บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 720 นัดประลอง
ตอนที่ 720: นัดประลอง
ตอนที่ 720: นัดประลอง
เยี่ยอวิ๋นหลันรู้สึกโล่งไปมาก เขาเข้าใจว่าซูอี้พูดเพราะอารมณ์
อย่างไรเสียก็ดี ไม่ว่าใครที่ต้องพัวพันกับบุญคุณความแค้นอย่างไร้เหตุไร้ผล ในใจต้องรู้สึกแย่เป็นธรรมดา
สีหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลันอ่อนโยนขึ้น จากนั้นจึงกล่าว “ซูอี้ ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ายังยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ และยังรังเกียจข้ากับตระกูลเยี่ยมากอีกด้วย แต่เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถไปจากที่นี่พร้อมกับข้า ข้าจะพยายามอย่างเต็มกำลังคุ้มครองให้เจ้าปลอดภัย จะปูทางให้แก่เจ้า!”
แต่ละคำแต่ละประโยคล้วนออกมาจากใจจริง
ซูอี้สามารถรู้สึกได้ว่าเยี่ยอวิ๋นหลันมองตัวเองว่าเป็นญาติสนิทจริง ๆ และต้องการจะปกป้องตัวเองในฐานะผู้อาวุโส เพื่อให้ตัวเองแคล้วคลาดจากภัยอันตราย
เพียงแต่ว่า ยากนักที่เขาจะรับความปรารถนาดีนี้ได้
เพราะมันไม่จำเป็น!!
ซูอี้กล่าว “ข้าขอรับความปรารถนาดีนี้ด้วยใจ แต่ข้าจะไม่ไปกับเจ้า และข้าก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย ส่วนเรื่องหนทางแห่งการกลายเป็นจักรพรรดิของข้า… มันไม่ใช่เรื่องที่เทพซ่อนเร้นต้นกำเนิดบรรพชนของตระกูลเยี่ยจะช่วยได้”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็กล่าว “ในทางกลับกัน ข้ายังต้องการให้ขุมกำลังของตระกูลเยี่ยมาประลองกับข้าด้วยซ้ำไป เช่นนี้ จะได้ช่วยล้างแค้นแทนมารดาข้าได้ด้วย”
เยี่ยอวิ๋นหลันนิ่งตะลึง จากนั้นหัวเราะเจื่อนพลางกล่าว “ซูอี้ อย่าได้พูดใช้อารมณ์เช่นนี้ หากขุมกำลังของตระกูลเยี่ยมาหาจริง ๆ ในมหาทวีปคังชิงตอนนี้ แม้แต่คนที่จะต่อสู้ด้วยก็ยังหาไม่ได้ นับประสาอะไรกับเจ้าตัวคนเดียว?”
“ต่อให้ในใจเจ้ารังเกียจข้าผู้เป็นลุงยิ่งกว่านี้ แต่สำหรับเรื่องนี้แล้วจงอย่าได้ใช้อารมณ์ ข้าเข้าใจความแข็งแกร่งของตระกูลเยี่ยดีกว่าเจ้า หากว่าพวกเขารู้ว่าเจ้าเป็นบุตรชายของอวี่เฟย คนพวกนั้นย่อมไม่มีทางใจอ่อนอย่างเด็ดขาด!”
น้ำเสียงที่พูดเต็มไปด้วยความปรารถนาดีและจริงใจ
ทว่าซูอี้กลับฟังแล้วรู้สึกรำคาญ เหตุใดคำพูดของตัวเองกลายเป็นคำพูดที่ใช้อารมณ์ไปได้?
“เจ้ามาในวันนี้ ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” ซูอี้ถาม
เยี่ยอวิ๋นหลันส่ายหน้า “ข้ามามหาทวีปคังชิงในครั้งนี้ก็เพื่อตามหาญาติ ตอนนี้ได้เจอเจ้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องคุ้มครองให้เจ้าปลอดภัย”
ซูอี้ “…”
เงียบไปนานเขาจึงพูด “ตอนที่เจ้ามา ตระกูลเยี่ยไม่รู้เรื่องหรือ?”
