บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 710 ดุจเทพเซียนอารักษ์ประตูสวรรค์
ตอนที่ 710: ดุจเทพเซียนอารักษ์ประตูสวรรค์
ตอนที่ 710: ดุจเทพเซียนอารักษ์ประตูสวรรค์
ตู้ม! ตู้ม!
คลื่นเสียงสีเลือดลูกแล้วลูกเล่ากวาดผ่านนภาราวคลื่นทะเลคลั่ง
ฟ้าดินดูราวสั่นสะเทือน ผู้เฝ้ามองจากไกล ๆ ต่างเจ็บปวดแสนสาหัส ดวงตาราวกับเห็นดวงดาว
กำแพงเมืองสูงตระหง่านของนครหลวงจิ๋วติ่งแผ่อำนาจออกมาต้านรับคลื่นเสียงจากกลองศึกปีศาจทมิฬ
“หนวกหูจริง ๆ!”
ซูอี้ขยับมือขวา ขยับดาบนิลกาฬบริสุทธิ์เบา ๆ
เคร้ง!
เสียงครวญดาบสนั่นเยี่ยงพายุสายฟ้ากระหน่ำฟาดจากสวรรค์ชั้นเก้า
คลื่นเสียงสีเลือดระเบิดสูญ เสียงดาบลู่ลมดังกังวานแปรเปลี่ยนเป็นอำนาจดุดันราวกับดาบไร้คู่เปรียบ ฟาดฟันใส่กลองศึกปีศาจทมิฬ
ตู้ม!!
กลองศึกปีศาจทมิฬถูกฉีกกระชากจากกัน
ในขณะเดียวกันที่สมบัติวิญญาณคู่ชีพถูกทำลาย ดวงตาของหวนเทียนซูเบิกกว้าง กรีดร้องลั่น “ไม่…”
ร่างผอมแห้งของเขาระเบิดเป็นเสี่ยงดั่งกระเบื้องแตกกลางอากาศ แปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มเมฆโลหิต!
ตัวตนที่สามในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณดับสิ้น!
ในกาลอันสั้น สามตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณปลิดปลิวทีละคน ทำให้ขุมอำนาจโบราณทั้งหลายต่างยิ่งสิ้นหวัง
“ช่างเถิด ข้าจะหยุดเจ้าสัตว์ร้ายนี่ พวกเจ้าหนีไปซะ!”
เนี่ยหว่านจือถอนหายใจยาวเหยียด
นักดาบหญิงในขอบเขตวงล้อวิญญาณซึ่งสวมอาภรณ์หลากสีสันผู้นี้บาดเจ็บอยู่นานแล้ว ทว่ายามนี้ แววตาของนางปรากฏความเด็ดเดี่ยวบ้าคลั่ง
“จงตื่น!”
นางกรีดร้อง
ดาบวิถีพุทธเหมันต์ในมือนางส่งเสียงครืน ลำแสงสีเลือดหลั่งไหลสู่ดาบวิถีพุทธเหมันต์จากร่างของเนี่ยหว่านจือ ทุกเส้นสายล้วนแต่เป็นแก่นโลหิตจากการทุ่มเทนับร้อยปีของนาง และยามนี้ดาบวิถีพุทธเหมันต์ก็ดูดกลืนมันไปอย่างบ้าคลั่ง
เส้นผมของนางแปรสีจากดำเป็นขาว รวดเร็วทันตาเห็น และผิวกระจ่างใสของนางก็เหี่ยวย่นด้วยกาลเวลา…
ทันใดนั้น ปราณของดาบวิถีพุทธเหมันต์ก็ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นทุกชั่วขณะ!
“นางทำอันใดอยู่?”
ผู้มองดูจากไกล ๆ ตะลึงอึ้ง
ทุกคนสังเกตเห็นว่ามีบรรยากาศดุร้ายน่าหวาดหวั่นเกินคณานับแผ่ซ่านออกมาจากดาบวิถีพุทธเหมันต์
ผู้อาวุโสซึ่งเชี่ยวชาญในวิถีดาบบางคนพลันเปลี่ยนสีหน้าและอุทาน “การใช้ตนเองเป็นอาหารให้ดาบคือการทำลายวิถีตน แผดเผาชีวิตตนให้ดาบเพื่อต่อสู้กับศัตรู! ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร ผู้ใช้วิชานี้จะแพ้พ่ายเสมอ ชะตากรรมของนางคือดาบจะทำลายคน!”
