บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 721 คนของตระกูลเยี่ยมา!
ตอนที่ 721: คนของตระกูลเยี่ยมา!
ตอนที่ 721: คนของตระกูลเยี่ยมา!
ซูอี้ในตอนนี้มีระดับการฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นปลายแล้ว
เทียบกับตอนที่จัดการห้ามหาปราชญ์สวรรค์แห่งขอบเขตวงล้อวิญญาณเมื่อวันที่สิบเดือนสาม ระดับการฝึกตนบรรลุขอบเขตเล็ก ๆ สองขั้นแล้ว
และระดับวิถีกับกำลังการต่อสู้ในตัวเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตื่นตะลึงไปตั้งนานแล้วเช่นกัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะสนใจไปประมือกับตัวตนขอบเขตสยายวิญญาณอีก?
ตามที่เขามอง การนัดประลองเช่นนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากอยู่แล้ว
เวิงจิ่วตะลึง เขากล่าว “สหายเต๋าซู เสิ่นสุยอวิ๋นคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาเลย”
เขาเล่าเรื่องราวอดีตอันน่าเหลือเชื่อที่ผ่านมาของเสิ่นสุยอวิ๋นให้ฟัง
สุดท้ายจึงกล่าว “สามารถมั่นใจได้ว่า เสิ่นสุยอวิ๋นในตอนนี้สามารถเอาชนะบุคคลอาวุโสขอบเขตวงล้อวิญญาณอย่างหวนเทียนซูได้เช่นเดียวกัน!”
ซูอี้ตอบใจลอย “อ้อ”
คำว่าอ้อคำเดียว แสดงความไม่ใส่ใจออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด
เวิงจิ่วลูบจมูก พลางกล่าว “ตอนนี้ ผู้ฝึกตนในใต้หล้าต่างก็ถกเถียงกันว่าระหว่างเจ้ากับเสิ่นสุยอวิ๋นใครกันที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ทว่าในเมื่อสหายเต๋าไม่ต้องการจะประลองกับเขา…”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นจากด้านนอกสวนน้อยนภาเมฆ
“เสิ่นสุยอวิ๋นแห่งคีรีดาบเมฆาเร้น ขอเชิญสหายเต๋าซูมาประลองรู้แพ้รู้ชนะกันที่แอ่งน้ำเกล็ดทอง”
แต่ละคำประดุจเสียงมังกรคำราม ดังก้องไปทั่วพิภพ
สวนน้อยนภาเมฆตั้งอยู่ในชุมชนมังกรเขียว ห่างออกไปหลายพันจั้งก็คือแอ่งน้ำเกล็ดทอง
เมื่อเสียง ๆ นี้ดังขึ้น ไม่รู้ว่าบริเวณรอบ ๆ มีผู้คนจำนวนเท่าใดถึงกับแตกตื่น
“เสิ่นสุยอวิ๋น? สวรรค์ นักดาบสะท้านภพผู้เป็นอันดับหนึ่งในทำเนียบดาราคนนี้ท้าประลองกับเซียนเดินดินซูอี้?”
“เร็วเลย ไปที่แอ่งเกล็ดทองกัน!”
“ไปบอกกับคนอื่น ๆ ว่าเสิ่นสุยอวิ๋นมาท้าประลองกับเทพเซียนซู หากว่าการประลองนี้เปิดฉากขึ้น จะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วปฐพีอย่างแน่นอน!”
เสียงร้องโหวกเหวกดังไปทั่ว จากนั้นเสียงก็ดังไปทั่วทุกแห่งของชุมชนมังกรเขียว
สวนน้อยนภาเมฆ
สีหน้าของเวิงจิ่วประหลาดไป ก่อนกล่าว “ในเมื่อเขามาถึงแล้ว สหายเต๋าซู คิดจะปฏิเสธตอนนี้คงจะไม่ทันเสียแล้ว…”
ซูอี้ยืนอยู่อีกด้านของสระ โปรยผีเสื้อจันทราให้ปลาในสระกินเป็นพัก ๆ เขากล่าวเสียงเนิบ “เหตุใดจึงปฏิเสธไม่ได้?”