เยี่ยอวิ๋นหลันกล่าว “ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ไม่อาจรู้ได้ แต่เมื่อนานไป จะต้องรู้ว่าข้ามายังมหาทวีปคังชิงแล้วแน่นอน”
คิดสักครู่ เขาก็กล่าวขึ้นมา “ความเป็นจริงแล้ว ไม่เกินหนึ่งเดือน ผู้แข็งแกร่งของตระกูลเยี่ยก็จะมามหาทวีปคังชิง ดังนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถไปจากที่นี่พร้อมกับข้าโดยเร็ว เพื่อหลบภัยพิบัติที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ในครั้งนี้”
สุดท้ายซูอี้ก็หมดความอดทน แล้วกล่าว “ข้าขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ข้าจะไม่ไปจากมหาทวีปคังชิง หากว่าเจ้ายังพูดถึงเรื่องนี้ อย่าหาว่าข้าไล่”
เยี่ยอวิ๋นหลันตะลึง มองดูสีหน้าไม่สบอารมณ์ของคนหนุ่มตรงหน้าแล้ว สุดท้ายจึงได้แต่เงียบไป
หากว่าเป็นคนอื่นกล้ามาพูดเช่นนี้ เขาตบตายไปนานแล้ว
แต่พอเป็นหลานชายของตัวเอง เขากลับโกรธไม่ออกโนเวลพีดีเอฟ
“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าคิดพิจารณาให้ดี ๆ ก่อน”
เยี่ยอวิ๋นหลันสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง ก่อนกล่าวคำออก “หากว่าการตัดสินใจในท้ายที่สุดของเจ้ายังคงไม่ต้องการจะไปจากที่นี่กับข้า ข้าก็จะไม่บังคับ”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงแลดูเศร้าลง
จากนั้น เขาก็ส่ายหน้าและหมุนตัวจากไป
“ในช่วงระยะเวลาต่อไปนี้ ข้าจะอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง เมื่อไรที่เจ้าคิดได้แล้วก็ให้คนของจักรพรรดิเซี่ยคนนั้นมาหาข้า ที่นี่เป็นถิ่นของราชวงศ์เซี่ย ต้องการตามหาตัวข้าไม่ใช่เรื่องยาก”
น้ำเสียงยังคงดังก้อง ทว่าเยี่ยอวิ๋นหลันเดินออกจากสวนน้อยนภาเมฆไปแล้ว
ภายใต้แสงราตรีที่อึมครึม ร่างผอมบางของเขาให้ความรู้สึกเดียวดายอ้างว้างนัก
ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายนิ่ง ๆ พลางถอนใจเบา ๆ
เขาไหนเลยจะมองไม่ออก เป็นเพราะเยี่ยอวิ๋นหลันรู้สึกละอายใจต่อการตายของเยี่ยอวี่เฟยผู้เป็นมารดาของตัวเอง ดังนั้นจึงต้องการจะทำทุกวิถีทางเพื่อชดเชยให้แก่เขา?
