บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 71 ชี้แนะเถาชิงซาน หยกวิญญาณอันลึกลับ
ตอนที่ 71 ชี้แนะเถาชิงซาน หยกวิญญาณอันลึกลับ
คนแคระสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะรวบรวมความกล้ากล่าวตอบ “ท่านเซียน ท่านก็ทราบว่าหากชีพจรวิญญาณหยินถูกเอาไป ท้อไฟต้นนี้จะไม่อาจอยู่ต่อ…”
ซูอี้เอ่ยคำขัด “ข้าต้องการเพียงเศษส่วนหนึ่ง ไม่ถึงขนาดคิดทำร้ายต้นท้อไฟ”
พบเห็นท่าทีของซูอี้ที่ตนไม่อาจขัดขืน คนแคระจึงไม่กล้าลังเล แปรเปลี่ยนตนเป็นดวงวิญญาณและลงไปใต้ดิน
เพียงไม่นาน คนแคระก็ปรากฏขึ้นจากผืนดิน พร้อมอัญมณีสีดำยาวหนึ่งฉื่อไว้ในมือทั้งสองข้าง
อัญมณีดังกล่าวแผ่ไอเย็นเยือกอันยากเปรียบเทียบ ส่วนขนคิ้ว เส้นผม และหนวดเคราของคนแคระต่างถูกชั้นน้ำแข็งสีขาวเกาะ กายนั้นสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านเซียน ชีพจรวิญญาณหยินอยู่ในอัญมณีก้อนนี้”
คนแคระเผยยิ้มอันขื่นขมแลดูเลวร้ายเสียยิ่งกว่าร้องไห้
“ไม่เลว”
ซูอี้สำรวจอัญมณียาวหนึ่งฉื่อในมืออีกฝ่าย รับชมเล็กน้อย และพยักหน้าอย่างนึกพอใจ
มันคือชีพจรวิญญาณหยิน แม้ยาวเพียงหนึ่งฉื่อ ทว่าไม่ใช่อะไรที่ศิลาวิญญาณทั้งหลายจะเทียบเปรียบ!
ซูอี้ตั้งใจว่ายามที่เขาฝึกฝนขอบเขตรวบรวมลมปราณ เขาจะใช้อัญมณีชิ้นนี้ในการฝึกฝน เพราะมันย่อมได้ผลลัพธ์อันน่าทึ่ง และจะแบ่งส่วนหนึ่งให้กับชิงหว่านเช่นกัน ผีหยินเช่นนางหากได้รับมันไป นางจะก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งกว่าผีหยินทุกตน
เขานำกล่องหยกใบหนึ่งออกมา รับชีพจรวิญญาณหยินเก็บเอาไว้ ขณะมองใบหน้าเศร้าใจของคนแคระ เขาจึงอดไม่ได้จนหัวเราะเบา
“วางใจได้ ตัวข้าซูผู้นี้ย่อมไม่คิดเอารัดเอาเปรียบคนแคระตัวน้อยเช่นเจ้า”
สิ้นคำกล่าว ซูอี้ก็เขียนทรายบนพื้นด้วยซีกไผ่ในมือ
เพียงไม่นาน เคล็ดวิชาฝึกฝนลับจึงปรากฏ
“ตัวประหลาดเช่นเจ้าที่ถือกำเนิดมาอย่างไม่สมบูรณ์ มันไม่ง่ายหากเจ้าคิดบรรลุสู่เต๋า แต่ด้วย ‘เคล็ดวิญญาณแปรกำเนิด’ นี้จะช่วยให้เจ้าได้สำเร็จการแปรสภาพจากตัวประหลาดสู่ ‘นักรบปีศาจ’ มูลค่าของวิชานี้ไม่ใช่อะไรที่ผลท้อไฟเพียงไม่กี่ผลจะเทียบเทียม หรือแม้แต่รวมชีพจรวิญญาณหยินก็ไม่อาจเทียบเปรียบ จงรักษามันไว้ให้ดี”
สิ้นคำกล่าวของซูอี้ เขาส่ายศีรษะเล็กน้อยและจากไปด้วยรอยยิ้ม
ตัวประหลาดเช่นคนแคระตรงหน้า เป็นตัวตนที่อยู่ในจำพวก ‘ปีศาจ’