ยอดฝีมือจากคีรีดาบเมฆาเร้นล้วนแสดงความเศร้าโศกบนใบหน้า
พวกเขาจะไม่รู้ผลลัพธ์ของการทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร?
ตู้ม!
ดาบวิถีพุทธเหมันต์ดูดกลืนโลหิตจากแขนของของเนี่ยหว่านจือและระเบิดปราณทำลายล้างสะท้านฟ้าสะเทือนปฐพี ปกคลุมโลกหล้าในพริบตา
ปราณจิตวิญญาณในรัศมีกว้างไกลดูราวหยุดนิ่งในทันที ไม่มีผู้ใดอาจเอ่ยวาจา ไม่อาจขยับตัว กระทั่งกะพริบตายังทำไม่ได้
ราวกับปรากฏตัวตนอันน่ากลัวสุดขีดจุติลงสู่โลกมนุษย์
“ลูกไม้เยี่ยงนี้อีกแล้ว หลังจากฝึกวิถีดาบมาจนป่านนี้ ยังอดออกนอกลู่นอกทางไม่ได้อีกหรือ?”โนเวลพีดีเอฟ
แววตาของซูอี้เปี่ยมความดูแคลน
ย้อนกลับไปยังทะเลวิญญาณโกลาหล ชิงลั่วผู้ถูกสิงสู่โดยดาบปีศาจเทวทัณฑ์ก็ใช้วิชาใช้ร่างตนเลี้ยงดาบ
เจ้าสำนักรุ่นที่สามของหอเซียนดาบ ไป๋จ่างเฮิ่นก็ฝึกฝนวิถีดาบในลักษณะนี้
ทุกผู้ต่างพบจุดจบด้วยดาบตน ไม่ช้าก็เร็ว!
ทว่าต่างจากชิงลั่วและไป๋จ่างเฮิ่น เนี่ยหว่านจือกำลังเดิมพันชีวิตของนางด้วยวิชาลับนี้!
ตู้ม!
ทันใดนั้น เนี่ยหว่านจือก็ถลาตนเข้าหาดาบวิถีพุทธเหมันต์ ทั้งร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งกับดาบ ทำให้อำนาจของดาบนี้ไต่สูงถึงระดับที่ไม่เคยไปถึง
จากนั้น นางก็ฟาดฟันเข้าใส่ซูอี้!
ปราณดาบนี้ยาวร้อยจั้ง แม้แต่ขุนเขาก็ผ่าได้ เป็นดั่งดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเซียนฟาดฟันจากนภาสู่แดนดิน หลงเหลือเพียงลำแสงดาบแผดเผาบนสุญญะ
ลำแสงดาบนั้นเจิดจ้ายิ่งจนทำให้ทุกสิ่งหม่นแสง โลกพร่างพราย!
“สรรเสริญพระพุทธองค์ผู้ยืนยงชั่วกาลนาน!”
เฉิงอวิ๋นปรากฏสีหน้าสงสารเล็กน้อย
คนอื่น ๆ ที่เฝ้ามองอยู่ต่างตะลึงงันกับฤทธาแห่งดาบจนจิตใจว่างโล่ง ไม่อาจคิดสิ่งใดได้
นักดาบคนหนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณทุ่มเทชีวิตของนางให้ดาบ พลังเยี่ยงนั้นจะธรรมดาได้เช่นไร?
ยามนี้ สีหน้าของซูอี้ยังคงนิ่งทื่อเช่นกาลก่อน
ชายแขนเสื้อสะบัด ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์คำรามลั่นอย่างตื่นเต้น ตวัดยกสู่นภา
ตู้ม!
ห้าบรรพตดาบผุดขึ้นจากพื้น ตระหง่านตั้งดั้นสรวง
เขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ!
