บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 713 อ่อนแอปวกเปียก
ตอนที่ 713: อ่อนแอปวกเปียก
ตอนที่ 713: อ่อนแอปวกเปียก
เมื่อเสียงดังขึ้น ผูซู่หรงก็พาอาเหลิ่ง รั่วฮวน และคนอื่น ๆ เข้ามาในสวนน้อยนภาเมฆ
ครานี้ นอกจากผูหวย ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองซึ่งถูกซูอี้ปราบ ยังมีชายชราอีกคนมากับนางด้วย
ชายชราผู้นี้ผอมแห้งและดูป่วย สวมชุดคลุมสีเทาและแบกน้ำเต้าสีเหลืองสูงครึ่งตัวคนไว้ และนั่นทำให้หลังของเขางองุ้มลง
เมื่อเห็นน้ำเต้ายักษ์ที่หลัง ซูอี้ก็อดแสดงสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยไม่ได้
“ผูซู่หรง เจ้ากล้าดีอย่างไรมาหาข้า!?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยโกรธเสียจนตวาดลั่น
ทว่าผูซู่หรงดูเยือกเย็น เมินเฉยต่อจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยโดยสมบูรณ์
จากนั้นนางจึงกล่าวกับซูอี้ว่า “สหายเต๋าซู แม้ว่าพลังต่อสู้ของเจ้าจะสูงค้ำฟ้า จนสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณในโลกนี้ได้ แต่เจ้าก็ควรรู้ดีกว่าข้าว่าตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านั้นอยู่ในระดับใด”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อ
“ยิ่งกว่านั้น เจ้ายังเพิ่งผ่านสงครามมา ต่อให้ยังต่อสู้ไหว แต่ก็อาจไม่สามารถหยุดข้าไม่ให้พาลูกสาวข้าไปก็เป็นได้”
สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นหนักแน่นจริงจัง “ดังนั้น ข้าจึงหวังว่าเจ้าจะยอมถอยห่างและให้เราแม่ลูกได้ประสานรอยร้าว ไว้ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ สัญญาว่าจะมอบรางวัลที่น่าพอใจให้สหายเต๋าในภายหน้า”
ทันทีที่วาจานี้ถูกเอ่ย จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็หน้าเขียวด้วยโทสะ เขากรุ่นโกรธยิ่งนัก
ไม่ใช่เพียงที่เขาถูกผูซู่หรงเมิน แต่เป็นเพราะจากการวางตัวของผูซู่หรง เห็นได้ชัดว่านางจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย!
“สิ่งที่ข้าพูดจะไม่เปลี่ยนแปลง”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าลองดูก็ได้ว่าจะพาแม่นางชิงหยวนไปจากข้าได้หรือไม่”
อาเหลิ่งอดกล่าวไม่ได้ว่า “ซูอี้ การทำเช่นนี้ส่งผลดีใดกับเจ้าหรือ?”
ซูอี้เมินเขา
เขาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน และแสนคร้านเกินกว่าจะกล่าววาจาเพ้อเจ้อ
ใบหน้าหล่อเหลาของอาเหลิ่งดำทะมึนด้วยโทสะ
ผูซู่หรงอดขมวดคิ้วไม่ได้
อุปนิสัยดื้อดึงของซูอี้ทำให้นางปวดหัว
ยามนี้ ชายชราชุดเทาร่างผอมผู้แบกน้ำเต้ายักษ์สีเหลืองเอ่ยขึ้นว่า “สหายน้อย การศึกของเจ้าในวันนี้มากพอจะทำให้ทั้งอดีตและอนาคตสะท้านสะเทือน และด้วยภูมิหลังกับพรสวรรค์ของเจ้า หากอยู่ในมหาทวีปคังชิงไปชั่วชีวิต ไม่ช้าก็เร็วจะไม่ต่างจากไข่มุกในกองฝุ่น”
เสียงของเขาแหบต่ำ เผยพลังในการแทรกซึมสู่หัวใจคน “ในทางกลับกัน หากเจ้าหวังจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงในวันนี้ ตาเฒ่าผู้นี้จะแนะนำเจ้าให้ไปฝึกฝนในภูมินภาจรัส ณ ภายหน้าแน่นอน”
“ข้ารับประกันได้ว่าด้วยความสามารถของสหายน้อย แม้จะไปยัง ‘สถานที่ศักดิ์สิทธิ์’ เยี่ยงเก้ามหาแดนดิน เจ้าก็ยังสามารถโดดเด่นเป็นหนึ่งได้!”
เก้ามหาแดนดิน!
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์!
สำหรับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เวิงจิ่วและคนอื่น ๆ นี่คือชื่อของโลกที่ไม่คุ้นเคย
ทว่าเมื่อมันกระทบสู่โสตชายชราตาบอด มันก็ทำให้สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจนดูพิลึก
ยามนี้ ในที่สุดซูอี้ก็ดูเหมือนถูกกระตุ้นความสนใจ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “บอกข้าได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าจากภูมินภาจรัสมายังมหาทวีปคังชิงนี้ได้อย่างไร?”
ปรากฏสัญญาณของการโน้มน้าว!
หลังจากตริตรองสักนิด ชายชราในชุดเทาก็กล่าวว่า “อืม ขอเพียงสหายน้อยสัญญาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ ข้าก็พร้อมจะพาสหายเต๋ากลับไปกับข้าด้วย เมื่อไปถึงภูมินภาจรัส สหายเต๋าจะรู้ได้แน่นอนว่าที่นั่นห่างไกลเกินจะเทียบกับมหาทวีปคังชิงนัก…”
เขากำลังจะพูดต่อ ทว่าซูอี้กล่าวขัดว่า “ข้าถามพวกเจ้าว่ามาที่นี่ได้อย่างไร ไม่ใช่ให้พูดพร่ำเพรื่อ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ในที่สุดชายชราตาบอดก็สบโอกาสพูด เขากล่าวอย่างเย็นชา “ภูมินภาจรัสก็แค่หนึ่งในสามสิบสามโลกที่คุ้มกันอยู่นอกเก้ามหาแดนดิน และเผ่าจิ้งจอกบรรพตขจีก็คือขุมอำนาจสูงสุดในภูมินภาจรัสขอรับ”
“สหายเอ๋ย ข้าแนะนำว่าอย่าสำคัญตนเองมากไปจะดีกว่า! วาจาของเจ้าอาจทำให้ผู้อื่นกลัวได้ ทว่าไม่ใช่ข้าและคุณชายซู!”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูแคลน
สีหน้าของชายชราชุดเทาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถามอย่างแปลกใจ “สหายผู้นี้เคยไปเยือนภูมินภาจรัสหรือ?”
ชายชราตาบอดกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “สำคัญด้วยหรือ ฟังคำแนะนำของข้านะ เจ้าควรตอบคำถามของคุณชายซูอย่างจริงใจและรีบจากไปเสีย หากไม่พอใจจริง ๆ ล่ะก็… เฮ้อ เช่นนั้นก็ทำตนเองแล้ว”
วาจาเหล่านั้นช่างหยาบคาย
ผูซู่หรงและคณะพลันขมวดคิ้วอย่างแปลกใจที่ไม่อาจหยั่งถึงเบื้องลึกของชายชราตาบอดได้
ชายชราชุดเทาส่ายหน้าอย่างหมดความสนใจ ก่อนกล่าวว่า “ฮี่ ๆ สหายผู้นี้ก็แค่เศษเสี้ยววิญญาณ แต่ยังกล้าข่มขู่ตาแก่ผู้นี้เช่นนี้ เจ้าไม่คิดว่า… สิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ไม่เหิมเกริมมากไปหรือ?”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเห็นสภาพร่างกายของชายชราตาบอด!
จากนั้น ชายชราชุดเทาก็เบือนสายตาไปกล่าวกับซูอี้ว่า “สหายน้อย เจ้าคิดเช่นไร?”
ซูอี้หันไปพูดกับผูซู่หรงว่า “เห็นแก่หน้าแม่นางชิงหยวน ให้เวลาสามอึดใจ เจ้าและคนของเจ้าจงไปเสีย หาไม่ อย่าโทษข้าที่ไล่พวกเจ้าออกไปแล้วกัน”
ผูซู่หรงขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบใจ
“ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!”
อาเหลิ่งเดือดดาลนัก
ซูอี้เมินเขา และหนึ่งวาจาก็เปล่งจากริมฝีปาก “หนึ่ง”
บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นหดหู่
“คนแซ่ซู เจ้า…”
อาเหลิ่งกำลังจะพูดบางอย่างอีกครั้ง ทว่าผูซู่หรงหยุดเขาไว้ นางกล่าวอย่างหนักแน่น “ไม่ว่าอย่างไร ครานี้ข้าต้องพาลูกสาวข้าไปให้จงได้!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เวิงจิ่วและคนอื่น ๆ ต่างเปลี่ยนสีหน้า มืดหมองเกินกว่าจะมอง
“สอง”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ ดูจะไม่ใส่ใจในการเปลี่ยนแปลงสีหน้าและอารมณ์ของผู้อื่นเลย
“เฮะ เช่นนั้นให้ตาเฒ่าผู้นี้ได้เรียนรู้วิธีการของสหายเต๋าซูหน่อยแล้วกัน!”
