บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 712 ปิ่นเงิน
ตอนที่ 712: ปิ่นเงิน
ตอนที่ 712: ปิ่นเงิน
นอกประตูสวนน้อยนภาเมฆ
หมี่เทียนเหอก้มหน้า ร่างแข็งทื่อ ในใจรู้สึกขมขื่นนัก
ในฐานะผู้อาวุโสสามแห่งหอดาบโคจรสวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณ เขาจะเคยคิดหรือว่าตนต้องมาก้มหัวขอขมาผู้อื่นถึงที่ด้วยเรื่องที่ตนเพิ่งกล่าวไปเมื่อสิบวันก่อน?
ทว่าเขาไม่กล้าไม่มา
สิบวันก่อน เขากล้าพึ่งฐานะของตนหมางเมินซูอี้
ทว่าวันนี้ เมื่อสงครามถล่มโลกาหน้าประตูเมืองจบลง ต่อให้มอบความกล้าให้เขาเพิ่ม เขาก็ไม่กล้าเมินเฉยต่อคำพูดของซูอี้อีกต่อไป!
“หากข้ารู้เช่นนี้แต่แรก ข้าก็ไม่น่าพูดมากนักเลย…”
หมี่เทียนเหอลอบเสียใจ
เขารู้ดีว่าหากไม่ชิงขอขมาก่อนแต่วันนี้ ด้วยนิสัยและความแข็งแกร่งของซูอี้ อีกฝ่ายย่อมกล้าเดินทางไปเปิดศึกเข่นฆ่าในพื้นที่ของหอดาบโคจรสวรรค์จริง ๆ แน่!
ยามนี้ เสียงไร้อารมณ์ของซูอี้ดังขึ้นในสวน
“ทวนคำพูดที่เจ้ากล่าวยามนั้นมาสิ”
หมี่เทียนเหอตัวสั่น หน้าซีดลังเล
ความอับอายอันเกินพรรณนาท่วมท้นในใจ
พยายามแทบตาย สุดท้ายไร้ค่า!
เขามาที่นี่เพื่อขอขมาแล้ว แต่ดูเหมือนซูอี้จะยังไม่คิดรามือให้!
ครู่หนึ่ง หมี่เทียนเหอรู้สึกอยากจากไปเสียเหลือเกิน
ทว่าสุดท้าย เขาก็ยั้งใจ
ในฐานะผู้อาวุโสผู้มีประสบการณ์โชกโชน เขารู้ดีว่าหากจากไปวันนี้ รอให้ซูอี้มาล้างแค้นในวันหน้า จะไม่ใช่เพียงเขาที่ตาย แต่ทั้งหอดาบโคจรสวรรค์จะตายไปกับเขาเช่นกัน!
สิ่งที่ต้องจ่ายสูงเกินไป!
ครู่ถัดมา หมี่เทียนเหอดูจะปลงตกโดยสมบูรณ์ เขาดูเหมือนเป็นมะเขือยาวเหี่ยว ๆ และพึมพำด้วยริมฝีปากสั่น ๆ
“ตกลง เจ้า…ซูอี้ สุราคาราวะไม่ดื่ม อยากจะดื่มสุราลงทัณฑ์! เช่นนั้น… ก็พบกันใหม่”
เป็นคำพูดไม่กี่คำ แต่เหมือนพลังทั้งกายของหมี่เทียนเหอจะเหือดหายสิ้น
เมื่อเขากล่าวจบ ใบหน้าของเขาก็สลดซีดขาว
เขารู้สึกราววาจาเหล่านี้เป็นดั่งค้อน ทุบทำลายศักดิ์ศรีของตนด้วยทุกถ้อยคำยามเอื้อนเอ่ย…
“ดีมาก ถูกต้องทุกคำ”
เสียงของซูอี้ดังออกมาจากในสวนอีกครั้ง “เจ้าไปได้แล้ว”
“ข้าไปได้แล้วหรือ?”
หมี่เทียนเหอตกตะลึงพรึงเพริดราวไม่เชื่อหู
เขาคิดว่าซูอี้จะใช้โอกาสนี้สบประมาทเหยียบย่ำเขาเสียอีก ซ้ำเขายังพร้อมยอมสยบแล้วด้วย
ทว่า ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น!
เนิ่นนานจากนั้น หมี่เทียนเหอก็สูดหายใจลึก กล่าวด้วยเสียงต่ำ “ขอบคุณสหายเต๋าที่ยอมรามือ หมี่ผู้นี้ซาบซึ้งนัก!”
