บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 715 ข้ามีชะตาต้องกับสมบัตินี้
ตอนที่ 715: ข้ามีชะตาต้องกับสมบัตินี้
ตอนที่ 715: ข้ามีชะตาต้องกับสมบัตินี้
“นี่…”
ดวงตาของผูหงเฉียนเบิกกว้างราวถูกสายฟ้าฟาดใส่
ผูซู่หรง อาเหลิ่ง รั่วฮวนและคนอื่น ๆ เองก็อึ้งไปเช่นกัน
ภาพนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป จนเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าน้ำเต้าทองคำ สมบัติตกทอดในเผ่าจิ้งจอกจันทราม่วงของพวกเขาจะสิ้นท่าโดยสมบูรณ์ในมือซูอี้ราวพบคู่ปรับทางธรรมชาติ!
ซูอี้ซึ่งอยู่บนอากาศยกมือขึ้นตบมันเบา ๆ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เกิดเสียงระเบิดขึ้นหนาหู
ดาบวิถีสีทองซึ่งค้างอยู่ในอากาศต่างแตกสลายไปสิ้น เปลี่ยนเป็นละอองแสงสีทองร่วงโรยพร่างพราย
จากนั้น มันก็ร่วงลงบนฝ่ามือของซูอี้ดุจดั่งพันสายน้ำไหลบรรจบ
ภาพนี้ทำให้ผู้พบเห็นตะลึงไปอีกครา
“สมควรตาย!”
ผูหงเฉียนคำรามลั่นดั่งอสนีบาต ราวกับสิ้นสติโดยสมบูรณ์
เขากำลังจะลงมืออีกครั้ง
ทว่าเขากลับเห็นซูอี้แย้มยิ้ม จากนั้นก็สะบัดมือไปหาน้ำเต้าทองคำซึ่งลอยอยู่เหนือหัวของผูหงเฉียน
“มานี่”
วูบ!
น้ำเต้าทองคำสั่นไหวรุนแรง ก่อนจะหลุดจากการควบคุมของผูหงเฉียน และแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างทะยานเข้ามาหาซูอี้
ดูเชื่องเชื่อฟังดุจดั่งนางแอ่นคืนรัง
“นี่… เป็นได้เช่นไรกัน!?”
ดวงตาของผูหงเฉียนเบิกถลน เขากระอักเลือดออกมาคำโต ใบหน้าแก่ชราซีดขาว ร่างสะท้านไหว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าส่งผลกระทบหนักหน่วงต่อตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงผู้นี้!
ผูซู่หรงและคนอื่น ๆ ล้วนตะลึงงันเช่นกัน อกของพวกเขาเหมือนถูกกีดขวาง อึดอัดแทบร่างระเบิด
ศึกนี้ช่างน่าอึดอัดใจจริงแท้!
ในฐานะตัวตนแห่งขอบเขตวงล้อวิญญาณ ผูหงเฉียนได้ร่ำเรียนเคล็ดวิชาทั้งหมดของเผ่าพันธุ์ ทว่าทั้งหมดนั่นกลับไร้ผลต่อหน้าซูอี้ราวกับเป็นของปลอม
เขากระทั่งถูกซูอี้สยบเกือบตายในสามหมัด สร้างความอับอายเป็นอย่างยิ่ง
ทว่า เมื่อผูหงเฉียนใช้งานน้ำเต้าทองคำ เมื่อทุกคนต่างคิดว่าสมบัติชิ้นนี้จะสามารถสยบซูอี้ได้ มันกลับยอมสยบตนเองให้กับซูอี้อย่างง่ายดาย!
เมื่อเห็นรูปลักษณ์กิริยาอันแสนโอนอ่อนเชื่อฟังของน้ำเต้าอสูรทองคำ พวกผูซู่หรงก็โกรธเสียจนแทบกระอักเลือด
วิชาต่อสู้ถูกผนึก กระทั่งสมบัติประจำเผ่ายังถูกปราบราบคาบ เช่นนี้จะยังสู้ต่อไปได้เยี่ยงไร?!
ในขณะเดียวกันจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างอึ้งทึ่งกับวิชาอันแสนอัศจรรย์ของซูอี้
มาถึงจุดนี้ ใครเล่าจะยังมองไม่เห็นว่าอำนาจของสมบัติใต้บัญชาของผูหงเฉียนถูกซูอี้ปราบลงราบคาบ?
เป็นถูกปราบเหมือนดั่งหนูพบแมว!
“นี่เรียกว่าเข้าใจลึกล้ำเหนือประมาณ”
ชิงหยากล่าวเสียงใส
“และยังเรียกได้ว่าอับอายขายหน้า!”
ชายชราตาบอดยิ้มเยาะ
สองคนนี้ หนึ่งใสซื่อเรียบง่าย หนึ่งข้ามผ่านกระแสประสบการณ์แห่งชีวิตมามากมายโนเวลพีดีเอฟ
หนึ่งเชื่อมั่นในซูอี้อย่างหน้ามืดตามัว
และหนึ่งชื่นชมซูอี้จากฝีมือที่ได้ประจักษ์
ปฏิกิริยาของพวกเขาในยามนี้ช่างน่าสนใจ
บนอากาศ
“หดเล็กลง”
ซูอี้เอื้อมมือไปแตะน้ำเต้าทองคำซึ่งสูงครึ่งตัวคน
สมบัติส่งเสียงฮัม และในพริบตาถัดมา มันก็เปลี่ยนขนาดไปเท่าฝ่ามือ ลอยอยู่เหนือฝ่ามือซูอี้
ซูอี้บรรจุพลังของอสูรทองคำทั้งหมดที่ถูกเขาปราบลงไปในน้ำเต้าอสูรทองคำ จากนั้นจึงยิ้มอย่างพอใจ
เขามองผูหงเฉียนซึ่งอยู่ไกลออกไป และกล่าวเบา ๆ ว่า “ยังอยากสู้ต่อหรือไม่?”
ใบหน้าเฒ่าชราของผูหงเฉียนโศกโศกาดุจนางสนมไว้ทุกข์
ครู่ถัดมาเขาก็ถามออกมาด้วยเสียงแข็ง ๆ “ตาเฒ่าผู้นี้ขอบังอาจถาม สหายเต๋า… เหตุใดเจ้าจึงไม่กลัวอำนาจเคล็ดวิชาของเผ่าข้ากัน?”
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงตอบว่า “ข้ากล่าวได้เพียงว่าเจ้าอ่อนแอเกินไป”
ผูหงเฉียน “…”
เขาสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “น้ำเต้าทองคำคือสมบัติตกทอดนับแต่บรรพชน จากรุ่นสู่รุ่นในเผ่าข้า หลั่งเลือดเสียเนื้อบ่มเพาะมันมา อำนาจของมันร้ายกาจมากพอจะสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้ ทว่า… สหายเต๋า… ปราบมันได้เช่นไร?”
ซูอี้ตอบยิ้ม ๆ “ทุกสิ่งในโลกมีจุดเด่นจุดด้อยเสมอ สมบัติวิญญาณต้นกำเนิดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และข้าก็บังเอิญรู้วิธีปราบน้ำเต้าต้นกำเนิดห้าอสูรพอดี ข้าจึงบอกได้เพียงว่าเจ้าโชคร้ายนักที่ใช้สมบัตินี้มาจัดการข้า”
ผูหงเฉียน “…”
ใบหน้าชราของเขาดำทะมึน อกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง ดูหดหู่เสียจนแทบคลั่ง
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยและคนอื่น ๆ จึงอดรู้สึกสงสารไม่ได้
ชายผู้นี้อับโชคโดยแท้ อำนาจของเขามีมากพอจะเดินเชิดหน้าอย่างไร้กลัวเกรงได้ในมหาทวีปคังชิงนี้ ทว่าเขากลับมาพบคู่ปรับเช่นซูอี้…
ไม่ต่างจากการส่งตนเองมาวอนมือวอนเท้าถึงหน้าประตูบ้าน!
