่นสะเทือนพื้นดินรุนแรง
ทันใดนั้นอัสนีนับพันสายปรากฏออกจากหมู่เมฆ อัสนีทุกสายเส้นถูกปกคลุมด้วยเพลิงสีแดงฉานซึ่งลุกโชติช่วงโนเวลพีดีเอฟ
พลังที่น่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้หัวใจของเหล่าผู้รับชมเต้นไม่เป็นจังหวะ
โดยเฉพาะตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ พวกเขาทั้งหมดต่างรู้สึกหายใจไม่ออกและหมดหนทาง!
โจวจื้อในขณะนี้ เปรียบดั่งเทพอัสนีที่ลงมาย่ำยีโลกหล้า!
“แมลงเม่าย่อมทำได้เพียงเท่านี้ แค่การโจมตีสามครั้งก็พอแล้วสำหรับเจ้า!”
ซูอี้เอ่ยออกอย่างดูถูก ก่อนจะกำหมัดและชกออกอย่างเรียบง่ายที่สุด
ตูม!
ทันทีที่พลังหมัดของซูอี้ปรากฏ มวลพลังอันลึกล้ำจากฟากฟ้าก็หลั่งไหลเข้ามาผสานดั่งสายธารดาราจักร ราวกับพลบค่ำที่สลัวเมื่อกลางวันและกลางคืนผสานกัน
สภาวะแก่นแท้จุดกำเนิด!
ด้วยการปรากฏของหมัดนี้ ทั้งโลกผันเปลี่ยนเป็นมืดมิด อำนาจอันน่าสะพรึงกลัวกดข่มผู้คนแผ่ขยายออกไปอย่างฉับพลัน
ตัวตนยิ่งใหญ่หลายคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่น “บดบังท้องฟ้าปิดดวงอาทิตย์ แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นยามราตรีกาล…” พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกอยู่ครู่หนึ่ง
โครม!โนเวลพีดีเอฟ
อัสนีเพลิงที่โหมกระหน่ำเต็มท้องฟ้าซึ่งเคยดูยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ภายใต้อำนาจหมัดของซูอี้ มันกลับคล้ายเส้นด้ายที่ถูกพายุยักษ์พัดพาจนปลิวหาย ไม่เหลือร่องรอยใดเอาไว้เลย
ถูกลบล้างอย่างสมบูรณ์!
โจวจื้อหรี่ตาแคบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนทันที ด้วยไม่คาดคิดเลยว่าการโจมตีเต็มที่ของตนจะถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดายแบบนี้!!
ทว่าเขาไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านมากมายนัก…
กำลังหมัดของซูอี้ไม่ลดทอนลงเลย มันราวกับปกคลุมไปทั่วฟ้าดินสามารถฉีกท้องฟ้าออกเสี่ยง ๆ และฆ่าเขาได้ราวกับบี้มดปลวก
พลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้กระตุ้นให้โจวจื้อรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งร่าง ขนแขนของเขาชี้ชันอีกทั้งยังรู้สึกถึงอันตรายที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
“ประกาศิตเพลิงอัสนีสวรรค์!”
ทันใดนั้นโจวจื้อก็คำรามก้องพร้อมกับตวัดดาบปลายมนเพลิงอัสนีในมืออย่างดุเดือด
บนฟากฟ้า เปลวเพลิงก่อตัวที่มวลเมฆและจากนั้นอัสนีเริ่มบังเกิดขึ้นผสาน
พริบตาถัดมา มวลพลังทั้งสองธาตุควบแน่นเข้ากับมวลเมฆหนาแน่น จนคล้ายกับภูเขาอัสนีเพลิงโบราณซึ่งกำลังลอยอยู่บนฟากฟ้า และกำลังร่วงหล่นลงเข้าใส่หมัดของซูอี้!
แต่ทว่าเมื่อหมัดของซูอี้ปะทะเข้าใส่ กระบวนท่าประกาศิตเพลิงอัสนีสวรรค์ของโจวจื้อก็ระเบิดกระจายไม่ต่างจากก้อนเต้าหู้ถูกทุบจนแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
คลื่นปะทะทำลายล้างแผ่ไปทั่วทุกทิศ และโดยไม่อาจต่อต้านหรือหลบเลี่ยง โจวจื้อก็ถูกหมัดของซูอี้อัดเข้าใส่โดยตรง
ปัง!!
