บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 718 เยี่ยอวิ๋นหลัน
ตอนที่ 718: เยี่ยอวิ๋นหลัน
ตอนที่ 718: เยี่ยอวิ๋นหลัน
หลังจากฟังอยู่นาน
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็นำลาสีเขียวผอมแห้งเดินเข้าไปในนครหลวงจิ๋วติ่ง
“การฝึกฝนอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ แต่กลับสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณห้าคนซึ่งโจมตีประสานได้… ช่างไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวโล่งใจ แต่เขาก็ต้องตกใจอย่างช่วยไม่ได้ “ความสามารถและภูมิหลังเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งนัก…”
“ทว่า สิ่งที่แปลกคือมหาทวีปคังชิงแร้นแค้นยิ่งนักก่อนการฟื้นตัวของปราณวิญญาณทั่วฟ้าดิน เขาทำเช่นไรกว่าจะสำเร็จได้ดั่งทุกวันนี้?”
“หรือเขาจะได้รับวาสนาที่ไม่อาจล่วงรู้บางอย่าง หรือบางทีอาจมียอดฝีมือบางคนอยู่เบื้องหลังหรือ?”
“ไม่ว่าอย่างไร ความสำเร็จในภายหน้าของเด็กคนนี้ย่อมไร้ขีดจำกัดเป็นแน่แท้”
“หากเขาสามารถรับสืบทอด ‘เทพซ่อนเร้นต้นกำเนิดบรรพชน’ เขาจะสามารถพิสูจน์วิถีก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิได้อย่างไร้ปัญหา!”
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็เร่งฝีเท้าอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
เสี้ยวชั่วยามถัดมา
เมื่อเข้าสู่ชุมชนมังกรเขียวและเห็นสวนน้อยนภาเมฆจากไกล ๆ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็อดลูบคางตนเองไม่ได้
“แถวนี้มีเวรยามซ่อนเร้นอยู่เยอะมาก ดูเหมือนผู้ใดที่คิดเข้าใกล้สวนน้อยนภาเมฆจะไม่อาจหลบซ่อนจากหูตาราชวงศ์เซี่ยได้!”
“ทว่า เรื่องนี้ไม่ยากเลยสำหรับข้า”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวยิ้ม กล่าวกับลาสีเขียวข้างกายเขาไว้ “หาที่อยู่ไปก่อน”
จากนั้น เขาก็ยกมือไพล่หลัง เดินไปยังสวนน้อยนภาเมฆ
ระหว่างทาง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขา
เมื่อมาถึงสวนน้อยนภาเมฆ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็เอื้อมมือไปเคาะประตูอย่างอ่อนโยน
“ผู้ใดหรือ?”
เสียงกังวานใสเสียงหนึ่งดังขึ้น
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ผู้น้อยเยี่ยอวิ๋นหลัน มาพบซู… สหายเต๋าซู”
แอ๊ด~!
ประตูสวนเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามน่ารักน่าชังทรงเมล็ดแตงโม
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวชะงัก
ช่างเป็นหญิงสาวผู้งดงามนัก!
นางสวมชุดประโปรงยาวอันเรียบง่ายและสง่างาม ผิวขาวงามกว่าหิมะ เรียบเนียนละเอียดอ่อน ใบหน้าของนางใสกระจ่างงดงาม นัยน์ตาพร่างดาวเปล่งประกาย กิริยาท่าทางเรียบร้อยสงวนท่าที
“ขอบังอาจถาม ใต้เท้ามาหาศิษย์พี่ซูด้วยเหตุประการใดหรือ?”
เหวินซินจ้าวถาม
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวประคองกำปั้นน้อย ๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเป็นญาติของเขา”
“ญาติ?”
เหวินซินจ้าวสะดุ้ง
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวกล่าว “ใช่แล้ว เมื่อข้าได้พบเขา แม่นางจะทราบฐานะของข้าเอง”
เหวินซินจ้าวครุ่นคิด และจึงตอบว่า “ศิษย์พี่ซูเพิ่งไปยังภูเขาเทียนหมางเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ท่านจะมาใหม่วันหลังหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวกล่าว “เขาไปทำอันใดที่ภูเขาเทียนหมางหรือ?”