เพียงแต่ว่า เยี่ยอวิ๋นหลันไม่รู้ว่า เขาซูอี้ไม่ต้องการสิ่งชดเชยเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ต่อให้ขุมกำลังของตระกูลเยี่ยบุกมาแล้ว เขาก็ไม่เคยมองอยู่ในสายตา
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มารดาของข้าก็มีพี่ชายที่ดี และนับแต่ตอนนี้ไปข้าเองก็มีลุงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว…”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของซูอี้แลดูประหลาดไป
พูดขึ้นมา ข้างกายเขาก็มีอีก ‘เย่’ ที่คล้ายกับ ‘เยี่ย’ ซึ่งอยากเป็นน้องเขยมาโดยตลอด
และตอนนี้ มี ‘เยี่ย’ อีกคนที่กลายมาเป็นลุงของตนเอง…
คนที่อยากเป็นน้องเขย อยากจะเข้ามากอดขาตัวเองจวนจะแย่
ทว่าลุงผู้มีสายเลือดเดียวกันกับตัวเองจริง ๆ กลับอยากจะทำทุกอย่างปกป้องคุ้มครองตัวเขาให้ได้…
ทว่า ซูอี้เข้าใจดีเช่นกันว่า เผ่าปีศาจงูที่เย่ซุ่นอยู่ กับ ‘ตระกูลเยี่ย’ ที่ตั้งอยู่ในภูมิคังเสวียนเวิ้งแปดดารานั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องต่อกันแม้แต่น้อย
เพราะอย่างไรเสียก็ดี ในโลกนี้มีคนสกุลเย่อยู่ถมไป
“ศิษย์พี่ซู ไม่คิดจะไปตระกูลเยี่ยจริง ๆ หรือ?”
เหวินซินจ้าวอดถามขึ้นมาไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางคอยฟังอยู่ตลอด
“ในเวลาอันสั้นนี้ไม่ไป”
ซูอี้กล่าวโดยไม่ต้องคิด “วันข้างหน้าจะต้องไปแน่ หนึ่ง เพื่อจัดการกับพวกสารเลวที่เคยทำร้ายมารดาของข้าเหล่านั้น”
“และสอง เพื่อเอาโอกาสสัมพันธ์ซึ่งเดิมควรจะเป็นของมารดาข้า อืม… แล้วมอบให้กับลุงคนนั้นของข้า”
เหวินซินจ้าวไม่เข้าใจ “ในเมื่อโชคนั้นเกี่ยวข้องกับการแสวงวิถีขอบเขตจักรพรรดิ เหตุใดศิษย์พี่ซูจึงไม่ต้องการเล่า?”
ซูอี้กล่าวเสียงราบเรียบ “สำหรับข้าแล้วแสวงวิธีเพื่อเป็นจักรพรรดิง่ายดังพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย สิ่งที่ข้าต้องการในชั่วชีวิตนี้ คือหนทางวิถีที่สูงยิ่งกว่าขอบเขตจักรพรรดิ”
ถึงแม้เหวินซินจ้าวจะรู้ความคิดของซูอี้เป็นอย่างดี แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วก็ยังคงอดตะลึงขึ้นมาไม่ได้
“ขอบเขตที่สูงยิ่งกว่าขอบเขตจักรพรรดิ? หนทางวิถีเช่นนี้มีอยู่จริง ๆ หรือ?” หญิงสาวรู้สึกสับสน
สำหรับนางแล้ว ขอบเขตจักรพรรดิเป็นหนทางแห่งมหาวิถีที่สูงส่งที่สุดแล้ว ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในโลกนี้ยังมีหนทางวิถีที่สูงยิ่งกว่าขอบเขตจักรพรรดิ
“มี!”
ซูอี้พูดน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ซึ่งความมั่นใจอย่างเต็มที่
เพราะหากไม่มั่นใจในจุดนี้ เขาในตอนนั้นไหนเลยจะเลือกกลับชาติมาฝึกตนใหม่?
“แน่นอน พูดสิ่งเหล่านี้ในตอนนี้ยังเร็วเกินไป”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “วันข้างหน้าเมื่อเจ้าเข้าสู่วิถีกลายเป็นจักรพรรดิแล้ว ค่อยพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย”
……..