เวิงจิ่วกล่าวด้วยความลังเล “หากว่าสหายเต๋าไม่ไป คนอื่น ๆ จะต้องคิดว่าสหายเต๋ากลัวจึงไม่ยอมไปเป็นแน่ เช่นนี้มีแต่จะทำให้เสิ่นสุยอวิ๋นได้ใจ และชื่อเสียงของสหายเต๋าก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย”
“เพียงแค่สิ่งภายนอกเท่านั้น”โนเวลพีดีเอฟ
ซูอี้ส่ายหน้า “คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก จะอยู่เพื่อชื่อเสียงไม่ได้ เจ้าไปบอกกับเสิ่นสุยอวิ๋น หากว่าเขามาเพื่อแก้แค้นแทนคีรีดาบเมฆาเร้นก็มาเลย ข้าจะมอบความตายให้แก่เขา”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยิบเก้าอี้หวายออกมา แล้วเอนกายนอนลงบนนั้นด้วยท่าที่สบายและผ่อนคลาย
‘หาโอกาสว่าง ๆ ต้องซ่อมเก้าอี้หวายตัวนี้สักหน่อยแล้ว เพิ่มวัตถุวิญญาณที่ทำให้สงบจิตใจ บ่มเพาะเลือดลมในร่าง เวลาที่นั่งจะได้รู้สึกสบายยิ่งกว่าเดิม…’
ซูอี้ขบคิดในใจ วัตถุวิญญาณแต่ละอย่างที่เหมาะสมสำหรับหลอมสร้างเก้าอี้หวายผุดขึ้นมาในสมอง
เช่น ไหมน้ำเมฆ เถาวัลย์ลายดารา ไม้น้ำลายมังกร เป็นต้น เช่นนี้ เก้าอี้หวายจะต้องนั่งสบายยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ส่วนเก้าอี้หวายที่ติดตามอยู่ข้างกายตัวเองมาตลอดตั้งแต่มหานครอวิ๋นเหอแห่งอาณาจักรต้าโจว ซูอี้ทิ้งไม่ลง
ไม่ใช่เพราะเก้าอี้หวายมีความร้ายกาจ แต่เป็นเพราะไม่ว่าอยู่ที่ใด ไม่ว่าเวลาใด ขอเพียงต้องการก็สามารถนอนเอนกายได้อย่างสบายและผ่อนคลาย
สิ่งที่ต้องการคือความสุขสงบ
เพื่อสิ่งนี้ วัตถุวิญญาณที่ต้องเสียไปจึงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
เวิงจิ่วมองดูซูอี้หลับตาพักจิตบนเก้าอี้หวายด้วยอาการตะลึง ในที่สุดก็มั่นใจแล้วว่า ซูอี้ไม่ได้มองเสิ่นสุยอวิ๋นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย!โนเวลพีดีเอฟ
มิเช่นนั้น จะสงบนิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ถ้าเช่นนั้น…. ข้าจะไปพบกับเขา”
เวิงจิ่วหมุนตัวเดินออกจากสวนน้อยนภาเมฆ
เหวินซินจ้าวถามด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ซู ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้พี่ตั้งความหวังว่าอยากจะเจอคู่ต่อสู้มาก เหตุใดครั้งนี้จึงกลับไม่ใส่ใจเสียแล้วเล่า?”
ตามที่เวิงจิ่วเล่ามา เสิ่นสุยอวิ๋นคนนี้จะต้องเป็นบุคคลสุดยอดอย่างแน่นอน
“เวลาผ่านไป คนเราก็เปลี่ยนไป”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “หากว่าเป็นวันที่สิบเดือนสาม ข้ายังรู้สึกสนใจอยากจะประลองยุทธ์กับเสิ่นสุยอวิ๋น แต่ตอนนี้… รู้สึกไม่สนใจเลยสักนิด”
เหวินซินจ้าวเม้มปากยิ้มขึ้นมา
ลักษณะเช่นนี้ คือลักษณะของซูอี้ที่นางคุ้นเคย
ฉับพลัน มีเสียง ๆ หนึ่งดังมาจากด้านนอกของสวนน้อยนภาเมฆ
“ซูอี้ ข้ามีเรื่องร้อนใจต้องการจะพูดกับเจ้า”
เยี่ยอวิ๋นหลัน!