ในสายตาของผู้คน โจวจื้อประหนึ่งคล้ายว่าวสายป่านขาด ร่างของเขาลอยละลิ่วถอยหลังอย่างไม่อาจควบคุมไปหลายสิบจั้งก่อนจะสามารถตั้งตัวได้
เมื่อรักษาสมดุลได้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของโจวจื้อเปลี่ยนเป็นซีดขาว ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง และมุมริมฝีปากของเขามีโลหิตปรากฏ!
ผู้ชมทั้งหลายต่างตกตะลึง
เพียงหมัดเดียวสะกดข่มได้อย่างสมบูรณ์!
ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าโจวจื้อผู้อยู่ในอันดับสองแห่งทำเนียบดาราจะได้รับบาดเจ็บเร็วเช่นนี้?
“นี่…”
เหล่าผู้ฝึกตนจากห้าขุมกำลังโบราณต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน
เหวินหรูเฟิง หวนเทียนซู เฉิงอวิ๋น เสวี่ยโม่หนิง และ เนี่ยหว่านจือ ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งห้าต่างแสดงอาการตกใจเช่นกัน
พวกเขาไม่คิดเลยว่าซูอี้ซึ่งอยู่แค่เพียงขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นกลับมีพลังการต่อสู้ที่สูงล้ำเช่นนี้!
“บัดซบ ชายผู้นี้แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร!?”
ใบหน้าของโจวจื้อเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
เขาคือผู้อยู่อันดับสองของทำเนียบดารา จึงมักคิดกับตัวเองเสมอว่าหากเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตเดียวกัน… ย่อมไม่มีผู้ใดเอาชนะตนเองได้ หรืออย่างมากที่สุดก็อาจจะมีผู้ทัดเทียมกันสักไม่เกินนับด้วยห้านิ้ว
แต่ใครจะไปคิดว่าตอนนี้เมื่อเทียบกับซูอี้ เขาไม่อาจต่อกรได้เลย!
“การโจมตีที่สอง”
ซูอี้ยังไม่หยุด หลังจากเอ่ยจบเขาก็เหยียดฝ่ามือใส่โจวจื้ออย่างเรียบง่ายและเชื่องช้า
แต่ทว่าอำนาจของฝ่ามือนี้ล้นพ้น! มันประหนึ่งคล้ายหัตถ์จากสรวงสวรรค์ร่วงหล่นลงประทับโลกมนุษย์!
“สลายไปซะ!”
โจวจื้อไม่กล้ารั้งรอ เขากัดลิ้น และใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาลับก้นหีบของตนเอง!
ตูม!
ทันใดนั้นรอบ ๆ กายของโจวจื้อมีลวดลายอักขระสีเงินเจิดจ้าปรากฏขึ้น มันเป็นประกายแสงงดงามตระการตาและในขณะเดียวกัน… อำนาจความแข็งแกร่งของโจวจื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในทันใด
เมื่อสำแดงเคล็ดวิชาลับเสร็จสิ้น โจวจื้อไม่รอช้าและรีบยกดาบปลายมนเพลิงอัสนีขึ้นเหนือศีรษะต้านทานฝ่ามือของซูอี้ในทันที
ตูม!!
เสียงอึกทึกดังกังวาน
ทั้งร่างของโจวจื้อไม่อาจขยับได้แม้เพียงนิด มันราวกับเขาถูกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ร่วงหล่นทับ
อึดใจถัดมาดาบปลายมนเพลิงอัสนีที่โจวจื้อยกขึ้นเหนือศีรษะเพื่อป้องกันตนเองพลันส่งเสียงครวญครางอย่างแรง ก่อนที่มันจะกระเด้งดีดออกไปด้วยเสียงดังปัง
และด้วยการกดฝ่ามือของซูอี้ อำนาจประหนึ่งถูกทั้งผืนปฐพีกดทับกดร่างกายและผิวหนังของโจวจื้อให้ปริแตกทีละชุ่น
ในท้ายที่สุด แม้ว่าโจวจื้อจะพยายามอย่างสุดใจ แต่เขาก็ยังไม่สามารถต้านทานได้ ทั้งร่างกระเด็นลอยออกไปไกลอีกครั้งเหมือนกับว่าวสายป่านขาดเช่นเดิมจากฝ่ามือนี้ของซูอี้
ตูม!