สิ่งที่ต่างไปจากอดีตนั้นคือ ยามนี้ ห้าบรรพตดาบถูกห่อหุ้มด้วยแก่นแท้จุดกำเนิด กลายเป็นดั่งบรรพตเทพแห่งโบราณกาลท่ามกลางแสงอัสดง ยืนหยัดค้ำสวรรค์ยันปฐพี เป็นกระดูกสันหลังคุ้มกันโลกา!
อำนาจยิ่งใหญ่ทำให้ผู้คนรู้สึกกดดัน ไม่อาจสลัดหลุดได้
ในขณะเดียวกัน ดาบของเนี่ยหว่านจือก็ฟันลงมา
ตู้ม!!
นภาถล่มล่ม ปราณทำลายล้างเกรี้ยวกราด
ราวผ่าเปิดโลกหล้า!
ทุกคนต่างเห็นเพียงแสงสว่างวาบ
แสงนั้นช่างร้อนแรงประหนึ่งตะวันโชติกลางเวหา!
ยอดฝีมือจากขุมอำนาจโบราณต่าง ๆ ซึ่งกระจัดกระจายในสนามรบต่างตกตะลึง ซวนเซทะยานหนีห่าง
อำนาจนี้รุนแรงเกินไป พวกเขาต้องถอย
พลังทำลายล้างจากการปะทะครั้งนี้น่ากลัวยิ่งนัก!
ท่ามกลางฝุ่นควันฟุ้งตลบ เสียงหนึ่งรำพึง
“ยามเมื่อใกล้ตายและใช้วิชาดาบเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นการตายอันสมควร…”
ยามเมื่อหมอกควันกระจ่างแจ้ง ผู้คนคืนวิสัยทัศน์ชัดเจน และพวกเขาก็พบว่าห้าบรรพตดาบได้รับความเสียหายหนัก ทว่ามันกลับยังยืนหยัดเป็นขุนเขาอันไม่อาจข้ามผ่าน
ซูอี้ซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังห้าบรรพตดาบนิ่งสงบไร้รอยขีดข่วน
ทว่าที่ตรงหน้าห้าบรรพตดาบ ดาบวิถีพุทธเหมันต์แตกเป็นเสี่ยง ค่อย ๆ สลายหายสู่อากาศธาตุ
“แพ้แล้วหรือ!?”
หัวใจผู้คนนับไม่ถ้วนหนาวเยือก
แม้แต่ดาบที่ฟาดฟันจากการสละชีพของเนี่ยหว่านจือยังไม่อาจทำอันตรายใดต่อซูอี้ได้ ผู้ใดเล่าจะหยุดซูอี้ได้อีก?
“เร็วเข้า อย่ารอช้า!”
หลวงจีนเฒ่าเฉิงอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยน และคำรามลั่นราวราชสีห์
ความหวาดหวั่นมหาศาลนี้ทำให้เหล่ายอดฝีมือจากมหาอำนาจโบราณต่าง ๆ ราวกับตื่นจากฝัน และแม้จะลังเล แต่พวกเขาก็หันหลังวิ่งหนี
“ยามเริ่มศึก พวกเจ้าหวังว่าข้าจะไม่หนี ทว่ายามนี้พวกเจ้ากลับดูน่าผิดหวังโดยแท้!”
ซูอี้แค่นเสียงเยาะเย้ย
เปรี้ยง!
เขาเหวี่ยงดาบสูงสุดนภาเยี่ยงเทพเซียนสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
ปราณดาบนับร้อยพันกระจายสู่ทุกสารทิศเยี่ยงพายุคลั่ง
ทุก ๆ สายปราณกระบี่ล้วนแข็งแกร่งอหังการ ฉีกอากาศจนเกิดรอยแผลแตกยาว น่าประหวั่นพรั่นพรึง
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
ภายใต้ปราณดาบอันน่าสะพรึงกลัวอันโปรยปรายจากฟ้าราวพิรุณแสงนี้ ร่างของผู้คนที่หนีกระเจิงทั่วทุกทิศทางต่างปลิดปลิวล้มตายทีละคนกลางอากาศเยี่ยงผักหญ้า
เมื่อมองรอบ ๆ ก็ประหนึ่งเกิดดอกไม้ไฟแดงฉานเบ่งบานพร่างพรายละลานตากลางอากาศ หยาดโลหิตอุ่นร้อนกระเซ็นทั่วเวหา
“สารเลว!”
