บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 717 ปัญหาการจัดอันดับ
ตอนที่ 717: ปัญหาการจัดอันดับ
ตอนที่ 717: ปัญหาการจัดอันดับ
ตกดึก
ลึกเข้าไปในป่าเขา
ผูหงเฉียนและผูหวยกำลังจัดตั้งค่ายกล
ผูซู่หรง อาเหลิ่ง และรั่วฮวนรอคอยอยู่ไม่ห่างไปนัก
“ท่านป้าเจ้าคะ หากข้าคาดไว้ถูก หลังเรากลับไปครานี้ หากเหล่าผู้เฒ่าในเผ่ารู้ว่าเราเสียน้ำเต้าทองไป ข้าเกรงว่าพวกเขาจะลงโทษเราเจ้าค่ะ…”
รั่วฮวนถอนหายใจเบา ๆ
น้ำเต้าอสูรทองคำคือสมบัติตกทอดในเผ่าพวกนางมานับแต่สมัยบรรพชน อำนาจของมันแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้จะไม่ใช่สมบัติในระดับจักรพรรดิ แต่ก็มากพอจะเป็นภัยต่อตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้!
“หากพวกเขาจะลงโทษ ข้าจะรับมันไว้เอง”
ยามเมื่อผูซู่หรงเอ่ยปาก นางก็อดถอนหายใจไม่ได้ “สิ่งที่ทำให้ข้าเศร้าใจคือ ครึ่งปีจากนี้จะมีพิธีกรรมในเผ่าซึ่งจัดขึ้นเพียงหนึ่งหนในศตวรรษ หากชิงหยวนไม่อาจเข้าร่วมพิธีนี้ นางก็จะไร้คุณสมบัติ ไม่อาจเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อีก…”
ดวงตาของรั่วฮวนฉายประกาย แล้วกล่าวขึ้น “ท่านป้าอย่าห่วงไป มหาทวีปคังชิงนี้กำลังจะเกิดแสงสว่างแห่งโลกกว้างซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากเรากลับไป ก็บอกข่าวนี้กับเผ่า ผู้อาวุโสเหล่านั้นจะต้องดีใจเป็นแน่”
“ถึงยามนั้น เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพลังของผู้อาวุโสเหล่านั้น ไม่เพียงเราจะได้น้ำเต้าอสูรทองคำคืนมา แต่ยังได้พาพี่ชิงหยวนกลับเผ่าด้วยนะเจ้าคะ”
ฟังจบ ผูซู่หรงก็พยักหน้า “นั่นคือทางเดียว”
“ซู่หรง เราไปกันได้แล้ว ใช้ค่ายกลนี่ แล้วเราจะสื่อสารกับค่ายกลเคลื่อนย้ายของเผ่า ใช้อำนาจของหม้อเทวะบุหลันม่วงพาเราจากไปได้”
เสียงของผูหงเฉียนดังมาไม่ไกลนัก
ตรงหน้าเขา ค่ายกลลี้ลับถูกจัดตั้งเสร็จสิ้น
“ได้ เรากลับเผ่ากันก่อน!”
ผูซู่หรงไม่ลังเลอีกต่อไป และพาอาเหลิ่งกับรั่วฮวนเดินไปหาเขา
ตู้ม!
ครู่ถัดมา แสงสว่างสายหนึ่งจากอำนาจแห่งค่ายกลก็ทะยานสู่เวหา เปิดรอยแยกมิติขนาดใหญ่ขึ้นในอากาศ
ลึกเข้าไปในรอยแตกนั้นมีคลื่นพลังมิติพลุ่งพล่านปั่นป่วน
ทว่าไม่นานนัก หม้อสำริดขนาดสูงครึ่งจั้งซึ่งมีรูปร่างคล้ายดวงจันทร์สีม่วงใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ห่อหุ้มด้วยอำนาจร้ายกาจน่ากลัว ฝืนขวางความผันผวนรุนแรงแห่งมิติเอาไว้
หม้อเทวะบุหลันม่วง!
สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วง สมบัติวิญญาณระดับจักรพรรดิ!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ร่างของพวกผูซู่หรงก็ทะยานไปหา และหายลึกเข้าไปในรอยแตกแห่งสุญญะในเวลาไม่นาน
ทันใดนั้น เมื่อหม้อเทวะบุหลันม่วงทะยานผ่าน รอยแตกลึกขึ้นไปในสุญญะก็หายไปเช่นกัน
…
ในโลกหล้าทุกวันนี้ ขุมอำนาจโบราณซึ่งรอดชีวิตจากการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อนไม่ได้มีเพียงเจ็ดมหาอำนาจโบราณ
คนอย่างกู่ชางหนิง เฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ และโต้วโค่วต่างก็เป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเช่นกัน และต่างมาจากขุมอำนาจโบราณต่าง ๆ
หอเมฆาเขียวก็คือหนึ่งในขุมอำนาจโบราณเหล่านั้น
‘ทำเนียบดารา’ อันเลื่องชื่อในทุกวันนี้ก็ถูกจัดเรียงขึ้นโดยหอเมฆาเขียว
ในค่ำคืนเดียวกันนั้นเอง
หอเมฆาเขียว
คนชรากลุ่มหนึ่งนั่งล้อมกองไฟ หารือเรื่องต่าง ๆ
สีหน้าของแต่ละคนต่างเครียดขึ้งสับสนประหนึ่งประสบปัญหาใหญ่
“ในช่วงที่ซูอี้หายตัวไป ข้าคิดว่าการฝึกฝนของเขาอยู่เพียงในขอบเขตรวบรวมดารา ดังนั้นจึงไม่ได้จัดลำดับเขา”โนเวลพีดีเอฟ
ชายชราร่างท้วมผู้หนึ่งยิ้มอย่างขมขื่น “ใครเล่าจะคิดว่าผ่านไปไม่กี่เดือน ไม่เพียงเขาจะสามารถย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ แต่ยังมีพลังพอจะสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้อีกด้วย!”
“หวนเทียนซูและอีกห้าคนต่างถูกการจองจำแห่งยุคมืดสามหมื่นปีกัดกร่อน แม้จะอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ แต่พวกเขาก็นับเป็นเพียงบุคคลหางแถวเท่านั้น”
ชายชราร่างผอมสูงอีกคนครุ่นคิด “ทว่า การที่สามารถสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณห้าคนได้โดยลำพัง พลังต่อสู้ของซูอี้แม้จะเทียบกับสามหมื่นปีก่อนก็ยังเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด หาได้ยากยิ่งแม้จะเป็นในรอบหลายพันปี ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปหากเขาจะได้อันดับหนึ่งในทำเนียบดารา”
ชายชราร่างท้วมส่ายหน้ากล่าวขัด “ไม่หรอก เสิ่นสุยอวิ๋นซึ่งเดิมอยู่ในอันดับหนึ่งก้าวสู่ขอบเขตสยายวิญญาณแล้ว พื้นหลังของเขาน่าหวาดหวั่น และความสามารถก็ล้ำเลิศ เพียงพอจะเอาชนะคนเช่นหวนเทียนซูได้นะ”
เสิ่นสุยอวิ๋น!
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณซึ่งติดอันดับหนึ่งในทำเนียบดารา
ปลายดาบแห่งคีรีดาบเมฆาเร้น ผู้นำในหมู่ศิษย์สำนักใน!
ฐานะของเขาสูงส่งเสียจนทำให้เหล่าผู้อาวุโสในคีรีดาบเมฆาเร้นยังต้องเกรงใจเขาอยู่สามส่วน!
นับแต่วันที่ทำเนียบดาราถูกประกาศ ลำดับบนนั้นก็ถูกจัดเรียงหลายต่อหลายครั้ง
ทว่าทุกครั้ง เสิ่นสุยอวิ๋นก็ยังคงครองอันดับหนึ่งอย่างเหนียวแน่น ไม่อาจสั่นคลอน!