“นายน้อยซู เผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงของข้ายอมแพ้ในศึกนี้!”
จู่ ๆ ผูซู่หรงก็กล่าวยอมแพ้ออกมา “ผู้เฒ่าเฉียน กลับมาเถิด”
ผูหงเฉียนกลับไปที่สวนด้วยสีหน้าหม่นหมอง
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็หันหลังกลับโดยไม่สนใจอีก
ท้ายที่สุด การกลับมามหาทวีปคังชิงครานี้ของผูซู่หรงก็ไม่ได้สร้างอันตรายใด ๆ กับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย นางเพียงต้องการใช้พลังกดดันเขาและพาลูกสาวของนางไปเท่านั้น
นับแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้ทำร้ายใครเลย
แค่จากเรื่องนี้ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าผู้คนที่ทำตัวใหญ่คับฟ้าแล้ว
“นายน้อยซู คืนน้ำเต้าทองของเผ่าข้ามาได้หรือไม่?”
ผูซู่หรงถาม
ทุกสายตาหันมองซูอี้
“ในเมื่อพวกเจ้าเริ่มศึก จะไม่จ่ายสินสงครามสักหน่อยหรือไร?”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ “ยิ่งกว่านั้น สมบัติชิ้นนี้ยังกล่าวได้ว่ามีความเกี่ยวพันกับข้า ดังนั้นพวกเจ้าก็ควรจ่ายมันให้ข้าถึงจะถูก”
ผูซู่หรงและคณะ “…”
“ซูอี้ พวกเรายอมแพ้แล้ว เจ้ายังวางแผนยึดสมบัติประจำเผ่าเราอยู่อีกหรือ?”
อาเหลิ่งกล่าวด้วยโทสะ
ไม่รอให้ซูอี้ออกวาจาใด ชายชราตาบอดกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าหนู หากคุณชายซูพ่ายศึกนี้ พวกเจ้าจะรามือไม่นำแม่นางชิงหยวนไปหรือไม่?”
อาเหลิ่งสิ้นวาจา
ชายชราตาบอดกล่าวอย่างเดียดฉันท์ “จากกฎในภูมินภาจรัส เมื่อเกิดศึกและมีฝ่ายปราชัย พวกเขาก็ควรจ่ายสินสงคราม มอบสมบัติของตนเพื่อชดใช้ความพ่ายแพ้ หรือเพื่อขออภัยอย่างจริงจัง แล้วกระไรเล่า? พวกเจ้าคิดว่าศึกเมื่อครู่เป็นเด็กเล่นกันหรือไร?”
วาจาเหล่านี้ทำให้พวกผูซู่หรงรวนเรไม่อาจโต้เถียง
“ยิ่งกว่านั้น เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าคุณชายซูจะแค่อยากได้น้ำเต้าหรือไร? ทั้งหมดนี้ก็แค่เพื่อแม่นางชิงหยวน และคุณชายก็ไม่วางแผนลงมือต่อ แต่ยอมลดราวาศอกให้พวกเจ้า! หากคุณชายซูจริงจังขึ้นมา จะไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าได้กลับไปวันนี้เลย!”