เฉิงอวิ๋นตวาดลั่นดุจพญาวานรคลั่ง ตวัดแทงดาบปลายมนสยบมารหมายสังหารซูอี้
หลวงจีนชราผู้นี้ท่าทางห้าวหาญ ถือความตายเป็นเพียงการสละสังขาร อาบร่างด้วยแสงพระพุทธคุณ ทะยานพาดผ่านนภา
มีเสียงสวดพระธรรมระเบิดกึกก้องออกมาเป็นครั้งคราว ทำให้เวหาดูเคร่งขรึมจริงจัง
เขาดูราวพระพุทธองค์ธุดงค์ปราบปีศาจสยบมาร!
เมื่อมองใกล้ ๆ เบื้องหลังร่างของเฉิงอวิ๋นก็ปรากฏวงล้อแสงขึ้นวงหนึ่ง
วงล้อวิญญาณมหาวิถี!
ยามนี้ เฉิงอวิ๋นซึ่งบาดเจ็บสาหัสดูจะทุ่มสุดชีวิต เขาปลดปล่อยพลังของวงล้อวิญญาณมหาวิถีออกมาเต็มที่ราวแผดเผาชีวิตตน!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็ส่ายหน้าน้อย ๆ
ผู้บ่มเพาะวิถีพุทธควรสงบเงียบไร้การเคลื่อนไหวเยี่ยงปฐพี และมีความครุ่นคิดลึกซึ้งราวขุนเขาสายน้ำ
ทว่าเฉิงอวิ๋นผู้นี้ ด้วยโทสะพลุ่งพล่านทั่วกาย จิตสังหารซุกซ่อนในใจ แม้เขาจะควบแน่นวงล้อวิญญาณมหาวิถีได้สำเร็จ แต่วิถีกรรมของเขาไม่อาจเยื้องย่างสู่ขอบเขตนั้นได้เลย
ตู้ม!
ดาบปลายมนสยบมารทะลวงลงจากนภา ราวหัตถ์พระพุทธองค์ที่ซัดลงจากฟ้า
ทว่าซูอี้ไม่แม้แต่จะมอง ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ของเขาฟาดฟันผ่าอากาศ
เคร้ง!!!
ดาบปลายมนสยบมารถูกเบี่ยงออกไปพร้อมเสียงกระทบดังสะท้าน
ทว่าเฉิงอวิ๋นไม่ได้ล่าถอย ปราณของเขาแผดเผา ทั่วร่างอาบด้วยแสงพุทธะสว่างไสวกว้างไกล และเขาก็โจมตีซูอี้อีกครั้ง
ไร้ความกลัวตาย!
“ช่างเถิด ซูผู้นี้จะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่าธรรมะที่แท้จริงเป็นเช่นไร!”
ยามเมื่อซูอี้เอ่ยวาจา ปราณในร่างของเขาก็พลันก่อเป็นวงแหวนแสงรูปร่างคล้ายแท่นบงกช สะท้อนบนนภาและโลกหล้า
เขาใช้หนึ่งมือถือดาบ ก้าวย่างสู่สุญญะ
วงแหวนแสงซึ่งมีรูปร่างคล้ายแท่นบงกชลดระดับลงสู่พื้นพร้อมเสียงสวดสันสกฤตและอำนาจแข็งแกร่งเหลือประมาณ
ทันใดนั้น เฉิงอวิ๋นก็ตะลึงค้างราวถูกอสนีบาตฟาด
เขาดูเหมือนจะได้เห็นแดนสุขาวดีอันกว้างใหญ่เหลือคณา พระพุทธองค์องค์หนึ่งนั่งบนแท่นบงกชสูง เปิดธรรมาสน์เทศนา ภิกษุสามเณรคุกเข่าสดับฟังพุทธวจนะ มังกรสวรรค์ขนดรอบ วิหคหลวนกระพือปีก มหาวิถีหลั่งไหลจากสรวง ควบแน่นเป็นบงกชทองบนผืนหล้า…
ทว่าในพริบตา ภาพแดนพุทธสุขาวดีก็กลับกลายเป็นอเวจี พระพุทธองค์บนธรรมาสน์บงกชแปรเปลี่ยนเป็นพญามารผู้ยืนอยู่บนทะเลโลหิต และเหล่าภิกษุสามเณรผู้คุกเข่าฟังเทศน์ก็เปลี่ยนเป็นวิญญาณอสูรร้าย
ทุกภาพที่เห็นประดุจดั่งตกสู่อเวจี
เฉิงอวิ๋นตัวสั่นด้วยความตกใจ หัวใจปรากฏรอยร้าว กรีดร้องบ้าคลั่งดังสนั่น
ทว่ามันสายเกินไป
การโจมตีของซูอี้มาถึงตัวเขาแล้ว
เปรี๊ยะ!