เช่นเดียวกับบรรดาพืชพรรณ หรือสรรพสัตว์ที่เบิกสติปัญญาแล้ว จะถูกเรียกหาเป็นปีศาจเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การแปรสภาพเป็นนักรบปีศาจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
จะต้องเป็นปีศาจที่มีสายเลือดพิเศษบางประการ และจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้จึงจะสามารถบรรลุวิถีสู่การเป็นนักรบปีศาจที่สามารถบ่มเพาะได้
คนแคระตนนี้ถือกำเนิดขึ้นในต้นท้อไฟ แม้จำแลงกายเป็นรูปลักษณ์มนุษย์ได้ ทว่าไม่ใช่ร่างที่แท้จริง ดังนั้นจึงไม่อาจนับเป็นนับรบปีศาจได้
กระทั่งร่างของซูอี้และชิงหว่านเลือนหายไปจากป่าท้อ
คนแคระที่รู้สึกโล่งใจ ถึงขนาดเอามือทาบอก ความหวาดกลัวในใจบรรเทาลง
ทันใดนั้นเขามองดูบนพื้น ก่อนที่สมาธิจะถูกดึงดูดให้จดจ่อกับลายมือที่งดงามและอ่อนช้อย
ไม่ทราบว่านานเพียงใด เมื่อเขาได้สติ พลันรู้สึกทั้งตระหนกและตื่นเต้นยินดี กระทั่งคิ้วนั้นยังอดแสดงความงุนงงออกมาไม่ได้
“เพียงสิ่งนี้ มันก็มากพอให้ร่างกายข้าหลุดพ้นจากโซ่ตรวน และก้าวสู่เต๋า!”
คนแคระเผยเสียงดังตื่นเต้น ก่อนจะลิงโลดกระโดดไปมาด้วยความสุขล้น
อันที่จริงมันไม่แปลกแม้แต่น้อยที่เขาแทบถึงขนาดเสียสติ เพราะ ‘เคล็ดวิญญาณแปรกำเนิด’ ที่ซูอี้มอบให้ เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาจาก ‘บันทึกวิถีแปรกำเนิด’ ที่บันทึกถึงปริศนาการ ‘แปรสภาพร่าง’ อันลึกลับ เป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาแห่งโลกหล้า
แม้คนแคระจะไม่ทราบถึงที่มาของเคล็ดวิชานี้ แต่เพียงผลลัพธ์ก็มากพอให้มันปลาบปลื้มแล้วไม่ใช่หรือไร?
ขณะนี้เองเมื่อทราบถึงความเลิศล้ำในเคล็ดที่ตนได้รับมอบ คนแคระก็คุกเข่าลง โค้งศีรษะคำนับยังทิศทางที่ซูอี้เดินจากไป สีหน้าเปี่ยมล้นทราบถึงบุญคุณ กระทั่งกล่าวคำมั่น
“เถาชิงซานผู้นี้ จะไม่มีวันลืมบุญคุณของท่านเซียนไปชั่วชีวิต!”
…
ด้านนอกป่าท้อ
ชิงหว่านติดตามซูอี้อย่างระแวดระวัง ไม่กล้าเข้าใกล้ และไม่อยู่ไกลไปมากนัก ท่าทีค่อนข้างน่ารักน่าชัง
ซูอี้นำเอาขวดเม็ดยากว่าสิบขวดออกมาและส่งมันให้ “ชิงหว่าน เก็บเม็ดยาเหล่านี้เอาไว้”
เม็ดยาเหล่านี้ได้รับจากซากศพหยินหกสมบูรณ์ เหมาะสมใช้กับการฝึกฝนผีหยินเป็นที่สุด
“หา?”
ชิงหว่านเกิดประหลาดใจ กระทั่งกังวล “รางวัลเหล่านี้ หว่านเอ๋อร์…”
ขณะนางคิดหาคำกล่าวเพื่อปฏิเสธ ซูอี้กลับเอ่ยคำขัดขึ้นอย่างนึกหงุดหงิด “ก็แค่เม็ดยาที่ต่ำค่า มากพิธีกับข้าทำอะไร? รับไว้!”