เหวินซินจ้าวตอบ “ความลับ”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวหัวเราะทึ่มทื่อ เห็นได้ชัดว่าหญิงงามตรงหน้ากำลังระแวงเขาอยู่
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็กล่าวว่า “แม้แม่นางจะอยากให้ข้ากลับไป ทว่าข้าจะรอให้เขากลับมาที่นี่”
กล่าวจบ เขาก็ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ยืนมองแอ่งเกล็ดทองซึ่งอยู่ห่างออกไปอยู่ข้าง ๆ ประตู
เขาดูเงียบสงบใจเย็น
เหวินซินจ้าวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามว่า “ใต้เท้า… เป็นญาติของศิษย์พี่ซูจริง ๆ หรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวกล่าวพร้อมกับยิ้ม “ข้าไม่มีนิสัยอ้างเป็นญาติผู้ใดพร่ำเพรื่อ แม่นางโปรดกลับไปเถิด อย่าใส่ใจข้าผู้ชมนกชมไม้เลย”
ร่างของเขาผอมบาง จอนผมหงอกขาว มีร่องรอยแห่งกาลเวลาอยู่ในดวงตา ทุกการเคลื่อนไหวซื่อตรงเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้มองรู้สึกประทับใจได้อย่างง่ายดาย
เหวินซินจ้าวกล่าว “ใต้เท้า เข้ามารอข้างในเถิด”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวกล่าวอย่างประหลาดใจ “เหตุใดแม่นางจึงเปลี่ยนใจหรือ?”
เหวินซินจ้าวยิ้มน้อย ๆ “หากใต้เท้าเป็นญาติของศิษย์พี่ซูจริง ๆ และข้าให้รอที่นอกสวน มันคงเป็นการไม่สุภาพจนเกินไป เชิญเถิด”
กล่าวจบ นางก็ผายมือเชื้อเชิญ
“ขอบคุณ”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวยิ้ม เดินเข้าไปในสวน
“ข้าจะรออยู่ในสวนนี้แล”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวเดินไปนั่งบนโขดหินข้างสระน้ำตามอำเภอใจ “ไปเถิดแม่นาง อย่าห่วงข้าเลย”
กล่าวจบ เขาก็หลับตาพักเงียบ ๆ
เหวินซินจ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนางจะไปชงชาถ้วยหนึ่งมาวางไว้ข้างกายชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาว
จากนั้น นางก็หันหลังจากไป
จนเมื่อร่างของนางลับสายตาไปไกล รอยยิ้มบางก็ปรากฏบนริมฝีปากของชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาว “เป็นเด็กดีจริง ๆ หากอวี่เฟยมาเห็น นางต้องชอบเป็นแน่…”
เมื่อคิดถึงเยี่ยอวี่เฟย สีหน้าของเขาก็อดดูเปี่ยมอารมณ์วูบไหวอีกครั้งไม่ได้
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
เงาตะวันเอียงสู่ประจิม ท้องนภาค่อย ๆ หม่นแสง
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวนั่งเอกเขนกอยู่ที่เดิมราวกับสามารถนั่งได้ชั่วชีวิต ไร้ร่องรอยความกังวล
เมื่อซูอี้กลับมาจากภูเขาเทียนหมาง เขาก็ได้เห็นภาพเช่นนี้
เขาอดตกใจเล็กน้อยไม่ได้
ยามนี้ เหวินซินจ้าวเดินออกจากที่พำนักและกระซิบ “ศิษย์พี่ซู สหายผู้นี้อ้างตนเป็นญาติท่าน รอท่านกลับมาอยู่ที่นี่นานแล้ว”
เยี่ยอวิ๋นหลัน?
ญาติ?
ซูอี้ดูงุนงง
ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวก็ยืนขึ้น และเมื่อเขาเห็นซูอี้ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏสีหน้าเหม่อลอยอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มชุดเขียวตรงหน้าเขาหล่อเหลา หน้าตาของเขาคล้ายคลึงกับเยี่ยอวี่เฟย โดยเฉพาะคิ้วและสันจมูกที่เหมือนกันทุกประการ!
ความรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างไม่อาจบรรยายเอ่อขึ้นในใจของชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาว
เขาก้าวเข้ามาหาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าชื่อเยี่ยอวิ๋นหลัน พี่ชายของแม่เจ้าเยี่ยอวี่เฟย กล่าวให้กระชับก็คือ ข้าคือลุงฝั่งแม่ของเจ้า”
เขาดูมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ
ซูอี้ “…”
จู่ ๆ ก็มีลุงผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่ตั้งตัว สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ผู้มีประสบการณ์แสนแปดพันปีในอดีตชาติตะลึงไปเล็กน้อย
“เจ้ามีวิธีพิสูจน์ตัวตนตามกล่าวอ้างได้เช่นไร?”