จากนั้น เขาก็สาวเท้าหันหลังจากไป
สวนน้อยนภาเมฆไร้สุรเสียงใดจนกระทั่งพวกเขาจากไปไกลลิบ
นี่ทำให้หมี่เทียนเหอลอบโล่งใจ แต่ในใจก็ยังอดรู้สึกโหวงเหวงอย่างไม่อาจอธิบายได้
“ในสายตาเขา บางทีเราอาจจะเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยไม่สำคัญ เขาจะมาสนอะไรข้าอีกเล่า?”
การเมินเฉยคือการดูแคลนอันยิ่งใหญ่ที่สุด!
…
ในสวนน้อยนภาเมฆ
“โอ้ เจ้าแก่นั่นคงคิดว่าคุณชายซูจะใช้โอกาสนี้จัดการกับเขาเสียแล้ว เขาจะรู้เช่นไรว่าด้วยฐานะและวิสัยทัศน์ของคุณชาย ท่านจะไม่สนใจย่ำเหยียบมดเช่นเขา”
เฒ่าบอดกล่าวพร้อมกับยิ้ม
ซูอี้ทอดร่างอาบแสงแดดยามวสันต์บนเก้าอี้หวาย หรี่ตาลงกล่าวกับตนเองว่า “นับแต่อดีตกาลจวบปัจจุบัน ผู้ซึ่งสามารถยืดหยุ่นตนได้มักจะมีชีวิตยืนยาวกว่าผู้อื่น”
กล่าวถึงจุดนี้ เขาก็กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่สิ ในหนึ่งเดือน แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาอย่างแท้จริงแน่”
ชายชราตาบอดสะดุ้ง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “จากที่ตาเฒ่าผู้น้อยเห็น นี่หมายความว่าโลกหล้ากำลังจะโกลาหลอย่างแท้จริงด้วยนะขอรับ”
เขาคาดเดาไว้ว่า เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง กลุ่มขุมกำลังระดับสูงจากโลกต่าง ๆ จะแห่กันเข้าแทรกแซง!
ตัวอย่างเช่นโถงหลงลืมซึ่งเพิ่งปรากฏร่องรอยในมหาทวีปคังชิงเมื่อเร็ว ๆ นี้
อีกหนึ่งตัวอย่างคือพลังของเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงแห่งภูมินภาจรัส!
“สิ่งที่เรียกว่าแสงสว่างแห่งโลกกว้างนั้นไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าการสลายตัวของต้นกำเนิดแห่งคังชิง ป้อนกลับสู่โลกหล้าหรอก ดังนั้นมหาทวีปคังชิงจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน”
ซูอี้กล่าว “นี่ไม่ใช่เพียงแสงสว่างแห่งโลกกว้างที่เหล่าผู้ฝึกตนกุขึ้น แต่ยังเป็นความโกลาหลมหาวิปโยคอีกด้วย จากความคิดข้า ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ มหาทวีปคังชิงจะทั้งเฟื่องฟูและเสื่อมถอยในเวลาเดียวกัน”
เขาคิดไปถึงเวิ้งหกดาราที่ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวถึง
ดินแดนแห่งนั้นเหลือเพียงซากปรักหักพัง ไร้ชีวิตราวกับแดนคนตาย
นี่ก็คือบทเรียนสำหรับมหาทวีปคังชิง!
“ไม่สิ เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงอยู่ในมือข้า ในภายหน้า ข้าก็จะทำให้มหาทวีปคังชิงตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงได้…”
ซูอี้ครุ่นคิด
“ศิษย์พี่ซู พวกเรากลับมาแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงรื่นเริงสดใสก็ดังออกมาจากนอกสวนน้อย
ไม่ต้องคิดต่อ ซูอี้ก็รู้กระจ่างแจ้งแก่ใจ
เขามองขึ้นไปที่นอกประตูสวน และพบกับเหวินซินจ้าว เซียนหานเยียนและชิงหยาเดินเข้ามา
ด้านหลังพวกเขายังมีจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เวิงจิ่ว และยังมีหญิงสาวโฉมสะคราญในชุดกระโปรงยามสีม่วง หรือก็คือเซี่ยชิงหยวนเดินตามเข้ามาด้วย
เมื่อเทียบกับกาลก่อน เซี่ยชิงหยวนซึ่งเป็นหญิงสาวผู้เจ้าเล่ห์ปราดเปรียวดูกังวลเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าจิ้มลิ้มของนางปรากฏสีหน้าเศร้าโศก
ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในสวน จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็ก้าวเข้ามาคำนับซูอี้เสียยกใหญ่
“เซี่ยอวิ๋นจิ้งขอเป็นตัวแทนราชวงศ์เซี่ย ขอบคุณสหายเต๋าซูที่ช่วยชีวิต!”