ชายชราตาบอดแค่นเสียงอย่างเย็นชา
ผูซู่หรงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวกับซูอี้ว่า “นายน้อยซู คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก น้ำเต้าทองนี้คือสมบัติที่ตกทอดกันมาในเผ่าเรานับแต่บรรพชน หากเจ้าต้องการครอบครองมัน ภายหน้าหากถูกจ้องแย่งชิง เจ้าก็พึ่งได้เพียงตนเองแล้ว”
ซูอี้กล่าวพลางยิ้ม “ข้าจะรอ”
เฒ่าบอดเองก็กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มเช่นกันว่า “อย่าลืมนำสมบัติชิ้นอื่น ๆ ของเผ่าเจ้าอย่าง ‘หม้อเทวะบุหลันม่วง’ ยามเมื่อกลับมาคราวหน้าด้วยล่ะ ข้าไม่แน่ใจว่ามันจะเกี่ยวข้องกับคุณชายซูอีกหรือไม่”
เสียงหัวเราะนี้ทำให้พวกผูซู่หรงรู้สึกไม่สบายใจ หัวใจสั่นสะท้าน ชายชราตาบอดรู้กระทั่งเรื่องนี้ด้วยหรือ!?
“ลืมไปเสีย ไปกันเถิด”
ผูซู่หรงมองเซี่ยชิงหยวนซึ่งนอนอยู่ข้างกายเหวินซินจ้าวด้วยแววตาเศร้าหมองซับซ้อน ก่อนจะหันหลังจากไป
คนอื่น ๆ ตามนางไป
เมื่อมองร่างของพวกเขาคล้อยหลังหายจาก จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย และพวกเวิงจิ่วก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
“ทุกคนก็ควรกลับแล้วเช่นกัน”
ซูอี้โบกมือ
เขาเหนื่อยอยู่นิดหน่อยจริง ๆ ก่อนหน้านี้ทำสงครามอยู่นอกเมือง และยามนี้ยังต้องมาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงอีก ยามนี้เขาจึงอยากจะพักผ่อนดี ๆ เหลือเกิน
“สหายเต๋าซูรีบพักผ่อนเถิด เซี่ยผู้นี้จะกลับมาเยือนอีกวันหลัง!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพาเวิงจิ่วและเซี่ยชิงหยวนกลับไปทันที
“คุณชายซู ผู้น้อยเฒ่าวางแผนจะไปที่แดนเซียนมิคสัญญีอีกหน”
ชายชราตาบอดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “แล้วก็… จะไปสืบเรื่องของโถงหลงลืมด้วย”
ซูอี้รู้ว่าชายชราตาบอดคิดจะกลับไปยังภูมิมืดมิดและไม่หยุดอีกฝ่าย “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวด้วย โถงหลงลืมเป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งในหมู่ผู้ฝึกผี เชี่ยวชาญเป็นหนึ่งด้านการลบความทรงจำและควบคุมจิตใจคน”
ชายชราตาบอดฉีกยิ้มกล่าวว่า “คุณชายซูอย่ากังวลเลย หากกล่าวถึงเรื่องวิชาเกี่ยวกับวิญญาณ เชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพของข้าเองก็ไม่อ่อนด้อยขอรับ”
ซูอี้พยักหน้า
มรดกสูงสุดของโถงหลงลืมคือ ‘คัมภีร์ฝันร้ายสลักจิต’ และมรดกสูงสุดของเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพก็คือ ‘วิชาโคมรัตติกาลนิรันดร์’
ทั้งสองสิ่งนี้ต่างเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาอันเกี่ยวเนื่องกับการฝึกฝนวิญญาณ
หากมองเพียงที่พื้นฐาน วิชาทั้งสองอยู่สูงยิ่งกว่า ‘คัมภีร์เพรียกจันทรา’ ของเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงเสียอีก
ทว่า เคล็ดวิชาฝึกฝนวิญญาณเหล่านี้จะไร้ผลต่อซูอี้โดยสิ้นเชิง เว้นแต่ผู้ใช้มันจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ
วิญญาณของเขาได้รับการคุ้มครองจากดาบเก้าคุมขัง และในใจยังมีประสบการณ์และความรู้ต่าง ๆ เมื่อหนึ่งแสนแปดหมื่นปีก่อนอยู่ ชายหนุ่มจึงไม่ใช่คนที่จะถูกตัวตนในวิถีวิญญาณใด ๆ สั่นคลอนได้เลย
นี่ยังเป็นเหตุผลที่เคล็ดวิชาเล่นงานวิญญาณจึงไร้ผลกับเขาในศึกก่อนหน้านี้กับผูหงเฉียน!