ร่างของโจวจื้อหล่นกระแทกลงไปที่พื้นดินเบื้องล่างเสียงดัง ส่งผลให้เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ เศษหินกระเด็นรอบด้าน ควันและฝุ่นฟุ้งเต็มอากาศ
เมื่อมองไปที่โจวจื้ออีกครั้ง ยอดอัจฉริยะจากยุคโบราณผู้นี้ทั้งร่างโชกไปด้วยเลือด ร่างกายมีแต่บาดแผลสาหัส ตัวคนกระตุกอย่างรุนแรงราวกับกำลังจะเป็นบ้าและกระอักเลือดไม่หยุดพลางคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดลั่น
ฝ่ามือนี้ของซูอี้เกือบระเบิดร่างกายของเขา ทำให้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย!
“นี่…”
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!!”
“โจวจื้อ… ซูอี้ทำได้อย่างไร…”
เมื่อเห็นฉากนี้ เสียงอุทานดังขึ้นไม่ขาดสาย ผู้รับชมทั้งหลายไม่สามารถสงบใจได้เลย พวกเขาทั้งหมดตกตะลึง
ก่อนหน้านี้ หมัดเรียบง่ายของซูอี้กำราบโจวจื้อได้อย่างสมบูรณ์
และตอนนี้ด้วยการกดฝ่ามือเชื่องช้า โจวจื้อจึงถูกบดขยี้อย่างไม่อาจต้าน!
ฉากนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าโจวจื้อไม่ต่างจากเป้าหมายที่มีชีวิต อยู่ภายใต้ความปรานีของซูอี้อย่างไม่ขัดขืน!
สิ่งนี้ทำลายความรู้ความเข้าใจของเหล่าผู้รับชมอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮึ่ม!”
หมี่เทียนเหอที่กำลังเฝ้าดูการต่อสู้อยู่ไกล ๆ รู้สึกอึดอัดมาก
ยิ่งซูอี้แข็งแกร่งมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น
“ในบรรดาตัวตนของเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่ข้าเคยพบเจอมา ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถเทียบได้กับซูอี้ผู้นี้…”
ในนครหลวงจิ๋วติ่ง ผูซู่หรงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยประโยคนี้ขึ้น
อาเหลิ่งและรั่วฮวนต่างก็เงียบ สีหน้าของพวกเขาวูบไหว
ทั้งสองคนตกใจเมื่อเห็นพลังการต่อสู้ที่เลิศล้ำของซูอี้
“เป็นแค่เพียงตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ แต่กลับกล้าท้าทายคุณชายซู ฮึ่ม รนหาที่ตายโดยแท้!”
อีกด้านหนึ่งในนครหลวงจิ๋วติ่ง ชายชราตาบอดเย้ยหยันด้วยสีหน้าดูถูกสุดขีด
ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งอยู่นั้น ซูอี้พลันเคลื่อนไหวต่อ
เขาลอยตัวขึ้นอยู่เหนือหลุมยักษ์ ขณะมองโจวจื้อที่อยู่ก้นหลุมด้วยแววตาไม่แยแส
“การโจมตีที่สาม”
สิ้นเสียงพูด ซูอี้ก็ออกหมัดสั้น ๆ เหมือนทุบกลอง
ปัง!
ทันใดนั้นหมัดอันกดขี่ปรากฏขึ้น ราวกับโทษอาญาที่ตกลงจากสรวงสวรรค์ฉีกผ่านท้องฟ้าเพื่อประหารโจวจื้อ!
เห็นฉากนี้ทุกคนเดาได้ทันที
ภายใต้การโจมตีครั้งนี้โจวจื้อซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วจะต้องตายอย่างแน่นอน!
“ฮึ่ม!”
