บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 711 ขอขมา
ตอนที่ 711: ขอขมา
ตอนที่ 711: ขอขมา
เดือนสามเป็นยามวสันต์ ท้องนภาแจ่มใส
ทว่า บรรพตลำธารตรงหน้านครหลวงจิ๋วติ่งกลับพังทลาย กลายเป็นซากเละเทะเต็มไปด้วยโลหิตและซากเนื้อ กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งไม่อาจสลายหาย
บนพื้นเต็มไปด้วยเศษสมบัติที่แตกกระจัดกระจาย สะท้อนแสงเจิดจรัสสู่ฟ้า
ซูอี้ยืนตัวตรง มองไปรอบๆ และกล่าวว่า “ยังมีผู้ใดต้องการลองประชันหรือไม่?”
เสียงเฉยเมยของเขาสะท้อนก้องถ้วนทั่วในโสตของผู้ชม
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่ไหวติง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็ไม่คิดจะเปลืองเวลาต่อ ดังนั้นเขาจึงหันหลังพลิ้วร่างจากไป
ศึกนี้ เขาเองก็ใช้พลังกายไปมากนัก ยามเมื่อเขาผ่อนคลาย คลื่นแห่งความล้าจึงซัดกระหน่ำสู่ร่างของเขา
‘ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณที่ข้าได้พบวันนี้ช่างไม่เอาไหน เมื่อยอดฝีมือเก่งกาจแห่งโลกาก้าวสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณในภายหน้า บางทีข้าอาจจะหาผู้ใดที่เป็นคู่ประมือกันได้’
ซูอี้ครุ่นคิด และละลิ่วล่องตรงไปยังสวนน้อยนภาเมฆ
ยามนี้เขาอยากอาบน้ำ ร่ำสุราสักไห แล้วนอนพักบนเก้าอี้หวายเหลือเกิน
ส่วนเรื่องอื่น ๆ เขาไม่สนใจอีกต่อไป
ผู้คนมองซูอี้คล้อยหลังหายไป
บุคคลที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดดูเหมือนจะฟื้นคืนสติ บรรยากาศที่เคยเงียบเหงาราวป่าช้าพลันเสื่อมสลาย เกิดเสียงฮือฮาราวหม้อระเบิด
“ใครเล่าจะคิดว่าเหล่ายอดฝีมือจากห้ามหาอำนาจโบราณซึ่งจัดทัพกันมาอย่างองอาจอหังการจะไม่อาจก้าวเข้าสู่นครหลวงจิ๋วติ่งได้แม้เพียงครึ่งก้าว… แต่กลับถูกกวาดล้างสิ้น…”
คนบางผู้วิญญาณหลุดลอย
“แม้จะอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเหมือนกัน ทว่าโจวจื้อ ยอดฝีมืออันดับสองในทำเนียบดาราไม่อาจเทียบกับใต้เท้าซูได้เลย! ในความเห็นข้านะ ‘เสิ่นสุยอวิ๋น’ ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในทำเนียบดาราก็ไม่น่าเป็นคู่มือให้ใต้เท้าซูได้เช่นกัน!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่เห็นหรือว่าห้าตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณร่วมมือ ทว่าใต้เท้าซูก็สังหารทิ้งด้วยหนึ่งดาบทุกคนไป?”
…ทั่วบริเวณเซ็งแซ่ และเมื่อพูดถึงศึกเมื่อครู่นี้ หัวใจของผู้คนก็พลิกผันไปมา
การประเมินของพวกเขาต่อซูอี้เต็มไปด้วยความยำเกรง ชื่นชมและเลื่อมใส
“แต่เดิม หากราชวงศ์เซี่ยปราชัยในวันนี้ ขุมอำนาจโบราณทั้งหลายก็คงเป็นที่เคารพในต้าเซี่ยแห่งนี้ ทว่ายามนี้ เพียงหนึ่งซูอี้ก็ทำให้สถานการณ์ตาลปัตรได้!”
ผู้เฒ่าบางคนพึมพำ “ทำนายได้เลยว่าศึกวันนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบแห่งโลกา และเหล่าขุมอำนาจโบราณต่าง ๆ จะไม่กล้าโจมตีง่าย ๆ อีกต่อไป!”