ชิงหว่านตื่นตกใจคราหนึ่ง ร่างกายเกิดสั่นเทา ก่อนจะรับเอาไว้และกล่าวด้วยความสำนึก “หว่านเอ๋อร์ไม่ใช่ปรารถนาให้นายท่านขุ่นเคือง ครั้งหน้า…ครั้งหน้าข้าไม่กล้าแล้ว…”
ซูอี้มองยังท่าทีกระวนกระวายของนาง ก่อนจะถอนหายใจคราหนึ่ง
ไม่ทราบว่าด้วยเพราะอะไร เมื่อพบเห็นท่าทีน่าเวทนา ขลาดเขลาและเก็บตัวเช่นนี้ เขาเกิดคิดอยากสอนสั่งนางสักครา
อาจเรียกได้ว่า… หงุดหงิด?
“นายท่าน ยังโกรธหว่านเอ๋อร์อยู่อีกงั้นหรือ?”
ชิงหว่านเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
นางเอียงศีรษะมองมาและกล่าวคำถาม ใบหน้างดงามอิ่มเอมประหนึ่งเด็กน้อยแฝงด้วยความกังวล
ในมุมมองของซูอี้ เช่นนี้อาจเรียกได้ว่าน่ารักและน่าชัง
เขายกมือขึ้นยื่นไปหยิกแก้มนางพลางถอนหายใจ “ซื่อบื้อยิ่งนัก ข้าล่ะเป็นห่วงอนาคตของเจ้าจริง”
สิ้นคำ เขาหัวเราะเบากับตนเอง
ขณะถูกหยิกแก้ม ชิงหว่านชะงักงันไป
แต่ยามได้เห็นรอยยิ้มของซูอี้ นางกลับอดยิ้มตามไม่ได้ ใบหน้าจิ้มลิ้มของนางเผยซึ่งความสุขออกมาจากใจ
คิ้วที่เรียวงาม เป็นประหนึ่งภาพจิตรกรรม
หนึ่งคนและหนึ่งผีเดินข้ามผ่านราตรีกาลอันมืดมิดกลางผืนป่า หาได้โดดเดี่ยวอ้างว้างไม่
หนึ่งในสี่ชั่วยามผ่านพ้น
ใบหูซูอี้ขยับเล็กน้อย เพราะได้ยินเสียงย่ำเท้าผ่านใบไม้อยู่ไกลห่าง แม้เป็นเสียงเบาค่อย กระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นจากประสาทรับฟังของเขา
เขาหยุดเท้าลง พร้อมกล่าวคำออก “ระวังตัวไว้ด้วย หากพบเห็นสถานการณ์ไม่ดีให้รีบหลบที่ด้านในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ”
ชิงหว่านชะงัก ก่อนจะพยักหน้ารับรู้
เพียงไม่นาน ปรากฏคนกลุ่มหนึ่งจากความมืด
อีกฝ่ายมีกันเจ็ดคน สวมใส่ชุดสีดำ ถืออาวุธในมือ ปราณที่แผ่ออกจากร่างหมองหม่นและเย็นเยือก เป็นปราณอันชั่วร้าย
“ชิงหว่าน!”
ผู้แรกที่อุทานถือกระบี่คู่ในมือ เป็นชายวัยกลางคนผู้มีแผลเป็นชวนสยดสยองกลางหน้าผาก
สายตาเขาเพียงมองยังร่างสตรีในชุดแดงที่ลอยล่องไปมาในความมืด
“นางถูกอู๋รั่วชิวคนทรยศลักพาไปไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?”
“หรือว่าอู๋รั่วชิวอยู่แถวนี้?”
ผู้อื่นเกิดประหลาดใจ คล้ายกับยินดี
แต่ชั่วขณะ ทุกสายตามองยังซูอี้และได้ทราบว่าไม่ใช่อู๋รั่วชิว แต่เป็นชายหนุ่มรูปงามผู้มีใบหน้าไม่คุ้นเคย
“เจ้าเกี่ยวข้องใดกับอู๋รั่วชิว เหตุใดชิงหว่านจึงอยู่กับเจ้า?”