ในช่วงเวลาถัดมา ชีวิตของซูอี้มีแต่ความราบเรียบ
นอกจากฝึกตนแล้ว ก็ไปภูเขาเทียนหมางเพื่อซ่อมค่ายกลเขตนครหลวงจิ๋วติ่ง บางครั้งก็จะสำรวจดูสภาพอากาศเพื่อคำนวณวันที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึง
ความเป็นจริงแล้ว ในช่วงเวลานี้ ปรากฏการณ์การฟื้นฟูพลังลมปราณในแผ่นดินรวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนถึงขั้นสามารถกล่าวได้ว่า ‘เพิ่มตัวอย่างบ้าคลั่ง’
ทั่วทั้งมหาทวีปคังชิง ไม่ว่าจะเป็นภูเขาลำเนาไพรที่น้อยคนจะเข้าไป หรือว่าเป็นแคว้นเขตเมืองที่มีผู้คนชุมนุมกันมากมาย ล้วนมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างน่าตกใจ
ไม่ว่ามีผู้ฝึกตนมากมายเท่าใดกันได้รับผลประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเช่นนี้ บรรลุขอบเขตกันอย่างรวดเร็ว!
นอกจากนี้ โอกาสสัมพันธ์กับโชคผุดขึ้นมาในโลกเป็นจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นเหตุให้เกิดการแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง
ภูเขาไพรพนาแต่ละแห่งกลายเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์
มีวัตถุวิญญาณสมุนไพรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นจากดิน
ซากเมืองโบราณที่เคยถูกฝังมานาน พากันปรากฏตัวออกมา…
ฟ้าดินกำลังเปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งก็เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน!
อยู่ในความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณ หรือเป็นคนธรรมดาทั่วไปล้วนได้รับผลประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง
สำหรับขุมกำลังใหญ่ ๆ ในตอนนี้ต่างก็รู้สึกได้ชัดว่า วันเวลาที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึงนั้นใกล้เข้ามามากขึ้นทุกทีแล้ว!
แต่สำหรับซูอี้แล้ว เขาสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และก็สามารถคำนวณความลับสวรรค์ได้มากมาย
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง ทั่วทั้งมหาทวีปคังชิง พลังมหาวิถีจะต้องมาถึงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ซึ่งคล้ายกับสะเก็ดแสงมหาวิถีที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเมื่อวันที่สองเดือนสองตอนนั้น
แต่จะรุนแรงยิ่งกว่าวันที่สองเดือนสองมาก!
แน่นอน สำหรับซูอี้ผู้มี ‘เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง’ แล้ว ตัวเขาไม่เคยกังวลว่าจะแย่งพลังแหล่งกำเนิดมหาวิถีที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ก็ถึงวันที่หนึ่งเดือนสี่
เช้าตรู่
ซูอี้กินข้าวต้มไปพลางถามไปพลาง “ไม่เกินเจ็ดวัน แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึง ซินจ้าว เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง?”
เหวินซินจ้าวหัวเราะเจื่อนพลางกล่าว “ตอบศิษย์พี่ซูตามตรง ข้าอยากบรรลุขอบเขตจะแย่อยู่แล้ว”
ซูอี้อึ้งไป
ในช่วงระยะเวลาครึ่งเดือนมานี้ พลังลมปราณในฟ้าดินทวีความเข้มข้นมากขึ้น ไม่เพียงแต่เหวินซินจ้าวเท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์มากมาย แม้กระทั่งระดับการฝึกตนของตัวเขาเองก็ยังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน!
แน่นอน ซูอี้ไม่ใช่คนที่ใส่ใจแต่ความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่ถึงแม้จะฝึกอย่างช้า ๆ ทว่าระดับการฝึกตนของเขาก็ก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นปลายแล้วเช่นกัน และยังมีเค้าว่าจะยกระดับไปสู่ขั้นสมบูรณ์อีกด้วย!
ด้านหนึ่งเป็นเพราะในตัวของเขามีทรัพยากรการฝึกตนอย่างเพียบพร้อม
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การฟื้นฟูอย่างรวดเร็วของปราณวิญญาณ ทำให้กลิ่นอายมหาวิถีในฟ้าดินมีความชัดเจนและอุดมสมบูรณ์มากขึ้นไปด้วย!
