บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 726 เยี่ยเซียว
ตอนที่ 726: เยี่ยเซียว
ตอนที่ 726: เยี่ยเซียว
สวนน้อยนภาเมฆ
แสงอาทิตย์จากท้องฟ้าส่องผ่านต้นสนและกิ่งไผ่ ฉายแสงและเงาบนพื้นดิน
ลมพัดเอื่อยอย่างช้า ๆ นำพากลิ่นสดชื่นของหญ้าและดินตามมา
เยี่ยอวิ๋นหลันมองดูชายหนุ่มในชุดเขียวนอนอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้หวาย เขาเงียบมาได้พักใหญ่แล้วก่อนจะอดรนทนไม่ไหวและพูดว่า “ข้าคงต้องจากไปสักพัก”
ซูอี้เลิกคิ้วและถามกลับ “กลับสู่ภูมิคังเสวียน?”
เยี่ยอวิ๋นหลัน ส่ายหัวและกล่าวว่า “ตระกูลเยี่ยไม่น่าจะส่งคนมาแค่เพียงเยี่ยจ่างฉุนและคณะมาเพียงเท่านี้ ข้าต้องออกไปตรวจสอบเรื่องราวนี้และต้องการยืนยันอีกเรื่องหนึ่ง”
ซูอี้กล่าวถาม “ตรวจสอบสิ่งใด?”
เยี่ยอวิ๋นหลันกล่าว “ข้ากังวลว่าเป็นไปได้ที่ตระกูลจะส่งไอ้คนคลั่งสังหารมาที่ทวีปคังชิงแล้ว”
คลั่งสังหาร!
เมื่อกล่าวถึงชื่อเล่นนี้สีหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลันแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์
ซูอี้เอ่ยถามด้วยความสนใจ “เขาแข็งแกร่งมาเลยหรือ?”
“ทรงพลังเป็นเรื่องรองแต่คนผู้นั้น… โหดเหี้ยมเป็นที่สุด!”
เยี่ยอวิ๋นหลันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ชื่อของคนผู้นั้นคือเยี่ยเซียว มันเป็นคนบ้าที่พิสูจน์วิถีด้วยมรรคาแห่งการฆ่า มันคลั่งไคล้การต่อสู้และสังหารศัตรูเป็นที่สุด มีผู้คนมากมายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตายภายใต้น้ำมือของมัน มือของมันอาบย้อมไปด้วยโลหิต”
“หากมองเพียงผิวเผินเยี่ยเซียวดูเป็นคนอ่อนโยนสุภาพบุรุษ แต่ทว่าลึก ๆ ภายในใจของมันนั้นเป็นคนจิตใจบิดเบี้ยวที่ชื่นชอบการพรากชีวิตผู้คน มันฆ่าเพื่อสนองตัณหาความสุขในจิตใจของมัน”
“ขณะนี้เยี่ยเซียวอยู่ที่ขั้นกลางของขอบเขตวงล้อวิญญาณ แม้ว่าระดับการฝึกฝนเท่านี้จะนับว่าธรรมดาในตระกูลเยี่ย แต่สถานะของเยี่ยเซียวนั้นสูงส่ง ต่อหน้าเขาแม้แต่ผู้อาวุโสลำดับเจ็ดอย่างเยี่ยจ่างฉุนยังต้องให้เกียรติอยู่สามส่วน”
“ในภูมิคังเสวียน ผู้คนในภูมินั้นถือว่าเยี่ยเซียวเป็นตัวอันตรายที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลเยี่ย ส่วนทางด้านภายในของตระกูลเยี่ย เยี่ยเซียวถูกแต่งตั้งให้กลายเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์ของตระกูลและหมายมั่นกันว่าจะฟูมฟักให้เยี่ยเซียวพิสูจน์วิถีให้ได้ภายในร้อยปีเพื่อให้เขากลายเป็นจักรพรรดิแห่งวิถีสังหาร!”
“ก่อนที่ข้าจะมาทวีปคังชิง สมาชิกตระกูลกำลังตัดสินใจกันอยู่ว่าพวกเขาควรส่งเยี่ยเซียวหรืออัจฉริยะคนอื่นของตระกูลมาที่ทวีปคังชิงเพื่อแสวงหาโชคโอกาสดีหรือไม่”
“ทว่าตอนนี้ข้าสงสัยว่ามันน่าจะเป็นเยี่ยเซียวที่ถูกส่งมา!”
หลังจากฟังจบทั้งหมดซูอี้ก็เอ่ยถามย้อนอีกครั้ง “ทำไมท่านถึงคิดว่าเป็นเยี่ยเซียวที่ถูกส่งมา?”