“ในอดีต ทุกคนต่างคิดว่าราชวงศ์เซี่ยเป็นผู้ปกป้องใต้เท้าซู ทว่ายามนี้ ข้าตระหนักแล้วว่าใต้เท้าซูต่างหากที่เป็นเสาหลักค้ำจุนราชวงศ์เซี่ย…’
ใครบางคนรำพึง
“บอกข้าทีสิ ใต้เท้าซูแข็งแกร่งเพียงไร?”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่หากมองไปที่โลกหล้าในภาพรวม ข้าเกรงว่าคงมีไม่มากนักที่สามารถประชันกับใต้เท้าซูได้”โนเวลพีดีเอฟ
…
เมื่อได้ยินความเห็นเหล่านี้ เฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ และเหล่าผู้ทรงอิทธิพลแห่งโลกาก็เงียบไป ทว่าลึก ๆ ในใจพวกเขามีเพียงความชื่นชม ไร้ซึ่งความคิดเทียบตนเองกับซูอี้โดยสิ้นเชิง
ความต่างนั้นห่างไกลเกินไป
ไม่อาจเทียบกันได้เลย!
“บนมหาทวีปคังชิงยังมีคนเช่นนี้อยู่ ต่อให้จัดลำดับเทียบกับตัวตนในยมโลกหรือภูมิมืดมิด เขาก็ยังถือว่าเป็นยอดอัจฉริยะชั้นหนึ่ง…”
“เรื่องนี้ต้องถูกรายงานต่อสำนัก”
ใจกลางฝูงชน ชายหนุ่มผิวขาว รูปลักษณ์ดาษดื่นคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำพึมพำกับตนเอง
“ภูมิมืดมิด? ยมโลก?”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งข้างกายชายหนุ่มชุดคลุมดำถามอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินวาจาของชายหนุ่มชุดดำ
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำยิ้ม “ลืมมันไปเถิด”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังจากไป
ผู้ฝึกตนคนนั้นอึ้งไป ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำถูกลบสิ้น ไม่เหลือแม้ร่องรอย
ไม่เพียงคนผู้นี้เท่านั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดในบริเวณต่างลืมสิ้นว่าชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำมาดูสงครามกับพวกเขาด้วยเมื่อครู่
ความทรงจำถูกลบทิ้งอย่างเงียบ ๆ!
วิธีการเช่นนี้ช่างเหลือเชื่อนัก
…
“ผู้อาวุโสหมี่ เรา… เราควรทำเช่นนี้หรือ?”
ศิษย์หอดาบโคจรสวรรค์ผู้หนึ่งข้างกายหมี่เทียนเหออดถามไม่ได้
หมี่เทียนเหอเงียบไป
เขาดูซีดขาว มือทั้งสองกำแน่น
แต่เดิม เขาคิดว่าการลงมือของเหวินหรูเฟิงในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะสังหารซูอี้ได้อย่างง่ายดาย
แต่ผลลัพธ์ไม่ใช่เช่นนั้น
เขาคิดว่าห้าตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะร่วมมือกันสังหารซูอี้ได้
แต่ผลลัพธ์… ก็ยังทำไม่ได้!
จนกระทั่งเมื่อสิ้นศึก เมื่อเห็นซูอี้จากไปพร้อมชัยชนะ หมี่เทียนเหอจึงพลันตระหนักถึงปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้
สิบวันก่อน ซูอี้เคยกล่าวไว้ว่าเมื่อขุมอำนาจโบราณเหล่านั้นปราชัย ขอให้เขาพูดย้ำคำของตนอีกครั้ง หาไม่ เขาจะเดินทางไปยังหอดาบโคจรสวรรค์ด้วยตนเอง!
ยามนั้น หมี่เทียนเหอแค่นเสียงขำ ไม่เชื่อสักนิดว่าเรื่องเช่นนั้นจะเกิดขึ้น
ทว่ายามนี้…
เขาตระหนักแล้วว่าปัญหานี้ใหญ่หลวงนัก!
…
นครหลวงจิ๋วติ่ง บนหอสูงชั้นบนสุด
บรรยากาศมืดหม่นราวป่าช้า
ผูซู่หรง อาเหลิ่ง และรั่วฮวนต่างเงียบเสียง
พวกเขาต่างดูศึกก่อนหน้านี้อยู่โดยถ้วนทั่ว และยังทำให้พวกเขาเปลี่ยนสถานะจากเดิมสุขุมเป็นตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า…
จนกระทั่งยามนี้ หัวใจของพวกเขายังรู้สึกชาวาบ
“ซูอี้ผู้นี้… มองอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้สิงสถิตหรือผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ ทว่าเขา… แข็งแกร่งเสียจนน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ได้เช่นไร…”
รั่วฮวนเอ่ยเสียงแผ่ว ใบหน้างดงามเหม่อลอยในภวังค์
แพขนตาของผูซู่หรงสั่นไหว นางถอนหายใจและกล่าวว่า “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดเซี่ยอวิ๋นจิ้งจึงกล้าปฏิเสธข้า”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็หัวเราะเยาะตนเอง “ช่างน่าเศร้าที่เราคิดจะไปช่วยเหลือคนแซ่ซูผู้นั้น เมื่อย้อนกลับไปคิดถึง สิ่งที่เราทำในครานี้ช่างน่าขันนัก…”
อาเหลิ่งสูดหายใจลึก ก่อนกล่าวคำออก “ข้าว่านี่คือโอกาสเดียวที่เราจะพาชิงหยวนไปได้! ซูอี้เพิ่งผ่านศึกใหญ่ เขาน่าจะเป็นลูกธนูที่หลุดจากคันศร ด้วยกำลังของเรา เราก็ยังพาชิงหยวนไปจากมือเซี่ยอวิ๋นจิ้งได้นะขอรับ”
หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “เราก็แค่ต้องรีบกลับสู่ภูมินภาจรัสหน่อย พอซูอี้ไหวตัว มันก็จะสายเกินกว่าเขาจะหยุดทันแล้ว!”
