บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 716 สืบหาญาติที่ห่างหาย
ตอนที่ 716: สืบหาญาติที่ห่างหาย
ตอนที่ 716: สืบหาญาติที่ห่างหาย
โถงวิญญาณหยินทมิฬ
เจ้าสำนักนั่งเงียบ ๆ อยู่กับที่
ตราบนาน เขาทอดถอนใจอย่างโล่งอก “เสวียนจื่อ ข้อเสนอเดิมของเจ้าดีมาก หากเราไม่เลือกอดทน ความเสียหายยามนี้คงมากยิ่งเกินรับไหว…”
ใบหน้าซึ่งอยู่ภายใต้หน้ากากสำริดไม่อาจยับยั้งความปรีดาไม่ให้ปรากฏได้
“แม้ข้าจะรู้ว่าซูอี้จัดการไม่ง่าย ข้าก็ไม่คาดว่าเขาในยามนี้จะแข็งแกร่งจนสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้เช่นกัน”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างไปนักกระซิบ
อารมณ์ของนางเองก็พลิกผัน
คราแรก ซูอี้ได้สังหารหกตัวตนจากโถงวิญญาณหยินทมิฬในเมืองผีหลิงหลง กระทั่งขโมยซากที่เหลือของจักรพรรดิผีหมิงหลัวผู้เป็นบรรพชนไปด้วย
สิ่งนี้เคยก่อให้เกิดโทสะสะพัดทั่วโถงวิญญาณหยินทมิฬ
ทว่า ผู้ใดเล่าจะคิดว่าห้าตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากขุมอำนาจโบราณจะไม่ใช่คู่มือของซูอี้
“เฮอะ หากเปรียบกับเมื่อสามหมื่นปีก่อน พวกหวนเทียนซูกับเจ้าแก่ห้าคนนั่นก็แค่ตัวตนที่สุดปลายแถวในขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้นเอง”
“คนเดียวที่พอดูได้ก็คือเจ้าลาเฒ่าหัวล้านเฉิงอวิ๋นจากสำนักฌานกระจ่างจิต เขาควบรวมวงล้อวิญญาณมหาวิถีได้แล้ว ซึ่งนับว่าดีกว่าอีกสี่คนที่เหลือ”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อกล่าวอย่างงุนงง “เจ้าสำนัก พวกเขาต่างเป็นตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณเหมือนกัน ไฉนเล่าจึงถูกจัดว่า… เป็นบุคคลหางแถว?”
เจ้าสำนักตอบ “ง่ายมาก การจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อนส่งผลกระทบต่อเหล่าเจ้าแก่พวกนั้นมากกว่าผู้ใด การมีชีวิตอยู่จวบจนปัจจุบันได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว การฝึกฝนของพวกเขาจะเทียบกับตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากสามหมื่นปีก่อนได้เช่นไร?”
เขากล่าวต่อหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง “ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้น บนโลกทุกวันนี้ ขอเพียงเป็นเจ้าเฒ่าที่มีชีวิตรอดจากสามหมื่นปีของการจองจำแห่งยุคมืดได้ แม้จะเป็นสุดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด แต่พวกเขาจะเก่งกาจกว่าเฉิงอวิ๋นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อพลันประจักษ์แจ้ง
ในท้ายที่สุด ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณที่รอดชีวิตจากการจองจำแห่งยุคมืดเหล่านั้น แม้จะดูเหมือนอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกหล้า ทว่าที่จริงแล้ววิถีเต๋าของพวกเขาได้รับผลกระทบจากการจองจำแห่งยุคมืด และจัดเป็นเพียงบุคคลท้ายแถวในขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้น
“หากกล่าวเช่นนั้น ซูอี้ทุกวันนี้ไม่ไร้พ่ายในใต้หล้าหรือ?”
เสวียนจื่อกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ไร้พ่ายในใต้หล้า?”
เจ้าสำนักระเบิดหัวเราะพลางส่ายหัว “ศึกที่หน้านครหลวงจิ๋วติ่งครานี้ แม้จะดึงดูดใจคนทั่วโลกหล้าให้คิดเช่นนั้น แต่หากเทียบกับเมื่อสามหมื่นปีก่อน นี่เป็นเพียงการต่อสู้เล็ก ๆ ที่ไม่ควรค่าให้คนมากมายใส่ใจเลย”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยแววตาลึกล้ำเย็นชา “เจ้ารอดูเถิด ยามเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง ศึกใหญ่ที่แท้จริงก็จะเปิดฉาก!”