เยี่ยอวิ๋นหลันกล่าวตอบ “เยี่ยเซียวเกิดในตระกูลเยี่ยสายรอง พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตเมื่อตอนที่เขายังเด็ก และลุงของเขาได้รับการเลี้ยงดูจากเยี่ยจ่างฉุน”
ซูอี้เข้าใจทันทีและพูดว่า “วันนี้ข้าฆ่าเยี่ยจ่างฉุน ท่านจึงกังวลว่าเยี่ยเซียวจะมาแก้แค้นข้าใช่หรือไม่?”
เยี่ยอวิ๋นหลันพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “เท่าที่ข้ารู้จักสันดานของเยี่ยเซียว เขาจะมาทวงแค้นอย่างแน่นอน!”
ซูอี้ยิ้มเยาะ “ท่านคิดว่าข้าสู้เยี่ยเซียวผู้นั้นไม่ได้หรือ?”
เยี่ยอวิ๋นหลันเงียบอยู่นานก่อนจะพูดว่า “บางทีเจ้าอาจคิดว่าข้าเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แต่ถ้าให้ประเมินจากความแข็งแกร่งในวันนี้ที่เจ้าแสดง ข้าเกรงว่าเจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อกรของเยี่ยเซียว”
ซูอี้ยิ้มและไม่พูดอะไร
การสังหารเยี่ยจ่างฉุนวันนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตวัดดาบนิลกาฬบริสุทธิ์อย่างเรียบง่าย มันไม่ได้ใกล้เคียงกับการสำแดงพลังทั้งหมดที่เขามีเลย
เมื่อเห็นว่าซูอี้ยังคงแสดงท่าทีไม่แยแส เยี่ยอวิ๋นหลันจึงกล่าวต่อ “เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว เมื่อเยี่ยเซียวก้าวเข้าสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ ได้ควบแน่นวงล้อวิญญาณมหาวิถีอันน่าสะพรึงกลัวขึ้น วงล้อวิญญาณมหาวิถีของเยี่ยเซียวนั้นประหนึ่งดวงอาทิตย์มืด และภายในนั้นสะท้อนถึงฉากภูเขาซากศพทะเลโลหิตและป่ากระดูกอันขาวโพลน ซึ่งทั้งหมดนั้นถูกเรียกว่า ‘นรกภูมิสังหาร’!”
“ตั้งแต่นั้นมาเยี่ยเซียวก็กลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในขอบเขตวงล้อวิญญาณของภูมิคังเสวียน แม้แต่คนรุ่นเก่าก่อนซึ่งอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณและโด่งดังมานานยังไม่อาจเอาชนะเขาได้!
“ขณะนี้แม้แต่ในตระกูลเยี่ย ยกเว้นผู้อาวุโสจำนวนไม่ถึงหยิบมือซึ่งสามารถกำราบเยี่ยเซียวได้ ทุกคนล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเซียวทั้งหมด”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เยี่ยอวิ๋นหลันก็ถอนหายใจครู่หนึ่ง
แต่เขาเห็นซูอี้ลูบคางและพูดว่า “ถ้าเยี่ยเซียวคนนี้วิเศษวิโสอย่างที่ท่านพูด ข้าก็ตั้งตารอที่เขาจะมาหาข้าเพื่อแก้แค้น ถ้าท่านพบเจอเยี่ยเซียวคนนี้ก็จงฝากบอกเขาด้วย ว่าข้าจะรอเขาอยู่ที่นครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้ไปอีกสักระยะ ถ้าเขาต้องการแก้แค้นก็จงรีบมาหาข้าเสีย”
เยี่ยอวิ๋นหลัน “…”
เขาอุตส่าห์ร่ายประวัติของเยี่ยเซียวจนปากแห้ง ทว่าไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ซูอี้กังวลเท่านั้น แต่กลับปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในหัวใจของซูอี้ขึ้นมาแทน?
“ว่าแต่เยี่ยเซียวกับมารดาของข้าเคยขัดแย้งกันหรือไม่?” ซูอี้ถาม
เยี่ยอวิ๋นหลันพยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าจำที่ข้าเคยพูดถึงเกี่ยวกับมรดกแห่งเทพซ่อนเร้นต้นกำเนิดบรรพชนได้หรือไม่? เหตุผลที่เหล่าตาเฒ่าพวกนั้นพยายามกีดกันไม่ให้แม่ของเจ้าได้รับมรดกนั้น เป็นเพราะต้องการให้เยี่ยเซียวได้รับมันไปแทน เพื่อให้เขาสามารถพิสูจน์วิถีและกลายเป็นจักรพรรดิ!”