ซูอี้นิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ในช่วงครึ่งเดือนมานี้ เขาฝึกตนรักษาจิตจนเกือบจะลืมลุงคนนี้ไปแล้ว
“เข้ามาได้” ซูอี้กล่าว
เยี่ยอวิ๋นหลันผลักประตูเข้าไป ชายวัยกลางคนร่างผอมบางผมขาวโพลนคนนี้สาวเท้าเข้ามาด้วยความรีบร้อน สีหน้ากังวล
พอเห็นหน้าซูอี้ก็พูดต่อ “คนของตระกูลเยี่ยปรากฏตัวแล้ว ข้าสงสัยว่าพวกเขาสืบรู้เรื่องของเจ้าแล้ว พวกเราจะต้องหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว!”
“ในที่สุดก็มาแล้ว…”
ในน้ำเสียงนั้นเผยอาการนึกสนุกออกมา “มีจำนวนเท่าใด เก่งกาจเพียงไหน?”
“ไม่รู้” เยี่ยอวิ๋นหลันส่ายหน้า
ซูอี้ถามด้วยความสงสัย “แล้วเจ้ารู้ได้เช่นใดว่าคนของตระกูลเยี่ยปรากฏตัวขึ้นแล้ว?”
“เจ้าดูสิ”
เยี่ยอวิ๋นหลันยกมือซ้ายขึ้น เผยให้เห็นรอยปานสีเขียวบนข้อมือ
เวลานี้รอยปานสีเขียวปรากฏเป็นแสงเรืองรองจาง ๆ ขึ้นมา ลวดลายลักษณะบนนั้นมีลักษณะคล้ายกับลายใบไม้ ส่องแสงสว่างขึ้นเป็นพัก ๆ
เยี่ยอวิ๋นหลันกล่าว “เมื่อคนตระกูลเยี่ยของพวกข้าปรากฏตัวขึ้นภายในระยะร้อยลี้ ก็จะสามารถสัมผัสรับรู้การดำรงอยู่ของฝ่ายตรงข้ามได้จากรอยปานนี้”
“และก็หมายความว่า คนของตระกูลเยี่ยจะอยู่ห่างจากพวกเราไม่ไกลแล้ว!”
สีหน้ากังวลผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา
ซูอี้คิดสักครู่ และกล่าวขึ้นมาตรง ๆ “หากว่าพวกเขาบุกมาหาข้าจริง พอเริ่มลงมือ เจ้าจะขัดขวางไม่ให้ข้าฆ่าพวกเขาหรือไม่?”
เยี่ยอวิ๋นหลันตะลึง ฉับพลันกล่าวสีหน้าเอาจริง “เจ้าไม่ต้องกังวล ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะคุ้มครองให้เจ้าปลอดภัย”
ซูอี้กล่าว “ตอบคำถามของข้ามา”
มุมปากของเยี่ยอวิ๋นหลันกระตุกสองสามที จากนั้นส่ายหน้ากล่าว “ไม่”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องง่าย ข้ารอพวกเขามาหาความตาย”
เยี่ยอวิ๋นหลันกำลังจะพูออะไรอีก
แต่ถูกซูอี้ยกมือห้าม จากนั้นก็กล่าวขึ้นมา “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการพูดอะไร อย่าได้เกลี้ยกล่อมอีกเลย”
เขาเข้าใจจุดประสงค์ของเยี่ยอวิ๋นหลันมานานแล้ว คิดแต่จะปกป้องคุ้มครองซูอี้ให้ปลอดภัย ยอมแม้กระทั่งสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป
ทว่าประเด็นคือ ถึงแม้ซูอี้จะรับความปรารถนาดีนั้นไว้ แต่… ไม่จำเป็นเลยจริง ๆ
เยี่ยอวิ๋นหลันมีสีหน้าสับสน นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ๆ จึงกัดฟันกล่าว “ช่างเถิด ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปพบคนในตระกูลพร้อมกับเจ้า!”