“ถึงยามนั้น ขุมอำนาจโบราณทั้งหมดจะทุ่มหมดหน้าตักเพื่อประชันชิงชัย”
“และขุมอำนาจ กลุ่มเต๋าต่าง ๆ จากต่างโลกก็จะเข้ามาในมหาทวีปเผื่อแย่งชิงโอกาสด้วย”โนเวลพีดีเอฟ
“นี่แหละคือแสงสว่างแห่งโลกกว้างสำหรับผู้ฝึกตนเช่นเรา และความโกลาหลนองโลหิตครั้งใหญ่สำหรับโลกหล้า!”
“ดังเช่นที่กล่าวกันว่าสุกรกลัวอ้วน บุคคลกลัวความโด่งดัง ยามนี้ซูอี้ดูโดดเด่นพิเศษเฉพาะและเป็นผู้นำแห่งยุค ทว่าเขาจะรอดถึงยามนั้นหรือไม่ คงต้องพูดกันทีหลัง!”
วาจาเหล่านี้กังวานก้องอยู่ในโถงอันโอ่อ่าและมืดหม่น
หัวใจของธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อปั่นป่วนสับสน
……
วันที่สิบเดือนสาม ซูอี้ประหารห้าตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณและทำลายกองทัพพันธมิตรของมหาอำนาจโบราณห้าแห่ง
ทันทีที่ปรากฏข่าว ทั่วโลกหล้าต่างตะลึงงัน!
ในชั่วยามนี้ ชื่อเสียงของซูอี้เปรียบได้กับดวงตะวันที่เฉิดฉายลำพังในโลกา
เหล่าผู้ฝึกตนสรรเสริญยกย่องเขาเป็น ‘ท่านเทพเซียนซู’!
ในขณะเดียวกัน มีข่าวใหญ่อีกหนึ่งสะพัดออกมา…
แสงสว่างแห่งโลกกว้างที่ทุกผู้รอคอย จะมาเยือนในอย่างมากก็หนึ่งเดือนจากนี้!
นี่ทําให้เกิดเสียงฮือฮาอย่างไม่เคยปรากฏ ผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้าต่างหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้คนแล้วคนเล่า และขุมอำนาจผู้ฝึกตนซึ่งกระจายอยู่ทั่วหน้าต่างก็เก็บตัวเงียบรอคอยการมาถึงของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง
เป็นผลให้ในช่วงกาลต่อมา ทั่วหล้าจึงสงบสุขอย่างแสนหายาก
ทว่าทุกผู้ต่างรู้ดี ว่านี่เป็นเพียงความสงบสุขก่อนพายุมา!
……
ต้าโจว
นครหลวงอวี้จิง
พิรุณยามวสันต์ช่างยาวนาน ฟ้าดินหมองหม่นแลเบื่อหน่าย
คนเดินเท้าขวักไขว่ใกล้ประตูเมืองล้วนถือร่ม
เมื่อมองไปไกล ๆ ก็พบชายวัยกลางคนผู้มีจอนผมสีเทา สวมชุดคลุมตัวยาวจูงลาสีเขียวผอมแห้งตัวหนึ่งเดินมา
เขาอายุราว ๆ สามสิบหรือสี่สิบปี ใบหน้าแข็งกร้าว ยามเมื่อสบสายตาก็พอเห็นเค้าลางการเปลี่ยนผันของกาลเวลา
“ขอรบกวนถาม ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงควรไปทางไหนหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวเดินเข้ามาหาชายชราผู้หนึ่ง ประคองกำปั้นถามด้วยรอยยิ้ม
“ตระกูลซู? เจ้าหมายถึงตระกูลซูซึ่งเคยยิ่งใหญ่นั่นน่ะหรือ?”
ชายชราถาม
“ถูกต้อง”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวพยักหน้า
“ตระกูลนั้นหรือ… เฮ้อ มันหายไปนานแล้วล่ะ”
ชายชราถอนหายใจ กล่าวว่า“วันที่สี่เดือนห้าของปีที่แล้ว อัครมหาเสนาบดีซูได้เอาชนะผู้นำตระกูลซู ซูหงหลี่เพียงลำพัง และจากนั้นมา ตระกูลซูก็ถูกทำลายสิ้น ไม่เพียงดินแดนถูกแบ่งแยก ผู้คนในตระกูลก็กระจัดกระจายเมื่อไม้ใหญ่ล้มลงด้วยเช่นกัน…”
ชายชราพล่ามยืดยาว
ทว่าชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวกลับดูใจเย็นยิ่ง เขายิ้มฟังเงียบ ๆ
เมื่อชายชรากล่าวจบ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “อัครมหาเสนาบดีซูที่ท่านพูดถึง ใช่บุตรของซูหงหลี่และเยี่ยอวี่เฟยถูกหรือไม่?”