ชายวัยกลางคนหน้าบากเอ่ยคำเย็นเยือก สายตาแสดงถึงความระมัดระวัง
ยามค่ำคืนเช่นนี้ ทั้งยังเป็นกลางป่าที่ภูตผีออกอาละวาด กลับปรากฏชายหนุ่มผู้หนึ่งพร้อมชิงหว่าน
มองเช่นไรเรื่องนี้ก็ไม่ปกติ
‘ที่แท้อู๋รั่วชิวก็ทรยศพรรคมารหยินงั้นหรือนี่ ไม่แปลกใจที่แม้มันตายไปแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดบุกมาสร้างปัญหาแก่ข้าแม้สักคน’
ซูอี้ครุ่นคิด หลังตระหนักทราบตัวตนของอีกฝ่าย จึงชี้ไปยังชิงหว่านและเอ่ยคำ “พวกเจ้าดูรู้จักชิงหว่าน นี่หมายความถึงพวกเจ้าย่อมรู้อดีตของนาง บอกให้ข้าทราบความเป็นมาของนางได้หรือไม่?”
ถ้อยคำเหล่านี้ เป็นเหตุให้ชายวัยกลางคนหน้าบากและคณะขมวดคิ้ว พร้อมเกิดตระหนักได้สองเรื่อง
ประการแรก อู๋รั่วชิวตายไปแล้ว และคล้ายถูกสังหารโดยชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า
ประการที่สอง ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าไม่ทราบที่มาที่ไปของชิงหว่าน!
“อยากทราบงั้นหรือ? ย่อมได้ ส่งน้ำเต้าปลุกวิญญาณของเจ้ามาเสียก่อนเป็นไร”
ชายวัยกลางคนผู้มีบาดแผลกลางหน้าผากเผยคำเย็นเยือก “นั่นคือวัตถุวิญญาณที่อู๋รั่วชิวลักขโมยไปจากท่านอาจารย์ ไม่ใช่ของที่คนนอกเช่นเจ้าจะครอบครอง!”
กลุ่มคนใกล้เคียงต่างจับอาวุธ พร้อมลงมือโดยทุกเมื่อ
ซูอี้กวาดสายตามองไปรอบหนึ่งก่อนจะโยนน้ำเต้าปลุกวิญญาณออกไป “จงเล่ามา”
หลังได้รับน้ำเต้าปลุกวิญญาณ ชายวัยกลางคนหน้าบากนิ่งงันไปครู่ ราวไม่คิดเชื่อว่าเรื่องราวง่ายดายเช่นนี้
ผู้อื่นต่างประหลาดใจเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง สายตาพวกเขาที่มองไปยังซูอี้ไม่ใช่ความระมัดระวัง แต่เป็นความดุร้าย
หนึ่งในกลุ่มคนเอ่ยคำเสียงเบา “ศิษย์พี่เฉียน ไม่มีเวลาแล้ว ไม่ช้าเจ้าพวกดื้อรั้นนั่นจะตามมาทัน…”
ชายวัยกลางคนหน้าบากเผยดวงตาเย็นเยือกวูบหนึ่ง “ก็ได้ ในเมื่อเจ้าอยากทราบเรื่องของชิงหว่าน เช่นนั้นจงมากับพวกเรา เราจะพาเจ้าไปยังที่ของพวกเรา เมื่อใดถึงที่นั่น อยากทราบเรื่องใดข้าจะบอกให้ทราบ”
ซูอี้ลูบจมูกตนพลางถอนหายใจ “ชิงหว่าน พวกมันนึกคิดว่าข้าเป็นคนเจรจาด้วยได้หรือไร?”
ก่อนชิงหว่านจะตอบคำถาม ชายวัยกลางคนกลับพ่นลมหายใจเย็นเยือก “ข้าทราบว่าเจ้าไม่ใช่เชื่อใจได้ คิดไว้ไม่ผิด สังหารมัน!”
ผู้อื่นในกลุ่มคนต่างกัดฟัน พร้อมใจกระโจนลงมืออย่างพร้อมเพรียง
ชั่วพริบตา กระบี่ หอก ดาบ และง้าวถูกนำออกมาสำแดงอำนาจ ความเงียบยามค่ำคืนถูกทำลายด้วยเสียงประหัตประหาร
ซูอี้ชักดาบเผยคมอันเย็นเยียบปรากฏแวววับ เสียงดาบแหวกผ่าอากาศหวีดหวิวปรากฏหลายครั้งคราท่ามกลางความมืด
ไม่ช้า เสียง ‘กึก’ ดังปรากฏ พร้อมดาบถูกเก็บเข้าฝัก
ร่างกลุ่มคนที่พุ่งเข้าหาซูอี้ชะงักงัน ไม่ช้าจึงร่วงหล่นล้มกับพื้นทีละคน ราวกับต้นไม้ที่ถูกโค่นจนล้มลง
ที่ลำคอของกลุ่มคนปรากฏบาดแผลจากดาบอันคมกล้าสีแดงชาด พร้อมเลือดทะลักประหนึ่งน้ำพุไหลเจิ่งนองกับพื้น
ก่อนสิ้นชีพ ใบหน้าเหล่านั้นยังคงยิ้มเยาะราวเย้ยหยัน
กระนั้นเพียงชั่วอึดใจ ชะตาถูกชี้ขาด จากชีวิตสู่ความตาย!