ไม่นานนัก ชายชราตาบอดก็จากไป
ซูอี้หันเดินกลับเข้าไปในห้องของเขา และปรับลมหายใจอย่างสุขุม
เหวินซินจ้าว ชิงหยา และเซียนหานเยียนนั่งกระซิบกระซาบกันอยู่ในสวน
วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายเกินไป ทำให้อารมณ์ของพวกเขายากจะเย็นลงได้
ค่ำคืนโรยตัวลงมา
ในช่วงนี้ เนื่องจากความจริงที่ห้ามหาอำนาจโบราณร่วมมือกันจัดการกับราชวงศ์เซี่ย นครหลวงจิ๋วติ่งจึงรกร้างไร้ผู้คน ความรุ่งเรืองครึกครื้นในอดีตได้หายไปแล้ว
ทว่าในคืนนี้ กลุ่มแสงก็เริ่มปรากฏขึ้นในที่ต่าง ๆ ในนคร และผู้คนก็เริ่มจับกลุ่มกันกลับมาที่สุดสายถนน
นครหลวงเริ่มปรากฏเสียงเซ็งแซ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้ฝึกตนจะเป็นกลุ่มแรกที่รู้ความเป็นไปเสมอ
วันนี้เมื่อจบศึก ทุกคนก็ได้รับรู้ว่านครหลวงจิ๋วติ่งจะไม่ถูกจ้องประทุษร้ายในช่วงเวลาสั้น ๆ
และแดนดินแห่งนครหลวงแห่งต้าเซี่ยก็เริ่มคืนชีวิตชีวานับแต่คืนนี้…
คาดได้ว่าอีกไม่นาน นครจิ๋วติ่งจะคืนความรุ่งเรืองเฟื่องฟูเยี่ยงกาลก่อน!
และคืนนี้ ข่าวเกี่ยวกับศึกใหญ่ก็แพร่สะพัดสร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลกเยี่ยงพายุ
เมื่อได้รับรู้ข่าวนี้…
ห้าขุมอำนาจใหญ่ ตระกูลหวนเผ่ามาร สำนักผลาญตะวัน สำนักฌานกระจ่างจิต คีรีดาบเมฆาเร้นและสำนักวิถีสุญญะต่างสั่นสะเทือน
สำหรับพวกเขา นี่คือค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตาหลับ!
เมื่อพวกเขาได้รับทราบข่าว ผู้มีอำนาจทั้งหลายในตระกูลตงกัวก็อดหลั่งเหงื่อกาฬออกมาด้วยทั้งรู้สึกโชคดีและหวาดกลัวไม่ได้
ก่อนหน้านี้ ตระกูลหวนเผ่ามารก็เชิญตระกูลตงกัวของพวกเขาไปร่วมจัดการราชวงศ์ต้าเซี่ยด้วยกัน
ทว่ามันก็ถูกตงกัวป๋อฝู ผู้นำตระกูลตงกัวปฏิเสธเด็ดขาด
ยามนั้น เหล่าคนใหญ่คนโตในตระกูลตงกัวต่างไม่เต็มใจ เพราะคิดว่าพวกตนจะพลาดโอกาสงามในการตัดแบ่งดินแดนของราชวงศ์เซี่ยและสังหารซูอี้ไป
ทว่ายามนี้ หลังจากได้รับรู้ว่าห้าขุมอำนาจโบราณถูกกวาดล้างสิ้น เหล่าคนใหญ่คนโตในตระกูลตงกัวหลงเหลือเพียงความปรีดา
ปลาบปลื้มนักที่พวกตนไม่ต้องกระโดดลงกองไฟไปด้วย!