“แต่เนื่องจากเยี่ยเซียวเกิดในตระกูลสายรอง ดังนั้นตามกฎของตระกูล เว้นแต่คนของตระกูลสายหลักทั้งหมดเช่นแม่ของเจ้าและข้าตาย ต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ท้าทายสวรรค์เพียงไรเขาก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกนั้นไปได้”
ซูอี้ตระหนักในทันที
ความขัดแย้งอันรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในตระกูลเยี่ยนั้นมีสาเหตุมาจากการแก่งแย่งกันได้รับมรดกจากบรรพบุรุษ
เป็นเพราะแม่ของเขาเยี่ยอวี่เฟยเป็นผู้มีคุณสมบัติในการสืบทอด ดังนั้นนางจึงถูกปองร้ายในปีนั้น!
“ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้มันก็แปลว่าท่านเองก็ตกอยู่ในอันตรายไม่ใช่หรือ?”
ซูอี้มองไปที่เยี่ยอวิ๋นหลัน
เยี่ยอวิ๋นหลัน “หากตอนนี้เราอยู่ในภูมิคังเสวียน ตัวข้าย่อมปลอดภัยไม่มีใครกล้าวุ่นวาย เพราะทุกคนล้วนเกรงกลัวต่อกฎของตระกูลซึ่งบังคับใช้ที่นั่น ผู้คุมกฎวิถีลึกล้ำทั้งหลายไม่มีทางนิ่งดูดายมองข้าถูกสังหารโดยคนตระกูลเยี่ยด้วยกันอย่างแน่นอน”
ซูอี้ยิ้มเย้ย “แต่ที่นี่คือทวีปคังชิง ไม่ว่าผู้คุมกฎของตระกูลเยี่ยจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทะลวงผ่านกำแพงกั้นเขตแดนมาถึงที่นี่”
“ดังนั้นแล้วเพื่อให้เยี่ยเซียวสามารถสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษได้ในอนาคต พวกฝั่งตรงข้ามเหล่านั้นจะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อฆ่าข้ารวมไปถึงท่าน ด้วยวิธีนี้เยี่ยเซียวจะสามารถสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษได้อย่างไร้ผู้ใดโต้แย้ง”
เยี่ยอวิ๋นหลันเงียบไปครู่หนึ่ง
นั่นคือสิ่งที่เขากังวล
“ช่างเถิด เอาเป็นว่าเจ้าอย่าได้ย่างกรายไปที่ตระกูลเยี่ยก็พอ”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ซูอี้ก็กล่าวออก “ข้าสังหารเยี่ยจ่างฉุนไปแล้ว เยี่ยเซียวย่อมเกลียดชังข้าถึงขั้วกระดูก ดังนั้นแล้วมันเป็นไปได้ที่เยี่ยเซียวจะเป็นผู้ไล่ล่าตามสังหารท่านด้วยตัวของเขาเองเพื่อระบายความโกรธแค้น นับจากนี้ท่านต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
เยี่ยอวิ๋นหลันรู้ว่าการมาที่ทวีปคังชิงนั้นแสนอันตราย แต่เพื่อเยี่ยอวี่เฟยน้องสาวของตนเองเขาก็ยังมา
ยิ่งกว่านั้นหลังจากได้รู้ว่าเยี่ยอวี่เฟยตายลงแล้ว เยี่ยอวิ๋นหลันก็หาได้ยอมแพ้วางแผนจะพาซูอี้กลับตระกูลเยี่ยเพื่อสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษ
จากสิ่งนี้เพียงลำพังซูอี้ไม่สามารถนิ่งเฉยดูเยี่ยอวิ๋นหลันทนทุกข์ทรมาน
หลังจากได้ยินประโยคเตือนของซูอี้ เยี่ยอวิ๋นหลันตกตะลึงไปครู่ ก่อนจะพูดด้วยความโล่งใจว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้า แม้ว่าข้าจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับเยี่ยเซียว แต่ข้ามั่นใจว่ามีความสามารถพอจะหลบหนีจากเงื้อมมือของเขาได้”
หลังจากหยุดชั่วคราวเยี่ยอวิ๋นหลันพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าแน่ใจว่าเยี่ยเซียวย่อมไม่ทำสิ่งใดหุนหันพลันแล่นก่อนการมาถึงของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง แม้ว่าเขาจะชื่นชอบในการฆ่าราวกับคนบ้า แต่เขาไม่ใช่คนบ้าระห่ำทำสิ่งโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนอย่างแน่นอน”
ซูอี้ถามกลับ “ท่านตั้งใจแน่วแน่จะไปจริง ๆ หรือ?”
เยี่ยอวิ๋นหลันพยักหน้า “ข้าจำเป็นต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าเยี่ยเซียวพาคนมาที่นี่กี่คน”
ซูอี้พยักหน้าโดยไม่ห้ามปราม
ในไม่ช้าเยี่ยอวิ๋นหลันจึงจากไป
“สหายเต๋าซู นั่นคือลุงของเจ้าจริง ๆ หรือ?”