ชายชราชุดเทาหัวเราะ
ทว่ารอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา
เสียงยังไม่ทันสิ้น ชายชราชุดเทาพลันยืดหลังตรงกะทันหัน และน้ำเต้าสีเหลืองขนาดยักษ์ที่เดิมแบกอยู่บนหลังก็ลอยขึ้นสู่อากาศ
อำนาจร้ายกาจที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาในสวนน้อยนภาเมฆ
ใบหน้าของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยและคนอื่น ๆ ต่างเปลี่ยนสี บรรยากาศช่างโหดเหี้ยมนัก!
ชายชราชุดเทาผู้นี้เป็นตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
“สาม” เมื่อคำนี้หลุดออกมาจากปาก ร่างของซูอี้ก็ลอยขึ้นสู่อากาศ ทะยานขึ้นฟ้าฉับพลัน จากนั้นจึงกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า
“เข้ามาสิ”
เขาไม่ต้องการให้การกระทำของตนทำลายสวนน้อยนภาเมฆ
“ไฉนจะไม่ได้?”
ชายชราชุดเทาหัวเราะหึ
โดยไม่มีผู้ใดเห็นเขาขยับตัว ร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นบนอากาศเสียเฉย ๆ
น้ำเต้ายักษ์สีเหลืองลอยอยู่เหนือหัวของเขาท่ามกลางกระแสมหาวิถีราวกับสายน้ำ
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เวิงจิ่ว เหวินซินจ้าว และชายชราตาบอดต่างแหงนหน้ามองตาม
“เหตุไฉนหนอ?”
ผูซู่หรงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“เขาคงคิดแน่ว่าหากสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้ เขาคงเมินเฉยต่อผู้เฒ่าเฉียนได้”
อาเหลิ่งพลันหัวเราะ ลำพองในความวิปโยคของผู้อื่น
รั่วฮวนขมวดคิ้วลังเล
ผู้เฒ่าเฉียน หรือชื่อเต็มคือผูหงเฉียน เขาได้สำเร็จการฝึกฝนในขั้นต้นของขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้ว แม้ว่าจะเทียบตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณระดับสูงสุดจากเผ่าจิ้งจอกบรรพตขจีไม่ได้ แต่เขาก็มีคุณสมบัติแก่กล้ายิ่งนัก
พื้นฐานมหาวิถีของเขาห่างไกลเกินจะเทียบกับผู้ที่ตายด้วยมือซูอี้วันนี้หลายขุม
ยิ่งกว่านั้น ชายชราในครานี้ยังแบกสมบัติประจำเผ่ามาด้วยเช่นกัน!
นั่นคือเหตุที่ทำให้พวกเขารู้ว่าซูอี้ต่อกรด้วยไม่ง่าย แต่ก็ยังกล้าขอพาเซี่ยชิงหยวนไปอย่างมั่นใจ
ทว่า ในใจรั่วฮวนกลับรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย
นางรู้สึกเสมอว่าแม้ซูอี้จะเพิ่งผ่านศึกหนัก กำลังกายถดถอย แต่เขาก็ยังรับมือด้วยไม่ง่ายอยู่ดี
“เชิญ!”
ชายชราชุดเทาผูหงเฉียนซึ่งลอยอยู่บนอากาศกล่าวอย่างเยือกเย็น
ซูอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง
เขาสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นพุ่งทะยานสู่อากาศหมายสังหารผูหงเฉียนด้วยมือเปล่า
ไม่แตะต้องกระทั่งดาบนิลกาฬบริสุทธิ์!
สิ่งนี้ทำให้ทุกผู้ตกตะลึง เพราะในศึกก่อนที่หน้านครหลวงจิ๋วติ่ง เมื่อซูอี้รับมือยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านั้น ตัวเขาเองก็ใช้ดาบวิถีคู่ชีพเช่นกัน
ทว่ายามนี้ เขาดูไม่ใส่ใจจะใช้สมบัตินั่น!
“บ้าไปแล้ว!”
อาเหลิ่งหัวเราะอย่างโกรธเคือง
กระทั่งผูหงเฉียนยังอดขมวดคิ้วไม่ได้ การดูแคลนของซูอี้ทำให้เขาเสียหน้า
หรือเด็กนี่จะคิดว่าเขาอ่อนแอกว่าตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณในโลกนี้?
ตู้ม!
สุญญะปั่นป่วน หมัดของซูอี้เหวี่ยงชก
ช่างเรียบง่าย โบราณและเงอะงะ เต็มไปด้วยพลังมหาวิถีอันลึกลับยากคะเน
“ฮึ!”
ดวงตาของผูหงเฉียนพลันเรืองแสงสีม่วงสว่างดุจตะวันแผดเผา วจีวิถีอันโบราณจนฟังไม่ออกถูกเปล่งออกกังวานทั่ว
“ย้าก!”