เวิงจิ่วและเซี่ยชิงหยวนเองต่างก็คำนับเขาเช่นกัน
ซูอี้ใช้เพียงดาบของเขาทะลวงฝ่ากองทัพนอกนครหลวงจิ๋วติ่ง เปลี่ยนกระแสสงคราม และช่วยชีวิตราชวงศ์เซี่ยของพวกเขาไว้ได้ทั้งหมด!
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “ก็แค่เรื่องง่าย ๆ เหมือนยกมือ ไม่ต้องสุภาพนักหรอก”
เขาติดหนี้บุญคุณจากจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยไว้มากมาย เช่นในยามที่หล่อหลอมดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ซึ่งจำต้องยืมพลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน
ยิ่งกว่านั้น ครานี้เหล่าขุมอำนาจโบราณเหล่านั้นไม่ได้เพียงมาจัดการกับราชวงศ์เซี่ย แต่มาเพื่อฆ่าเขาด้วย
“ฮ่า ๆๆ สำหรับสหายเต๋ามันอาจแสนง่าย แต่สำหรับข้า นี่คือบุญคุณใหญ่หลวงเชียว!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหัวเราะจากใจ
ทว่า เขาก็ทราบดีว่าซูอี้ไม่ชอบเรื่องพิธีรีตอง ดังนั้นเขาจึงไม่พูดถึงมันอีก
ต่อมา เหวินซินจ้าวก็เชิญทุกคนนั่งลงทีละคน และชงชาร่วมกับชิงหยาเพื่อรินให้ทุกคน
หญิงงามผู้มีฉายามารดาบน้อยยามนี้ง่วนกับงานนัก ในขณะที่ซูอี้นั่งเฉื่อยชาอาบแดดนิ่งสนิทอยู่ที่เดิม
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนกลับไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะควร ทว่ารู้สึกว่าเป็นธรรมชาตินัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในฐานะคนรู้จักของซูอี้ พวกเขาชินกับอุปนิสัยของซูอี้เป็นที่เรียบร้อย
ด้วยเหตุเดียวกัน เหวินซินจ้าวเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี ยามนี้นางจึงรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพรับแขกผู้มาเยือนสวนน้อยนภาเมฆ
“สหายเต๋า ข้ากล้าสรุปได้ว่าหลังจากสยบห้าขุมอำนาจโบราณในครานี้ พวกเขาจะไม่กล้าลงมือในช่วงเวลาสั้น ๆ อีกเป็นแน่”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยนั่งลงข้างซูอี้และครุ่นคิด “ยิ่งกว่านั้น พวกเขาคงเลือกจะกบดานเงียบ ๆ กันไปสักพัก รอให้แสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง”
ซูอี้ส่งเสียงในลำคออย่างเหม่อลอย เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีกต่อไปแล้ว
“แม่นางชิงหยวน ข้าเคยบอกแม่ของเจ้าว่าหากเจ้าไม่อยากไป จะไม่มีผู้ใดพาเจ้าไปได้นะ”
ซูอี้มองเซี่ยชิงหยวนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งหลังจากนางเข้ามาในสวนนี้ นางก็เงียบกริบ ดูราวสติไม่อยู่กับตน
“เอ่อ…”
เซี่ยชิงหยวนเหมือนตื่นจากฝัน นางสงบใจตนและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซู หากข้าเต็มใจจากไปกับแม่ข้า ท่านจะ… หยุดข้าหรือไม่?”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกเปล่ง บรรยากาศรอบข้างก็นิ่งสงัดลงทันที
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยผุดลุกขึ้นสายฟ้าแลบ กล่าวอย่างไม่อยากเชื่อหู “ยายหนู เจ้าจะทิ้งข้าไปหรือ?”
จักรพรรดิผู้ปกครองต้าเซี่ย ยามนี้ไม่อาจควบคุมกิริยาตนได้
เวิงจิ่วเองก็ลนลาน และกล่าวคำ “องค์หญิง มารดาของท่านทิ้งท่านและฝ่าบาทไปอย่างโหดร้ายนับแต่พระองค์ประสูติ ไร้ข่าวคราวใด ๆ และไร้ซึ่งความรู้สึกต่อพวกท่านเลยนะพระเจ้าข้า! และหากองค์หญิงจากไปกับมารดาท่าน บิดาท่าน… จะเป็นเช่นไร?”