ซูอี้ปรับจิตให้มั่นคง ขมวดคิ้วถาม
เยี่ยอวิ๋นหลันเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ยามที่แม่ของเจ้าแรกปรากฏยังมหาทวีปคังชิง นางนำสมบัติติดตัวมาด้วยชิ้นหนึ่ง นามว่าระฆังทัณฑ์โลกันต์ อีกประการ ข้อมือซ้ายของนางมีปานสีเขียวรูปร่างคล้ายใบไม้ ซึ่งนั่นคือสัญลักษณ์ที่พวกเรา คนตระกูลเยี่ยทุกคนมี”
กล่าวถึงยามนี้ เขาก็เลิกชายแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้น
เผยให้เห็นข้อมือซ้ายที่มีปานสีเขียวรูปทรงคล้ายใบไม้ ขนาดประมาณเหรียญกษาปณ์ทองแดงเหรียญหนึ่ง และความน่าอัศจรรย์ก็คือมีเส้นลายใบไม้จาง ๆ บนปานใบไม้นั้นด้วย!
เมื่อได้เห็นปานนี้ ซูอี้ก็สรุปได้ว่าบุคคลตรงหน้าผู้นี้ไม่น่าจะโกหก
เพราะมารดาของเขาในชาติภพนี้ เยี่ยอวี่เฟยมีปานแบบเดียวกันที่ข้อมือขวาจริง!
ยามนี้ อารมณ์ในใจของซูอี้อดรู้สึกผิดแปลกออกไปเล็กน้อยไม่ได้
เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่า เยี่ยอวี่เฟยมาจากต่างโลกต่างภพภูมิ และมีฐานะที่ไม่ธรรมดา หาไม่ นางคงไม่ถือครองระฆังทัณฑ์โลกันต์ซึ่งสลักข้อความ ‘ที่มาแห่งคังชิง ความลับแห่งจักรพรรดิเก้าสมบูรณ์’ เป็นแน่
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่คาดจริง ๆ ว่าหลายปีให้หลัง พี่ชายของมารดาเขาจะมาปรากฏตรงหน้า!
“นั่งสิ”
ซูอี้ชี้ไปยังที่นั่งหนึ่งในสวน
เขาหยิบเก้าอี้หวายของตนออกมานั่งเอกเขนกอย่างแสนคร้าน
เยี่ยอวิ๋นหลันแย้มยิ้มและนั่งลงอย่างไม่รีบร้อน เมินเฉยท่าทีอันติดจะเย็นชาของซูอี้
“ครานี้ เจ้ามาเพื่อการใด?” ซูอี้ถาม
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลันเลือนหาย เขาถอนหายใจเบา ๆ “แต่เดิม ข้ามาที่นี่เพื่อพาแม่เจ้ากลับสู่ตระกูล แต่ไม่คาดว่าแม่เจ้าจะสิ้นใจไปนานกว่าสิบปีแล้ว”
ซูอี้กล่าว “ดังนั้น เจ้าเลยมาหาข้าหรือ?”
เยี่ยอวิ๋นหลันพยักหน้า “ใช่ เลือดของอวี่เฟยหมุนเวียนในกายเจ้า ข้าจึงอยากพาเจ้ากลับตระกูลไปสืบต่อมรดกใหญ่ซึ่งควรเป็นของแม่เจ้า”
ซูอี้ตะลึง ก่อนจะส่ายหน้า “ข้าไร้ความสนใจในสิ่งเหล่านี้ และไม่ได้สนใจตระกูลเยี่ยที่เจ้ากล่าวถึงด้วย”
ในชีวิตนี้ ญาติผู้เดียวซึ่งเขายอมรับในใจมีเพียงมารดาแท้ ๆ เยี่ยอวี่เฟยเท่านั้น
ผู้อื่น รวมถึงซูหงหลี่ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย
ยิ่งกว่านั้น คนตระกูลเยี่ยที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นหรือ?
สีหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลันเจือความรู้สึกผิด “ข้ารู้ว่าเจ้ายอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ และเป็นธรรมดาหากเจ้าจะคัดค้านลุงผู้นี้ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าในสายตาเจ้า แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็คือลูกของอวี่เฟยอยู่ดี”
เขาสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ความตายของแม่เจ้าทำให้ข้าเจ็บปวดใจนัก ในเมื่อข้ายังสามารถเฝ้ามองเลือดเนื้อของนางท่องโลกหล้าในมหาทวีปคังชิงได้ เจ้าวางใจเถิดว่าข้าจะทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อกรุยหนทางแห่งการฝึกฝนให้เจ้าแน่!”