เบื้องหลังเขาพลันบังเกิดดวงจันทร์สีม่วงลี้ลับรัศมีสิบจั้งสว่างขึ้นในฉับพลัน เมื่อมันหมุนวนก็เกิดเป็นภาพอันแปลกตา
นี่คือวงล้อวิญญาณมหาวิถีของเขา!
ในขณะเดียวกัน วจีวิถีอันโบราณก็ระเบิดเข้าใส่วิญญาณของซูอี้
วจีวงล้อวิญญาณจันทรา!
หนึ่งในมรดกสูงสุดของเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงคือวิชาจิตวิญญาณที่ลึกล้ำพิสดารยิ่ง มันเล็งเล่นงานจิตวิญญาณโดยเฉพาะ!
เมื่อถูกใช้ มันจะจับและทำลายจิตวิญญาณของเป้าหมาย ซ้ำยังสามารถโจมตีวิญญาณของคู่ต่อสู้ได้จากทุกการหมุนวน ดังนั้นเมื่อถูกมันโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว อีกฝ่ายก็อาจถูกลอบสังหารได้
ตัวตนในขอบเขตเดียวกันยังยากจะต่อต้าน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผูซู่หรง อาเหลิ่งและคนอื่น ๆ ต่างก็ผ่อนคลายหายห่วง
พวกเขาต่างเห็นว่าผูหงเฉียนไม่ออมมือ โดยใช้วิชาลับสุดยอด ‘วจีวงล้อวิญญาณจันทรา’ นับแต่เริ่มศึก
ด้วยวิถีเต๋าในขอบเขตวงล้อวิญญาณของเขา การรับมือตัวตนในขอบเขตเทียบเท่าหรือต่ำกว่าย่อมสามารถสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อศัตรูได้!
ทว่า ภาพที่ทำให้พวกเขาตะลึงอึ้งก็บังเกิด…
พวกเขาเห็นซูอี้ก้าวสู่อากาศ โจมตีเข้าใส่ผูหงเฉียนราวไม่สะทกสะท้านแม้เพียงนิด!
“นี่…”
ผูหงเฉียนเบิกตากว้างอย่างตกใจ
เขาอยากลอบสังหารศัตรูด้วยวิชาลับโจมตีจิตวิญญาณ ทว่าใครเล่าจะคิดว่าศัตรูไม่ได้รับผลใด ๆ เลย แต่เป็นเขาเองที่ถูกโจมตีโดยไม่ตั้งตัว…
ไร้โอกาสให้คิดมาก ตราประทับหมัดอันโบราณและเงอะงะของซูอี้ถูกซัดออกไปอย่างไร้ปรานีแล้ว
ตู้ม!!!
แว่วเสียงกระแทกดังเลือนลั่น
ในขณะหน้าสิ่วหน้าขวาน ผูหงเฉียนต่อต้านโดยอาศัยสัญชาตญาณ ทว่าร่างของเขาก็ถูกระเบิดกระเด็นออกในพริบตาราวว่าวสายป่านขาด
ก่อนที่เขาจะยืนตั้งหลักได้ ร่างของซูอี้ก็พุ่งมาหารวดเร็วดั่งสายฟ้า และชกกำปั้นเข้าใส่
“วิชาปลิดวิญญาณ!”
ผูหงเฉียนตะโกนลั่น ดวงตาทอประกายสีม่วงเจิดจ้า
ในอดีต เขาเคยใช้วิชาลับนี้เพื่อลอบสังหารยอดศัตรูคนแล้วคนเล่า
ทว่า…
เปรี้ยง!!!
เกิดเสียงการปะทะหนัก ๆ ก้องขึ้นอีกครั้ง
ร่างผอมบางของผูหงเฉียนถูกชกกระเด็นอีกหน
เขากระอักเลือดออกจากปากและจมูก ศีรษะบวมเป่ง หมัดอันร้ายกาจทำให้ผิวหนังทั่วกายของเขาปริ โลหิตทะลักไหล ทุกกล้ามเนื้อและกระดูกทั่วกายส่งเสียงเสียดสี
“เป็นไปไม่ได้! เจ้าไม่ใช่ตัวตนระดับขอบเขตจักรพรรดิ เหตุใดวิชาปลิดวิญญาณจึงใช้กับเจ้าไม่ได้!?”
ผูหงเฉียนตะโกนด้วยทั้งความตกตะลึงและโทสะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
และทุกคนที่มองอยู่ต่างตะลึงงัน
ศึกเพิ่งเริ่ม แต่ดูเหมือนว่าผูหงเฉียนจะอ่อนแอปวกเปียกนัก…
—————————