ซูอี้ยืนนิ่งที่ตรงเดิม เพียงแตะสัมผัสท่อนไม้ไผ่ ประหนึ่งไม่ได้ลงมือใด
ที่หลงเหลือชีวิตมีเพียงชายวัยกลางคนหน้าบาก สีหน้างุนงงรุนแรง ต้นขาสองข้างเกิดสั่นเทา ทั้งร่างโชกด้วยเหงื่อกาฬเย็นเยียบ ประหนึ่งจิตหลุดออกจากร่าง
คมดาบรวดเร็วเปรียบดังสายฟ้า ที่ปรากฏและเลือนหายในชั่วพริบตา บั่นเศียรสหายรอบกายหมดสิ้นภายในชั่วอึดใจ!
ชวนสะพรึงเกินไป!
“ตอนนี้ มีเรื่องราวใดคิดเล่าให้ข้าฟังหรือไม่?”
สองมือซูอี้ไพล่หลัง ถ้อยคำกล่าวราบเรียบ
พร้อมเสียงล้มตึง ชายวัยกลางคนหน้าบากทรุดเข่าก้มหน้ากับพื้น ปากร้องขอความเมตตา “ขอท่านได้โปรดไว้ชีวิตข้า ตัวข้ามีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินท่านโดยไม่รู้ตัว ขอท่านโปรดเมตตาไว้ชีวิตข้าน้อยสักครา!”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการรับฟัง โอกาสครั้งสุดท้ายของเจ้า หากยังไม่เข้าเรื่อง เช่นนั้นก็ตามไปพล่ามกับสหายของเจ้า”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนหน้าบากหวั่นเกรง “ขอท่านระงับโทสะ ข้าพูดแล้ว ข้าพูดแล้ว!”
ถัดจากนั้น เขาจึงบอกเล่าทุกเรื่องราวของชิงหว่าน ไล่เรียงประหนึ่งเทเมล็ดถั่วจากปล้องไม้ไผ่ ราวเกรงว่าหากมีเรื่องราวใดผิดพลาดไป หนึ่งดาบของซูอี้จะพร้อมสะบั้นศีรษะ
รับฟังจากคำบอกเล่าอีกฝ่าย อู๋รั่วชิวและเวิงอวิ๋นฉีผู้เป็นอาจารย์ ได้ทรยศหักหลังต่อพรรคมารหยินเมื่อสิบปีที่ผ่านมา
เมื่อครั้งเหตุการณ์นั้น เวิงอวิ๋นฉีผู้เป็นอาจารย์ของอู๋รั่วชิว ได้ขโมยเอาสามสมบัติแห่งพรรคมารหยินติดตัวไป
หนึ่งในนั้นคือน้ำเต้าปลุกวิญญาณที่ใช้เพาะเลี้ยงวิญญาณ ม้วนคัมภีร์ลับที่บันทึกวิธีการเลี้ยงแมลงปีศาจซากศพ รวมถึงชิ้นส่วนหยกวิญญาณที่มีที่มาและที่ไปปริศนาลึกลับสุดหยั่ง
ชิงหว่าน คือผีที่สิงสู่ภายในชิ้นส่วนหยกวิญญาณลับดังกล่าว
พื้นเพของนาง แม้แต่ตัวตนรุ่นเก่าก่อนของพรรคมารหยินยังไม่ทราบแน่ชัด เพียงแต่เห็นพ้องต้องกันว่าต้นกำเนิดของนางสมควรซับซ้อนเกินคาดเดา
เบาะแสบางประการคล้ายจะคงอยู่กับชิ้นหยกวิญญาณที่นางพกติดตัว