ก่อนเขาจะทันพูดจบ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็โบกมือกล่าว “อย่าพูดมากไปกว่านี้เลย!”
เขาสูดหายใจลึก ๆ พลางมองเซี่ยชิงหยวนด้วยสีหน้าซับซ้อน “ยายหนู หากเจ้าอยากไปจริง ๆ พ่อจะไม่หยุดเจ้า แต่ว่า… บอกเหตุผลที่เจ้าจะทิ้งพ่อไปมาได้หรือไม่?”
ปฏิกิริยาของเซี่ยชิงหยวนครานี้มาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ช่างไม่คาดฝันโดยแท้ว่าต่อหน้าเขายามพบปะกับซูอี้ เซี่ยชิงหยวนจะกล่าวเช่นนี้ออกมา!
ซูอี้ทำเพียงมองเซี่ยชิงหยวนเงียบ ๆ แต่ต้นจนจบ
หญิงสาวก้มหน้าลงราวไม่กล้าสู้หน้า ก่อนกล่าวว่า “ท่านพ่อ ไม่ว่าอย่างไรนาง… ก็เป็น… แม่แท้ ๆ ของข้าอยู่ดี ข้าคิดมาแต่เด็กแล้วว่านางเป็นคนเช่นไร และเหตุใดนางถึงทิ้งข้า ทิ้งท่านพ่อ ไม่หวนกลับมาตั้งหลายปี…”
นางกำมืออย่างเงียบ ๆ และกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าอยากรู้คำตอบเหล่านี้!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอึ้งไป สีหน้าของเขาดูไม่แน่ใจ เห็นได้ชัดว่าสะเทือนใจนัก
“ข้าบอกคำตอบที่เจ้าต้องการได้นะ”
จู่ ๆ ซูอี้ก็ลุกจากเก้าอี้หวาย เดินตรงไปหาเซี่ยชิงหยวน
หญิงสาวผงะไป และลุกขึ้นจากที่นั่งเหมือนคนตกใจ ละล่ำละลักว่า “ศิษย์พี่ซู ท่านจะทำอะไร?”
“อย่าแตกตื่นไป ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่”
ซูอี้พลันลงมือ เขาฉวยปิ่นเงินชิ้นเรียวออกมาจากเรือนผมสีดำขลับของนางชิ้นหนึ่ง
ปิ่นเงินนี้ยามสามชุ่น สลักลวดลายคดเคี้ยวลึกลับราวกับไส้เดือนไว้
“เอาคืนมานะ!”
เซี่ยชิงหยวนหน้าซีดตกใจ กระเสือกกระสนชิงมันคืน ดูตื่นตัวอย่างยิ่ง
ซูอี้ใช้หนึ่งมือจี้จุดที่ไหล่ของนาง หญิงสาวถูกพันธนาการและไม่อาจขยับได้อีก
เป๊าะ!
ในขณะเดียวกัน มือของซูอี้ก็ออกแรงหักปิ่นเงินสีละนิด กลายไปเป็นเศษชิ้นส่วนสีขาวหิมะ
เซี่ยชิงหยวนส่งเสียงโอดครวญ ร่างของนางพลันอ่อนยวบซบลงในอ้อมแขนของซูอี้ราวกับเสียกำลังทั้งหมด
ทุกคนอดตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏตรงหน้าพวกเขาไม่ได้ และต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าวอย่างแปลกใจ “สหายเต๋าซู นี่คือ…”
“สื่อคุณไสย ใช้เพื่อลวงจิตใจให้สับสน”
ซูอี้กล่าวอย่างลอยชาย “ก่อนหน้านี้ แม่นางชิงหยวนถูกสะกดใจอยู่ จึงเอ่ยวาจาผิดปกติ”
พูดจบ เขาก็ส่งเซี่ยชิงหยวนที่หมดสติให้กับเหวินซินจ้าว “นางไม่เป็นไรหรอก นอนสักตื่นก็จะดีเอง”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยดูจะเข้าใจ สีหน้าของเขาแข็งกร้าว “ผูซู่หรง นังสารเลวนี่บ้าไปแล้ว กล้าทำคุณไสยใส่ลูกตัวเอง!!”
ยามนี้ เสียงทอดถอนใจพลันแว่วมาจากหน้าสวน
“ในฐานะมารดา แค่อยากพาลูกสาวไปด้วยมันผิดหรือ?”