แต่ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของโจวจื้อแทรกกลางระหว่างหมัดของซูอี้
ผู้ที่ปรากฏกายกะทันหันไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณของสำนักวิถีสุญญะ
เขาพยุงโจวจื้อด้วยมือข้างหนึ่ง และยกฝ่ามืออีกข้างต้านรับหมัดของซูอี้
ตูม!
เสียงระเบิดดังก้องฝุ่นดินฟุ้งกระจาย!
เป็นภาพที่น่าตกใจ แม้เหวินหรูเฟิงจะสลายการโจมตีของซูอี้ได้ แต่ทั้งร่างของเขากลับสั่นสะท้าน และต้องก้าวถอยไปหลายก้าว
ยิ่งไปกว่านั้นทุกย่างก้าวที่ย่ำลงหนักแรงจนพื้นดินแตกเป็นใยแมงมุม
ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบ
ทุกคนเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณออกรับการโจมตีแทน แต่กระนั้นก็ยังเซถอยอย่างน่าอับอาย!
สิ่งนี้ทำให้หวนเทียนซู เฉิงอวิ๋น และตัวตนยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ สีหน้าแปรเปลี่ยน
ในทางกลับกัน เหวินหรูเฟิงแม้จะรู้สึกอับอาย แต่อีกความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมากกว่าคือความหวาดกลัว
แม้ว่าคราวนี้เขาจะประมาทไปบ้าง แต่เขาก็ยังอดตกใจไม่ได้กับความน่ากลัวในพลังการโจมตีของซูอี้!
ในเวลานี้ โจวจื้อผู้ซึ่งถูกช่วยชีวิตเอาไว้หมาด ๆ สูญเสียจิตวิญญาณของเขาและพูดอย่างขมขื่นว่า “ตัวตลก… คือข้าจริง ๆ… ”
ก่อนหน้านี้ซูอี้เอ่ยว่าเขาไม่ต่างจากมดแมลง และยังบอกว่าจะสังหารเขาภายในสามการโจมตี
แต่ตอนนี้ เขาบาดเจ็บสาหัสเจียนตายตั้งแต่การโจมตีที่สอง และไม่มีกำลังพอจะยืนหยัดต่อกรกับการโจมตีครั้งที่สามด้วยซ้ำ!
เมื่อเขาคิดว่าตนเองมั่นใจแค่ไหนในตอนแรก ถึงขนาดต้องการจัดการซูอี้ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น โจวจื้อก็ยิ่งรู้สึกขมขื่นและอับอายเกินบรรยาย
อะไรคือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เขากระทำกับเหล่าตัวตลกในงานเลี้ยง?
“ครั้งนี้ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ตัดสินด้วยผลลัพธ์ของการศึก เจ้าควรพักผ่อนให้สบาย ซูอี้ผู้นี้… ข้าจะจัดการให้เอง!”
เหวินหรูเฟิงถอนหายใจเบา ๆ
โจวจื้อพ่ายแพ้เช่นนี้มันทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างไม่อาจปฏิเสธ
ฟุ่บ!
ด้วยความเร็วอันยิ่งยวด เหวินหรูเฟิงส่งตัวโจวจื้อไปให้กลุ่มผู้ฝึกตนของสำนักวิถีสุญญะในชั่วอึดใจ จากนั้นเขามองไปยังซูอี้ในระยะไกลและพูดอย่างเย็นชาว่า
“ไอตัวบัดซบน้อย เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่!!”
เสียงของเหวินหรูเฟิงนั้นดังก้อง อีกทั้งยังแฝงไปด้วยอำนาจอันล้นเหลือ ส่งผลให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน มวลเมฆทั้งสิบทิศแหวกปลิวกระจายหาย
ผู้ชมทั้งหลายต่างหายใจติดขัดเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
“เหวินหรูเฟิงกำลังจะลงมือในที่สุด…”
หมี่เทียนเหอแสดงสีหน้าตื่นเต้นและคาดหวัง
“ในที่สุดก็ถึงเวลาตัดสินชี้เป็นตาย”
ผูซู่หรงพึมพำกับตนเอง
ดวงตาของเหล่าผู้ชมทั้งหมดต่างจับจ้องไปมองที่ซูอี้และเหวินหรูเฟิงอย่างไม่กะพริบ
—————————