ซูอี้อดนวดหว่างคิ้วไม่ได้ “กล่าวตามตรง เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเกี่ยวกับมันหรอก การล้างแค้นให้แม่ของข้าสำเร็จแล้ว มันคือเส้นทางของข้า และไม่ต้องการความช่วยเหลือของผู้ใดทั้งสิ้น”
เยี่ยอวิ๋นหลันตะลึงอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าแม่ของเจ้ามายังมหาทวีปคังชิงเพราะเหตุใด?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “มีความลับอื่นอยู่หรือ?”
“ถูกต้อง ยามนั้นนางถูกบังคับ!”
เยี่ยอวิ๋นหลันเบิกตากว้าง เจือด้วยความเกลียดชัง “พวกไอ้แก่ในตระกูลมองนางเป็นตัวหมาก และใช้วิชาอันตรายส่งแม่เจ้ามายังมหาทวีปคังชิง”
“ไอ้แก่พวกนั้นพยายามให้แม่ของเจ้าไปหาต้นกำเนิดแห่งคังชิง แต่ความจริงแล้ว พวกมันก็แค่ไม่อยากให้แม่เจ้ารับสืบทอดมรดกในตระกูลเท่านั้น!”
ซูอี้อดอึ้งไม่ได้
ก่อนหน้านี้ เขาเองก็เคยสงสัยว่ามารดาของเขาเยี่ยอวี่เฟยมาจากแห่งหนใด และเหตุใดนางจึงได้รับอนุญาตให้มายังมหาทวีปคังชิงนี้เพียงลำพัง
ยามนี้ ดูเหมือนว่าจะมีความลับอื่นแฝงอยู่จริง ๆ!
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ซูอี้ก็ถามว่า “เหตุใดการฝึกฝนของนางจึง… อ่อนแอนักเล่า?”
“อ่อนแอ?”
เยี่ยอวิ๋นหลันส่ายหน้าตอบ “แม่เจ้าไม่ได้อ่อนแอแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน นางคือผู้ฝึกตนที่เจิดจรัสที่สุดในตระกูล นางก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ควบแน่นอารามวิญญาณมหาวิถีระดับสูงสุด ทำลายสถิติตระกูลมากมายนับแต่โบราณกาลจวบปัจจุบัน และได้รับปฏิบัติด้วยอย่างดีในฐานะเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดผู้สามารถเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิได้”
ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้ ก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณตั้งแต่อายุสิบเจ็ด และยังควบแน่นอารามวิญญาณมหาวิถีระดับสูงสุด!
หากเป็นเช่นนั้น มารดาของเขาเยี่ยอวี่เฟยก็เป็นผู้ฝึกตนอันแข็งแกร่งทรงพลังจริง ๆ!
เยี่ยอวิ๋นหลันกล่าวต่อด้วยเสียงต่ำ “ที่เลวร้ายก็คือ เมื่อพวกไอ้แก่พวกนั้นส่งแม่เจ้ามายังมหาทวีปคังชิง พวกมันใช้วิชาอันสุดแสนอันตราย ยามนั้นนางถูกผนึกในรังไหมขณะข้ามโลกในคลื่นมิติภายในผนังกั้นมิติ…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็เข้าใจแล้ว กล่าวว่า “วิถีเต๋าของนางถูกโจมตีอย่างไม่อาจรักษาได้ในระหว่างการข้ามกระแสมิติ และคาดว่ากระทั่งพื้นฐานมหาวิถีของนางก็ถูกทำลายเช่นกัน”
“ใช่แล้ว!”
เยี่ยอวิ๋นหลันพยักหน้า ใบหน้าผอมบางของเขาปรากฏความเกลียดชังคั่งแค้น “ข้ากระทั่งสงสัยว่าไอ้แก่พวกนั้นทำเช่นนี้โดยไม่คิดด้วยซ้ำว่าแม่เจ้าจะรอดชีวิตจากกระแสแห่งมิติมาได้!”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง
ในความทรงจำวัยเด็กของเขา เยี่ยอวี่เฟยไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเขาเลย
ทว่าเมื่อย้อนคิด เยี่ยอวี่เฟยสิ้นใจยามเขาอายุเพียงสี่ขวบปี นางจะนำเรื่องนี้มาคุยกับเด็กได้เช่นไร?
และเมื่อนำเรื่องที่เยี่ยอวิ๋นหลันมาครุ่นคิดอย่างจริงจัง เรื่องที่เกิดขึ้นกับมารดาของเขาเยี่ยอวี่เฟยคือการสังหารจากตระกูลของนางเองโดยไม่ต้องสงสัย!