ซูอี้ไม่ได้พูดอะไรอีก
ชายหนุ่มไม่ได้รังเกียจเยี่ยอวิ๋นหลัน และเขาก็รู้สึกได้ว่า เยี่ยอวิ๋นหลันจริงใจต่อตนเอง
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“ซูอี้ เจ้า… วันข้างหน้าไม่คิดจะกลับตระกูลพร้อมกับข้าจริง ๆ หรือ?”
เยี่ยอวิ๋นหลันอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ข้าไปแน่”
ซูอี้โพล่งออกไป “แต่ไม่ใช่ตอนนี้ แต่ไปเมื่อไรนั้น วันข้างหน้าค่อยว่ากันอีกที”
ตอบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเอาแน่ไม่ได้
แต่กลับทำให้เยี่ยอวิ๋นหลันกระตือรือร้นขึ้นมา
เขาหัวเราะด้วยความชื่นชม “ดี! ดีมาก! ไม่ว่าเจ้าจะไปภูมิคังเสวียนเวลาใด ข้าจะพยายามคิดว่าวิธีแย่งเทพซ่อนเร้นต้นกำเนิดบรรพชนมาให้เจ้าจงได้!”
ซูอี้กล่าว “เหตุใดเจ้าไม่สืบทอดโชคนั้น?”
เยี่ยอวิ๋นหลันกล่าวด้วยสีหน้าสับสน “เมื่อก่อนนานมากแล้ว ทั่วทั้งตระกูลเยี่ย มีเพียงแต่ข้ากับมารดาของเจ้าเพียงสองคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติสืบทอดโชคนี้ แต่สุดท้ายมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะได้ไป ข้ามอบโชคนี้ให้กับมารดาของเจ้า แต่ใครกันจะคิดว่า…”
เขาถอนใจทีหนึ่ง หน้าตาโศกเศร้า พูดต่ออีกไม่ไหว
ซูอี้รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ต่อให้อยู่ในเก้ามหาแดนดิน ใครบ้างจะไม่ต้องการโชคในการเพิ่มโอกาสกลายเป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ?
ทว่าเยี่ยอวิ๋นหลันกลับทิ้งมันไป และมอบมันให้แก่เยี่ยอวี่เฟยผู้เป็นน้องสาว!
จากเรื่องนี้ เห็นได้ว่าเยี่ยอวิ๋นหลันผู้เป็นพี่ชายรักเอ็นดูน้องสาวตัวเองมากแค่ไหน
คิดสักครู่ ซูอี้จึงกล่าว “ในเมื่อมารดาข้าไม่อยู่แล้ว เพราะเหตุใด… เจ้าจึงไม่สืบทอดโชคนี้เสียเอง?”
เยี่ยอวิ๋นหลันส่ายหน้า น้ำเสียงหมองหม่น “ตอนนั้น หากว่าข้ากลับสู่ตระกูลเร็วสักหน่อย มารดาของเจ้าก็อาจจะไม่ถึงกับถูกไอ้แก่พวกนั้นวางกับดัก และจะไม่เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นซ้ำ ๆ หลังจากนั้นอีก”
เขาเหลือบสายตามองไปที่ซูอี้ “เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของนาง ถึงแม้มารดาของเจ้าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่โชคนี้ก็ยังต้องมีเจ้าสืบทอด”
ซูอี้ไม่ได้พูดอะไรอีก
เขารู้ตัวเองเป็นอย่างดีว่าต่อให้ปฏิเสธก็ไม่มีประโยชน์
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านนอกสวนน้อยนภาเมฆ
จากนั้น ประตูใหญ่ของสวนน้อยก็ถูกคนใช้กำลังผลักเข้ามา พวกเขาเห็นผู้อาวุโสชายพาชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในสวนน้อยด้วย
“ตามความคาดหมาย อวิ๋นหลันเจ้าอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”
เขาสวมชุดหรูหราสีม่วง ผมขาวประดุจเงิน หวีเป็นระเบียบเรียบร้อย ผิวกลับเป็นประกายนุ่มเนียนดังผิวเด็ก หน้าตาอ่อนเยาว์ ท่าทางดุดัน
“ที่แท้ก็ผู้อาวุโสเจ็ดนี่เอง”
ม่านตาของเยี่ยอวิ๋นหลันหรี่เล็กลง และลอบส่งกระแสเสียงปราณมายังซูอี้ “คน ๆ นี้คือเยี่ยจ่างฉุน ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลเยี่ยของข้า มีระดับการฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นกลาง สกัดมหาวิถีที่กล่าวได้ว่าเยี่ยมยอดออกมาได้เช่นนี้นับว่าแข็งแกร่งมาก”
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ามีวิธีรับมือกับเขา!”