ชายชราพยักหน้าตอบ “ถูกต้อง”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวประคองกำปั้นตอบ “ขอบคุณ”
จากนั้น เขาก็นำเจ้าลาสีเขียวผอมแห้งเดินเข้าไปในนครหลวงอวี้จิง
สายลมพัดละอองฝนโปรยปราย หมอกปกคลุมเวหา ทว่าพวกมันไม่อาจลดความรุ่งเรืองของนครหลวงอวี้จิงได้
ร่างของชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตามโรงน้ำชาและโรงเตี๊ยม เสาะแสวงถามหาเกี่ยวกับข่าวคราวตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงไม่หยุดหย่อน
กระทั่งยามรัตติกาลโรยตัว
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวอยู่ไม่ไกลจากเขตพระราชฐาน เอื้อมมือไปลูบเจ้าลาสีเขียวข้างกายตนเบา ๆ และกล่าวว่า “ไปหาที่รอก่อน”
เจ้าลาสีเขียวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็เดินจากไป
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวเดินเข้าไปในราชวัง
ระหว่างทาง เหล่าผู้อารักขาซึ่งจัดเวรยามหนาแน่นในราชวังกลับไม่สังเกตเห็นเขาซึ่งเดินผ่านใต้จมูกไปแม้แต่น้อย
ในราชวังอันโอ่โถงตระการตา
โจวจือหลีนั่งร่ำสุราลำพัง
เมื่อได้เป็นจักรพรรดิแห่งต้าโจว เขาก็ได้รับอำนาจยิ่งใหญ่ ปกครองสี่ทิศ คลาคล่ำด้วยนางสนมในวังหลัง โลกหล้าต้องหวาดกลัวยำเกรง
ทว่า โจวจือหลีมักรู้สึกอ้างว้าง
สิ่งนี้เองคือความเหงาหงอย
“ดื่มคนเดียวคงน่าเบื่อเกินไป ข้าร่ำสุรากับเจ้าสักไหดีหรือไม่?”
จู่ ๆ เสียงอันสุภาพเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
โจวจือหลีเงยหน้าขึ้นทันที และพบชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวผู้มีจอนผมสีเทาปรากฏตัวนอกห้องโถงหลัก
“ขอบังอาจถาม ใต้เท้าคือผู้ใด?”
โจวจือหลีลุกขึ้นยืน แววตาวูบไหว
ดึกดื่นป่านนี้ คนผู้นี้กลับสามารถปรากฏตัวในส่วนพระราชฐานต้องห้ามอย่างเงียบงัน ต้องเป็นตัวตนอันทรงพลังเป็นแน่!
“อย่าประหม่าไป ข้าแค่ต้องการฟังเจ้าพูดถึงซูอี้เท่านั้น”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวกล่าวขึ้น เท้าของเขาก้าวเข้ามาในโถงหลัก นั่งลงที่หลังโต๊ะที่ด้านข้าง หยิบไหสุราออกมาและกล่าวพร้อมกับยิ้ม “ไม่เกรงใจแล้ว”
พูดจบ เขาก็ยกศีรษะขึ้น กระดกไหดื่ม
“ซูอี้?”
ม่านตาของโจวจือหลีหดตัว “เจ้ามาที่นี่เพื่อล้างแค้นหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวส่ายหน้า ก่อนกล่าวว่า “เปล่า ข้าแค่มาสืบหาญาติที่ห่างหายเท่านั้น”
“สืบหาญาติที่ห่างหาย?”
โจวจือหลีงุนงง “เท่าที่ข้ารู้ พี่ซูมาจากตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง หรือใต้เท้าจะมาจากตระกูลซูเช่นกัน?”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า อย่าถามเลย เจ้ารู้แค่ว่าข้าไร้ความคิดร้ายต่อที่นี่ก็พอ”
โจวจือหลีนั่งกลับลงไปยังที่นั่งของเขาเงียบ ๆ กล่าวว่า “เช่นนั้น… เจ้าต้องการรู้สิ่งใด?”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวครุ่นคิดสักพัก จึงกล่าวว่า “ในฐานะจักรพรรดิแห่งต้าโจว เจ้าเคยได้พบกับซูอี้มาแล้ว ดังนั้นก็แค่คุยกันเถิด บอกมาว่าเจ้ารู้อันใดเกี่ยวกับเขาบ้าง”
โจวจือหลีถอนหายใจโล่งอก เขานึกว่าชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวจะมาถามความลับอันใดเสียอีก ที่แท้ก็แค่เรื่องราวเกี่ยวกับซูอี้เท่านั้นเอง
เรื่องนี้ง่ายนัก
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องยาว ข้าและพี่ซูพบกันบนเรือที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเขตปกครองอวิ๋นเหอ…”
ต่อจากนั้น เขาก็กล่าวอย่างออกรสถึงเรื่องราวในอดีต อดรู้สึกถึงอารมณ์อันหลากหลายไม่ได้
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวรับฟังด้วยรอยยิ้ม หยิบไหสุราขึ้นดื่มกับโจวจือหลีเป็นครั้งคราว
หลังจากรับฟังวีรกรรมเก่าก่อนของซูอี้ซึ่งเป็นตำนาน ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็เก็บไหสุราไป ก่อนกล่าวว่า “ขอบคุณที่บอกข้า ข้าควรไปได้แล้ว”
จากนั้น เขาก็หันหลังจากไป
“ขอถือวิสาสะถาม เจ้าจะไปหาซูอี้หรือ?”