ใบหน้างดงามของผูซู่หรงสีหน้าแปรเปลี่ยน
…
ภูเขาเทียนหมาง
“ชนะแล้ว!”
เวิงจิ่วโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น
ศึกนี้ช่างตื่นเต้นเร้าใจนัก
ภาพที่ซูอี้ต่อสู้กลางอากาศและสังหารกลุ่มศัตรูยังคงตราตรึงในใจของเวิงจิ่วจนบัดนี้ โลหิตเดือดพล่าน
“แม้ข้าจะคาดไว้แล้วว่าสหายเต๋าซูจะไม่ปราชัย แต่ก็ไม่คาดเลยว่าเขาจะชนะศึกอย่างงดงามเพียงนี้!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยทอดถอนใจ ไม่อาจซุกซ่อนความตื่นเต้นจนหลุดกิริยาไม่สุภาพออกมาเล็กน้อย
ซูอี้แข็งแกร่งเกินไป!
เขามีฐานการฝึกฝนอยู่เพียงแค่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ แต่กลับเอาชนะพันธมิตรห้ามหาอำนาจโบราณด้วยตัวคนเดียวราวปาฏิหาริย์!
“ข้าขอตัวก่อน”
เหวินซินจ้าวหันหลังจากไป
นางอยากกลับไปยังสวนน้อยนภาเมฆให้ไวที่สุดเต็มแก่
“ไปด้วยกันเถอะ! ข้าอยากขอบคุณสหายเต๋าซูด้วยตนเอง!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าวโดยไร้ความลังเล
“ฝ่าบาท”
จู่ ๆ เวิงจิ่วก็พูดขึ้น “หลังศึกนี้ ผูซู่หรงจะรู้สึกไม่พอใจเป็นแน่ ตาเฒ่าผู้นี้กังวลนักว่านางจะทำเรื่องโง่เขลาแม้จะเห็นทุกอย่างในวันนี้”
ม่านตาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหดตัวทันที เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าไปพาชิงหยวนมา เราจะไปสวนน้อยนภาเมฆด้วยกัน”
“ขอรับ!”
เมื่อกลุ่มพวกเขาจากไป ทั่วภูเขาเทียนหมางก็เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดีเต็มไปหมด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าสมาชิกราชวงศ์เซี่ยต่างรับทราบผลของสงครามแล้ว และต่างสุดยินดี
…
สวนน้อยนภาเมฆ
“เจ้านี่ไวกว่าใครเพื่อนเลยนะ”
ข้างสระน้ำ ซูอี้เอนร่างอย่างผาสุกบนเก้าอี้หวาย อาบแดดยามวสันตฤดูอันอบอุ่นและผ่อนคลายอย่างเต็มที่
ชายชราตาบอดซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขาฉีกยิ้ม “นั่นเป็นเพราะผู้น้อยรู้ว่าคุณชายสามารถสังหารตัวตลกเหล่านั้นได้อย่างไร้ปัญหาขอรับ ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่โดยเร็วที่สุดเพื่อแสดงความยินดีกับชัยชนะของคุณชาย”
ซูอี้กล่าวพลางยิ้ม “เจ้าบอกว่าข้าก็แค่สังหารตัวตลกเหล่านั้นได้อย่างไร้ปัญหาเท่านั้นเองนี่ ต้องแสดงความยินดีอันใดด้วย”
พูดจบ เขาก็คว้าไหสุรามาเริ่มดื่ม
ชายชราตาบอดลังเลครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ใต้เท้าซู วันนี้ตาเฒ่าผู้น้อยดูอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง และพบว่าในหมู่ผู้ฝึกตนจากนอกเมือง ต้องสงสัยว่าจะมีทายาทจากโถงหลงลืมปะปนอยู่ด้วย แต่เพราะระยะห่างมากเกินไป ตาเฒ่าผู้น้อยจึงไม่แน่ใจขอรับ”
ซูอี้ตกใจ “มีกี่คน?”