หากเป็นเช่นนั้นก็ดีไป
ประเด็นหลักอยู่ที่เสิ่นสุยอวิ๋นได้เข้าสู่ขอบเขตสยายวิญญาณเมื่อไม่นานมานี้
นี่ทำให้หอเมฆาเขียวประสบปัญหาใหญ่ นั่นคือใครกันที่ควรอยู่ในอันดับหนึ่ง ระหว่างซูอี้และเสิ่นสุยอวิ๋น?
ผู้เฒ่าเหล่านี้ได้พินิจพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจได้คำตอบอย่างเป็นเอกฉันท์
“ซูอี้ผู้นี้เคยสังหารฉู่อวิ๋นเคอในเมืองผีหลิงหลง และยังเคยสังหารเนี่ยหว่านจือกับยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากคีรีดาบเมฆาเร้นที่นอกนครหลวงจิ๋วติ่งมาก่อน”
ยามนี้ เจ้าหอเมฆาเขียวซึ่งเงียบอยู่นานก็พูดขึ้นในที่สุด “ข้าแน่ใจได้ว่าเสิ่นสุยอวิ๋น ในฐานะศิษย์คีรีดาบเมฆาเร้นจะได้ต่อสู้กับซูอี้แน่!”
เขาสวมชุดคลุม ร่างผอมบางและสวมเกี้ยวบงกชบนหัว
“ส่วนทำเนียบดาราหนนี้ เราจะยังไม่ประกาศออกไปก่อน เมื่อซูอี้และเสิ่นสุยอวิ๋นตัดสินแพ้ชนะ ยังไม่สายหากจะจัดอันดับพวกเขาอีกครั้ง”
เจ้าหอเมฆาเขียวตัดสินใจ
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาต่างพยักหน้า
และนั่นคือบทสรุป
“ข้าหวังเพียงว่าการประมือระหว่างพวกเขาจะเกิดขึ้นก่อนแสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมา เพราะหากแสงสว่างแห่งโลกกว้างมา…”
กล่าวถึงตรงนี้ เจ้าหอเมฆาเขียวก็อดยิ้มแห้ง ๆ ไม่ได้ “การจัดอันดับของทำเนียบดาราดูแลจะยากขึ้นทุกที”
ทุกคนมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมีสีหน้าจนใจ
จริงของเขา เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างอุบัติ จะต้องมีบุคคลผู้ร้ายกาจเจิดจรัสเกิดขึ้นอีกมากมายเป็นแน่!
ถึงยามนั้น ไม่เพียงรูปแบบแห่งโลกาจะถูกสับเปลี่ยนใหม่ กระทั่งผู้เก่งกาจไร้คู่เปรียบทั่วโลกก็จะตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของวิถีเต๋าของตนอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
เมื่อสิ่งนี้บังเกิด การจัดอันดับของทำเนียบดาราก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง!
…
วันที่สิบห้าเดือนสาม
นครหลวงจิ๋วติ่ง สวนน้อยนภาเมฆ
ท้องฟ้ากระจ่างใส อากาศบริสุทธิ์ สายลมวสันตฤดูอ่อนโยน
ฉัวะ! ฉัวะ!
ละอองฝอยจากลำแสงดาบสีทองละล่องลอยกลางเวหาดุจคลื่นน้ำ พลิ้วไหวเยี่ยงนกกระเรียน รวดเร็วประหนึ่งมัจฉา สว่างจ้าเจิดจรัส
ลำแสงดาบอยู่รวมเป็นกระจุก ที่ใดที่มันกวาดผ่านต่างเต็มไปด้วยรอยดาบฟาดฟันดั่งใยแมงมุม เต็มไปด้วยเสียงครวญจากการปริแตกดังระงม
ท้ายที่สุด เศษเสี้ยวลำแสงดาบก็หลอมรวมเข้าหากัน เปลี่ยนเป็นปราณดาบยาวสามจั้งฉวัดเฉวียนบนอากาศ และกวาดร่างลงในน้ำเต้าทองบนมือซูอี้
เขานั่งมองน้ำเต้าทองอยู่บนเก้าอี้หวายด้วยสีหน้าพึงพอใจ
สมบัติวิญญาณต้นกำเนิดนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง และเมื่อขัดเกลามันสักนิด มันก็สามารถส่งปราณดาบอสูรทองคำออกมาสังหารศัตรู เพียงพอจะเป็นภัยต่อผู้คนในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้แล้ว
“สมบัตินี้สุดยอดอย่างแท้จริง!”