โจวจือหลีรีบลุกขึ้น
“ถูกต้อง จุดประสงค์ที่ข้ามายังมหาทวีปคังชิงนี้ก็เพื่อตามหาญาติเท่านั้น”
เสียงยังไม่ทันจางหาย ร่างของชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
โจวจือหลีนิ่งอึ้ง และพลันมีปฏิกิริยาในทันที
ชายในชุดคลุมยาวผู้นี้มาจากต่างโลกต่างภพภูมิ!
“ลือกันว่าฮูหยินของซูหงหลี่ และมารดาแท้ ๆ ของพี่ซู เยี่ยอวี่เฟยมาจากต่างโลก หรือคนเมื่อครู่นี้จะเป็นญาติของเยี่ยอวี่เฟย?”
โจวจือหลีอดตะลึงไม่ได้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้
กาลเวลาล่วงถึงกลางดึก พิรุณยังคงโปรยปรายเป็นเส้นฝอยเยี่ยงขนวัว ดูพร่ามัวเยี่ยงหมอกควัน
นอกนครหลวงอวี้จิง ลึกเข้าไปในภูเขาชิงฉี
ป่าเขาดำมืดดูเย็นชามืดหม่นยิ่งนักท่ามกลางพิรุณรัตติกาล
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวมาถึงยังหลุมศพของเยี่ยอวี่เฟย
ลาสีเขียวยืนอยู่เงียบ ๆ ไม่ไกลนัก
“ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเองที่กลับมาไม่ทัน เจ้าจึงต้องทนทุกข์มากมาย ถูกไอ้แก่พวกนั้นใช้งานเป็นตัวหมากบนกระดานจนต้องเสี่ยงมาหาต้นกำเนิดแห่งคังชิงถึงมหาทวีปคังชิงนี่…”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวแสดงสีหน้าเศร้าหมอง “ข้าไม่เคยคาดว่ายามเมื่อได้พบเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะไม่หลงเหลือชีวิตอีกต่อไป…”
กล่าวถึงยามนี้ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็ผ่อนลมหายใจยามด้วยนัยน์ตาแดงฉาน
“คราแรกข้าจะแก้แค้นให้เจ้า แต่ไม่คิดเลยว่าลูกของเจ้าจะลงมือไปก่อนแล้ว”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสูดลมหายใจลึก ๆ และพึมพำ “แต่อย่าห่วงเลย ภายหน้า ข้าจะช่วยเจ้าล้างตระกูลไอ้แก่พวกนั้นให้ พวกมันใช้เจ้าเป็นตัวหมาก ทิ้งขว้างเจ้าให้เผชิญมหาทวีปคังชิงโดยลำพัง และพวกมันต้องชดใช้!”
ในช่วงประโยคท้าย ใบหน้าแข็งกร้าวของชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวผู้ผ่านความผันผวนแห่งกาลเวลาก็เปี่ยมด้วยจิตสังหารแรงกล้า
พิรุณและสายหมอกทั่วอาณาเขตสั่นไหวรุนแรง ขุนเขาพนาไพรส่งเสียงซอกแซก บรรยากาศหดหู่น่าหวาดหวั่นแพร่กระจายไปรอบ ๆ
ลาสีเขียวเองก็อยู่ไม่สุข
ครู่ถัดมา ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็ถอนหายใจยาวและพูดเบา ๆ “ข้าจะไปหาซูอี้แล้ว ด้วยเขามีเลือดเจ้าไหลเวียนในกาย เขาย่อมมีคุณสมบัติรับสืบทอด ‘เทพซ่อนเร้นต้นกำเนิดบรรพชน’ เช่นกัน”
“ไอ้แก่พวกนั้นพยายามทุกวิถีทาง พยายามไม่ให้เจ้าได้สืบทอดเทพซ่อนเร้นต้นกำเนิดบรรพชนนี้ เช่นนั้นก็ปล่อยมันให้ลูกชายเจ้าแล้ว”
“อย่าห่วงไป ข้าจะจ่ายทุกค่าตอบแทนเพื่อกรุยทางนั่นเอง!”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวพึมพำพลางหันหลังจากไป
ลาสีเขียวติดตามเขาเงียบ ๆ
พิรุณคลุ้งหมอก รัตติกาลมืดดำลงทุกขณะ