ภายใต้การกดข่มของวงล้อแสงดุจแท่นบงกช ดาบปลายมนสยบมารก็แตกสลายไปทีละน้อย
ร่างผอมแห้งของเฉิงอวิ๋นถูกบดเป็นชิ้น ๆ โดยวงล้อแสง โลหิตทะลักไหล
เมื่อวิญญาณของเขาหลุดจากร่าง ก็อดถามไม่ได้ว่า “นี่เป็นมหาวิถีใดกัน?”
“วิถีธรรมถามใจตน”
ซูอี้ตอบสบาย ๆ
“ดีเหลือเกิน วิถีธรรมถามใจตน หนึ่งคำนึงถึงแดนพุทธสุขาวดีก่อกำเนิด หนึ่งคำนึงถึงอุปสรรคกรรมแห่งนรกภูมิ… ธรรมะกำลังถามหัวใจข้า ทว่ากรรมของข้าเองที่ลบมันไป…”
เฉิงอวิ๋นคิ้วตก หลับตาลง พนมมือรำพัน วิญญาณของเขาค่อย ๆ สลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ถึงจุดนี้ ตัวตนทั้งห้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากมหาอำนาจโบราณต่าง ๆ ก็ถูกสังหารสิ้น!
และยอดฝีมือจากขุมอำนาจโบราณเหล่านั้นก็ถูกซูอี้สังหารไปเนิ่นนาน เหลือเพียงคนไม่กี่สิบที่เหลือรอดและหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
ยามนี้ ตรงหน้านครหลวงจิ๋วติ่งอันโอ่อ่า เหลือเพียงซูอี้ผู้เดียวที่ยังคงยืนหยัดใต้ฟ้า สองมือไพล่หลัง อาภรณ์เขียวปลิวสะบัดโบกตามวายุ
เขายืนบนเวหาด้วยร่างเหยียดตรงเยี่ยงดาบ มองลงสู่โลกหล้าราวเทพเซียน!
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนต่างไร้วาจาตะลึงงัน
กลุ่มศัตรูล้วนล้มตาย มีเพียงเขายืนยงหนึ่งเดียว!
…
ในวันที่สิบเดือนสาม ห้ามหาอำนาจโบราณอันประกอบด้วยตระกูลหวนเผ่ามาร สำนักผลาญตะวัน สำนักฌานกระจ่างจิต คีรีดาบเมฆาเร้น และสำนักวิถีสุญญะถูกซูอี้หยุดไม่ให้กล้ำกรายนครหลวงจิ๋วติ่งแต่ลำพัง
ในศึก เหวินหรูเฟิง เสวี่ยโม่หนิง หวนเทียนซู เนี่ยหว่านจือและเฉิงอวิ๋น ห้ามหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตวงล้อวิญญาณล้วนถูกสังหาร
มหาปราชญ์สวรรค์อีกร้อยห้าสิบคนที่เหลือเสียหายหนักหน่วง ซากศพกองเกลื่อนทุกแห่งหน
สุดท้าย มีเพียงไม่กี่สิบคนที่หลบหนีอย่างลนลานได้
ซูอี้ผู้ถือเพียงหนึ่งดาบเป็นดุจเทพเซียนอารักษ์ประตูสวรรค์ ปราบทุกศัตรู ไม่สั่นคลอนนับแต่ต้นจนจบ!