น้ำเสียงของเยี่ยอวิ๋นหลันแฝงไว้ซึ่งความสุขุม ไม่ได้พูดแสดงอาการตื่นตระหนกแต่อย่างใด
“ผู้อาวุโสเจ็ดดูนั่น คน ๆ นั้นคงจะเป็นซูอี้ หน้าตามีส่วนคล้ายน้องเจ็ดอวี่เฟยจริง ๆ”
ผู้หญิงในชุดสวยที่อยู่ข้างกายเยี่ยจ่างฉุนชี้ไปที่ซูอี้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย ขณะส่งเสียงพูดออกมา
ข้างกายผู้หญิงชุดสวยคนนั้นคือผู้ชายในชุดสีดำร่างผอมสูง สองแขนของเขาอุ้มดาบยาวในฝัก เชิดหน้านิด ๆ สีหน้าเย็นเฉียบ แฝงความหยิ่งทระนง
ดวงตาคมประดุจมีดของผู้ชายในชุดสีดำกวาดตามองไปที่ซูอี้ กล่าว “ดูท่าแล้ว ข่าวที่พวกเจ้าสืบมาได้ไม่ผิดเลย ซูอี้คนนี้เป็นบุตรของเยี่ยอวี่เฟยจริง ๆ”
พวกเขาทั้งสามผลักประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่พอ หลังจากเข้ามาถึงสวนน้อยนภาเมฆแล้ว ยังพูดถึงซูอี้ราวกับไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เหมือนกับเข้ามาในดินแดนที่ไร้ซึ่งผู้คน
เช่นนี้ทำให้เหวินซินจ้าวขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกไม่พอใจนัก
ท่าทีเช่นนี้ จะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว ทำให้คนอื่นรู้สึกรังเกียจ
“พวกเจ้าสองคน ดีที่สุดสำรวมอาการไว้บ้าง! ที่นี่ไม่ใช่ภูมิคังเสวียน!”
เยี่ยอวิ๋นหลันสบถเสียงเย็นชา
ขณะที่พูด เขาถ่ายทอดเสียงให้ซูอี้ แนะนำฐานะของสองคนนี้ให้รู้
ผู้หญิงในชุดสวยมีนามว่าเยี่ยเสวี่ยถิง ผู้ชายในชุดสีดำมีนามว่าเยี่ยเฟิงเหอ ต่างก็มีระดับการฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณขั้นปลาย
สองคนนี้เป็นคนรุ่นเดียวกับเยี่ยอวิ๋นหลันและเยี่ยอวี่เฟย ทว่าไม่เหมือนกันตรงที่เยี่ยอวิ๋นหลันกับเยี่ยอวี่เฟยเป็นเชื้อสายตรงของตระกูลเยี่ย ส่วนสองคนนี้เป็นเชื้อสายห่าง ๆ
เหมือนกับเยี่ยจ่างฉุน ผู้อาวุโสเจ็ดคนนี้ก็เป็นเชื้อสายห่าง ๆ ของตระกูลเยี่ยเช่นกัน
หลังเข้าใจในเรื่องเหล่านี้แล้ว ซูอี้นั่งนิ่ง ๆ บนเก้าอี้หวาย สีหน้ายังคงราบเรียบดังเดิม ก่อนกล่าว “ข้าต้องการรู้แต่เพียงว่า พวกเขาใช่ศัตรูหรือไม่?”
เยี่ยอวิ๋นหลันพยักหน้าด้วยสีหน้าสับสน
0
—————————