เช่นนี้ทำให้เวลาที่ซูอี้นั่งสมาธิ ภาวะจิตประสานกับสรรพสิ่งในฟ้าดิน และกลิ่นอายมหาวิถี มักจะได้รับผลของการรู้แจ้ง
“พลังลมปราณฟ้าดินเปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ แม้กระทั่งช่วงเวลานี้ข้าก็ยังได้รับผลดีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน”
เซียนหานเยียนยิ้มพลางกล่าว
ระยะเวลานี้ นางกับชิงหยาฝึกตนอย่างสงบในสวนน้อยนภาเมฆมาโดยตลอด
“ข้าก็เช่นกัน”
ชิงหยากินข้าวต้มไปพูดไปพร้อมกับอาหารเต็มปาก “อีกไม่นาน ระดับการฝึกของข้าก็สามารถก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดาราขั้นปลายแล้ว!”
“สามารถเดาภาพได้ว่า ในช่วงระหว่างนี้ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนบนโลกจะต้องได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่เป็นแน่” ซูอี้กล่าว
เมื่อคืนเขาคุยกับชิงหว่านที่อยู่ในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ แม้กระทั่งชิงหว่านก็ใกล้จะระงับขอบเขตของตัวเองไว้ไม่อยู่ และสามารถก้าวสู่การบรรลุขอบเขตได้ทุกเวลา
ดูท่าแล้ว ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทางที่ดี
ทว่าซูอี้เข้าใจดีว่า เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึงแล้วจริง ๆ มหาทวีปคังชิงแห่งนี้จะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน!
ถึงเวลานั้น ใต้หล้านี้จะตกสู่การนองเลือด ต่อให้เป็นขุมกำลังโบราณทั้งเจ็ด หรือสามขุมกำลังใหญ่ต่างโลกนอกภพภูมิ ก็ไม่กล้ากล่าวว่าจะสามารถหัวเราะได้เป็นคนสุดท้าย
ทานอาหารเช้าเสร็จได้ไม่นานนัก เวิงจิ่วก็มาหาด้วยความร้อนรน
เขาพูดเร็วจนหอบแฮก “สหายเต๋าซู พวกเราเพิ่งได้ข่าวมาว่า เสิ่นสุยอวิ๋นแห่งคีรีดาบเมฆาเร้นจะเข้าสู่นครหลวงจิ๋วติ่งในวันนี้เพื่อนัดประลองกับเจ้า!”
เสิ่นสุยอวิ๋น!
ผู้ร้ายกาจโลกกว้างคนหนึ่งที่เป็นอันดับหนึ่งในทำเนียบดารา!
ว่ากันว่าเขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่น วิถีดาบล้ำเลิศ ถูกมองว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ฝึกวิถีที่มีโอกาสจะกลายเป็นตัวตนในจักรพรรดิมากที่สุดของคีรีดาบเมฆาเร้น
และเมื่อไม่นานมานี้ ปรากฏการณ์สุดยอดที่เกิดขึ้นขณะที่เขากำลังย่างสู่ขอบเขตสยายวิญญาณยังชักนำให้เกิดความระส่ำระสายอย่างยิ่งใหญ่ในโลกด้วย
ในช่วงระยะเวลานี้ไม่รู้ว่ามีคนเท่าใดกันที่นำเอาซูอี้มาเปรียบกับเสิ่นสุยอวิ๋น ทั้งยังเกิดเป็นข้อถกเถียงกันอย่างมากอีกด้วย
เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่า ซูอี้สามารถแทนที่ตำแหน่งของเสิ่นสุยอวิ๋นในทำเนียบดารา เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
ทว่ามีคนอีกจำนวนมากที่เชื่อมั่นว่า ซูอี้ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเสิ่นสุยอวิ๋นได้
ข้อขัดแย้งจึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้
ดังนั้นเมื่อรู้ข่าวนี้แล้ว เวิงจิ่วจึงมาที่นี่
“นัดประลอง?”
ซูอี้ตะลึง ฉับพลันก็ส่ายหน้า สบถออกมาสามคำ “ไม่น่าสน”