เหวินซินจ้าวซึ่งอยู่ไม่ไกลนักอุทาน
หญิงสาวมีรูปร่างอรชรสะโอดสะอง งดงามแจ่มใสท่ามกลางนภาวสันต์
“ข้าจะให้มันกับเจ้า”
ซูอี้โยนน้ำเต้าอสูรทองคำให้นางอย่างเฉยเมย
“เอ๋…”
เหวินซินจ้าวมึนงง “ให้ข้าหรือ?”
“ข้าเคยบอกเจ้าว่า เมื่อเจ้าก้าวสู่วิถีวิญญาณ ข้าจะช่วยเจ้าหล่อหลอมสมบัติวิญญาณคู่ชีพของเจ้า และน้ำเต้าอสูรทองคำนี้ก็สามารถขัดเกลาให้เป็นน้ำเต้าบ่มศาสตราได้”
ซูอี้กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าปรับเปลี่ยนสมบัตินี้ไปส่วนหนึ่งแล้ว ลบทุกร่องรอยที่เคยอยู่กับมัน และยามเมื่อเจ้าย่างเข้าสู่วิถีวิญญาณ เจ้าก็จะสามารถบ่มเพาะสมบัติชิ้นนี้ในอารามวิญญาณมหาวิถีของเจ้าได้”
กล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินไปทางห้องของตน “ในระหว่างนี้ ทำสมาธิฝึกฝนเสีย เจ้าอยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ด้วยพื้นฐานของเจ้า ไม่น่าแปลกหากจะก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาเยือน”
เสียงยังไม่ทันจางหาย แต่ร่างของซูอี้หายไปแล้ว
เหวินซินจ้าวยืนนิ่งค้างอย่างเหม่อลอย กำน้ำเต้าทองคำไว้ในมือเงียบ ๆ แล้วจึงกระซิบ “ศิษย์พี่ซู ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่…”
หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นในใจ
ในห้อง
ซูอี้ขัดสมาธินั่งฌาน ร่างผอมของเขาปกคลุมด้วยแก่นแท้จุดกำเนิด
เพียงเมื่อคืนนี้ การฝึกฝนของเขาก็เข้าสู่ขั้นกลางของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ การหลอมรวมแก่นแท้จุดกำเนิดเองก็เข้าสู่ภาวะกลางแล้ว
“เมื่อถึงคราวที่แก่นแท้จุดกำเนิดถูกหล่อหลอมสู่ภาวะสมบูรณ์แบบ พลังแห่งภาวะวิถีจึงถูกใช้เพื่อสัมผัสแก่นแท้มหาลึกล้ำและนิมิตเลือนรางจากดาบเก้าคุมขังได้”
“และจากความเข้าใจของข้า การหล่อหลอมแก่นแท้จุดกำเนิดสู่ภาวะสมบูรณ์แบบใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือน”
ซูอี้ครุ่นคิดเงียบ ๆ ขณะฝึกฝน
ช่างเล็กจ้อยและคลุมเครือนัก!
ก่อนการเวียนวัฏสงสาร เขาตัดสินใจว่ายามเดินบนวิถีวิญญาณ เขาจะบรรลุทั้งแก่นแท้จุดกำเนิด แก่นแท้มหาลึกล้ำ และแก่นแท้นิมิตเลือนราง
หากทำเช่นนี้ เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงขั้นสูงสุดบนเส้นทางแห่งมหาวิถี และควบรวมเป็นวิถีวิญญาณอันใหม่เอี่ยม!