“คนเดียวขอรับ”
“หน้าตาเป็นเช่นไร?”
“คุณชายซู โปรดดูเถิด”
กล่าวจบ ชายชราตาบอดก็กวาดฝ่ามือ ม่านแสงหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือนภา สะท้อนภาพฉากหนึ่ง
เป็นภาพกลุ่มผู้ชมหนาแน่นยืนอยู่บนเนินเล็ก ๆ ห่างไกลจากนครหลวงจิ๋วติ่ง
“คุณชาย คนผู้นั้นขอรับ”
ชายชราตาบอดยื่นมือชี้ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำผู้มีผิวสีขาวและรูปลักษณ์ดาษดื่นซึ่งปรากฏกลางฝูงชนในม่านแสง
หากเพียงแค่มอง จะไม่อาจพบสิ่งใดพิเศษเกี่ยวกับเขาเลย
ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำผู้นี้แตกต่างจากผู้ชมคนอื่น ๆ
เขาสุขุมเกินไป นิ่งสงบดั่งศิลา ไม่มีการเปลี่ยนผันใด ๆ ของอารมณ์
“คุณชายซู ท่านดูสิ มีลวดลายปักอยู่ที่ขอบผ้าคลุมของคนผู้นี้ ผู้อื่นอาจไม่รู้จักมัน แต่ตาเฒ่าผู้นี้เห็นได้ว่ามันคือหุบเขาไน่เหอและแม่น้ำหลงลืมแห่งภูมิมืดมิดโดยแท้!”
ชายชราตาบอดกล่าว
เห็นได้ชัดว่าเขาไร้ลูกตา แต่ดูเหมือนเขาจะเห็นได้ทุกรายละเอียดอย่างแจ่มแจ้ง
ซูอี้มองตาม และเป็นไปตามคาด เขาพบว่าชายเสื้อคลุมของชายหนุ่มชุดคลุมดำปักลวดลายทิวทัศน์เอาไว้
หากคนทั่วไปมาเห็น พวกเขาจะไม่อาจสังเกตเห็นสิ่งใด
ทว่าเป็นดั่งที่ชายชราตาบอดกล่าว ขอเพียงเคยได้เห็นหุบเขาไน่เหอและแม่น้ำหลงลืมมาก่อน มองปราดเดียวจะรู้จักมันทันที!
“เป็นคนจากโถงหลงลืมจริง ๆ ด้วย”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “กลุ่มเต๋าแห่งนี้หลัก ๆ แล้วฝึกฝนวิญญาณ มรดกสูงสุดของมันคือ ‘คัมภีร์ฝันร้ายสลักจิต’ ผู้ใดที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาดังกล่าวจะมีม่านตาหมุนวนและผิวพรรณสีซีด”
ดวงตาของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำในม่านแสงดูราวกับวังวนดำมืดอันหยุดนิ่งกับที่ ยากจะมองเห็นหากไม่เพ่งดี ๆ
“ดูเหมือนว่าโถงหลงลืมเองก็เริ่มลงมือแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมุ่งเป้ามาที่ท่านเพราะศึกนี้ด้วยหรือไม่”
ชายชราตาบอดขมวดคิ้ว
ซูอี้ยิ้ม และกล่าวอย่างเฉยเมย “ทำหน้าเช่นนั้นทำไม? หากเขากล้าเป็นศัตรูข้าจริง ๆ ก็เท่ากับหาที่ตายของตน”
ในอดีตชาติ เขาเคยเดินทางไปยังภูมิมืดมิดและเคยช่วยชีวิต ‘จักรพรรดิปรภพม่วงนิลกาฬ’ ของโถงหลงลืมจากส่วนลึกของทะเลทุกข์ได้
เขาย่อมรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับโถงหลงลืม
หากเป็นศัตรูกัน เขาจะมีสารพัดวิธีการในการกวาดล้างให้อีกฝ่ายเชื่อฟัง
ชายชราตาบอดตบหน้าผากตนพลางกล่าวยิ้ม ๆ “ตาเฒ่าผู้น้อยลืมไป ด้วยความเข้าใจลิขิตสวรรค์ของคุณชาย คุณชายไม่จำเป็นต้องใส่ใจมันเลยสักนิด”
ทันทีที่กล่าวจบ เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากนอกประตูสวน
“หมี่เทียนเหอจากหอดาบโคจรสวรรค์ มาขอขมาสหายเต๋าซู!”