แก่นพลังวิถีวิญญาณนี้มีนามว่าเอกกะ
จุดเริ่มต้นของวิญญาณ จุดสูงสุดแห่งจิต ยามเมื่อเข้าสู่เอกกะ มหาวิถีจะคืนสู่วิญญาณ!
กระทั่งในเก้ามหาแดนดินนับแต่โบราณกาล ยังไม่มีผู้ใดสามารถควบรวมมันได้มาก่อน
เนื่องจากแก่นพลังวิถีวิญญาณนี้ ซูอี้เพิ่งได้รับรู้เรื่องราวและเบาะแสของมันจากเก้าชั้นโซ่ตรวนซึ่งพันธนาการดาบเก้าคุมขังอยู่
กล่าวอีกนัยก็คือ ในการควบรวมแก่นแท้ต้นกำเนิด เขาต้องเริ่มจากดาบเก้าคุมขัง
ควรค่ากล่าวถึงว่าด้วยการเตรียมการในอดีตชาติ สองแก่นแท้มหาวิถีอย่างมหาลึกล้ำและนิมิตเลือนรางถูกซูอี้ผนึกไว้ในดาบเก้าคุมขัง
ช่วยไม่ได้ สองแก่นแท้มหาวิถีนี้หาได้ยากยิ่ง พวกมันถือได้ว่าเป็นแก่นแท้มหาวิถีระดับสูงสุด เป็นไปไม่ได้เลยหากจะควบคุมมันโดยการทำเพียงนั่งทำความเข้าใจ
ทว่ายามนี้ ซูอี้ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับมันอีกต่อไป
“ในกาลต่อไป นอกจากช่วยเหลือจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยซ่อมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน ข้าก็ควรดั้นด้นไปให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณให้ได้ก่อนแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง”
“หากทำเช่นนี้ได้ เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างอุบัติ ก็จะฉกฉวยโอกาสสัมพันธ์ ก้าวสู่ขอบเขตสยายวิญญาณและหล่อหลอมมหาวิถีสยายวิญญาณอันสมบูรณ์แบบที่สุดได้ทันที!”
ขอบเขตสยายวิญญาณคือขอบเขตใหญ่ที่สองในวิถีวิญญาณ
เมื่อมาถึงขอบเขตนี้ เขาจะสามารถควบรวม ‘มหาวิถีสยายวิญญาณ’ ในอารามวิญญาณได้ มันจึงเรียกว่าเป็นขอบเขตสยายวิญญาณ
ยิ่งมหาวิถีสยายวิญญาณแข็งแกร่งเพียงไร พื้นฐานมหาวิถีแน่นหนาเพียงไร อำนาจต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งตาม
พลบค่ำคืนนั้นเอง
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวผู้มีจอนผมสีเทาขาว ขี่บนหลังลาสีเขียวเดินทางมาถึงประตูนครหลวงจิ๋วติ่ง
“ดูสิ ในวันที่สิบเดือนสาม ท่านเทพเซียนซูอยู่ที่นี่ สังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณห้าคนในคราเดียว ทั้งยังสยบกองทัพพันธมิตรของห้ามหาอำนาจโบราณที่นี่ด้วย! ศึกในครานั้นสะท้านสะเทือนแดนดินเป็นที่สุด หายากแม้นโบราณกาล ควรค่าแล้วต่อการโด่งดังในประวัติศาสตร์!”
“ส่วนตัวข้านั้นโชคดีพอจะได้เห็นมหากาพย์สงครามนี้ด้วยตาตน หากอยากฟัง ข้าก็ไม่ถือหากจะเล่ายาว ๆ”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งใกล้ประตูเมืองพล่ามยาวเหยียด
ใกล้ตัวเขามีคนมากมายรอฟัง
“เขาเป็นอัครมหาเสนาบดีซูในต้าโจว และในต้าเซี่ยก็เป็นท่านเทพเซียนซูอีกหรือ? น่าสนใจ”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวพึมพำกับตนเอง หันกลับไปเอนร่างพิงลาสีเขียวที่ขี่อยู่