จักรพรรดิเซี่ยและเวิงจิ่วซึ่งรออยู่อีกด้านหนึ่ง ในขณะนี้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะถาม
“ไม่ผิด”
ซูอี้พยักหน้าก่อนอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับตระกูลเยี่ยและสุดท้ายจึงเอ่ยว่า “อย่าได้กังวล เรื่องราวความแค้นนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อราชวงศ์เซี่ย”
จักรพรรดิเซี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเซี่ยอวิ๋นจิ้งหาใช่คนที่กลัวสิ่งใดได้ง่าย ๆ”
ซูอี้ไม่ได้พูดต่อในเรื่องนี้อีก เขาเปลี่ยนประเด็นไปอีกเรื่อง “ภายในสามวัน ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจะซ่อมแซมสำเร็จ เมื่อถึงตอนนั้นอำนาจของมันจะเพียงพอคุกคามชีวิตของผู้ใดก็ตามที่อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งหมด หากมีศัตรูใดกล้าล่วงล้ำเข้ามาในนครหลวงจิ๋วติ่ง มันจะไม่ต่างจากก้าวเท้าเข้าสู่ยมโลก”
จักรพรรดิเซี่ยสูดหายใจเข้าลึกก่อนโค้งคำนับและพูดว่า “ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ ในอนาคตต่อให้มีภัยพิบัติใด ๆ เกิดขึ้นข้าและราชวงศ์เซี่ยทั้งหมดจะขอร่วมทุกข์สุขมีชีวิตอยู่และตายไปพร้อมกับสหายเต๋า!”
ซูอี้จะสนใจเรื่องนี้ได้อย่างไร เขาโบกมือแล้วพูดว่า “อีกเจ็ดวันแสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึง พวกท่านควรเตรียมตัวให้พร้อมแต่เนิ่น ๆ ข้าอาจจะสามารถปกป้องพวกท่านได้ในชั่วขณะนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะคุ้มครองพวกท่านตลอดไป ประเด็นนี้พวกท่านต้องจำให้ขึ้นใจ สุดท้ายแล้วความแข็งแกร่งของตนเองนั้นหาได้มีสิ่งอื่นสำคัญกว่า”
จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า
ผ่านไปอีกพักเขาจึงออกไปพร้อมกับเวิงจิ่ว
“เยี่ยเซียว… ตัวตนแบบนี้หายากจริง ๆ…”
ซูอี้นอนอยู่บนเก้าอี้หวายครุ่นคิด
…
ในวันเดียวกันนั้นเอง ข่าวการต่อสู้ที่แอ่งเกล็ดทองแพร่กระจายส่งผลให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในโลก
ความแข็งแกร่งของซูอี้ดึงดูดความสนใจของโลกอีกครั้ง
ในทางตรงกันข้ามชื่อเสียงของเสิ่นสุยอวิ๋นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
แม้ว่าการต่อสู้ระหว่างเขากับซูอี้จะยังไม่ได้เกิดขึ้น ทว่าทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจว่าเสิ่นสุยอวิ๋นนั้นด้อยกว่าอย่างไม่ต้องกล่าว
ในเวลาเดียวกัน ‘ตระกูลเยี่ย’ ได้ดึงดูดความสนใจจากขุมกำลังหลักมากมายในโลกเช่นกัน
อีกเจ็ดวันแสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึง ดังนั้นแล้วการปรากฏตัวของขุมกำลังใหม่ทำให้ขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ทั้งหมดในโลกได้กลิ่นอันตรายที่คืบคลาน!
“สรุปได้ว่าเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง ขุมกำลังที่ไม่เคยปรากฏเช่นตระกูลเยี่ยมีจุดมุ่งหมายจะมาแย่งชิงโชคโอกาสและครองความยิ่งใหญ่ในโลกนี้!”
“สิ่งนี้เป็นครรลองของโลก ทุกสิ่งล้วนผันแปรไร้จีรัง!”
“ไม่อาจเดาได้เลยว่าผู้ใดจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย และผู้ใด… จะครองโลกในท้ายที่สุด…”
คลื่นใต้น้ำโหมแรงในโลกหล้า
ขุมกำลังหลักทั้งหลายต่างระแวดระวังตื่นตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนต่างรอเฉยเพื่อรวบรวมกำลังให้เพียงพอกับการมาถึงของวันที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะปรากฏ
…
ในภูเขาลึกรกร้าง
ราตรีมืดมิดประหนึ่งหมึกไร้ซึ่งแสงดวงดาวหรือดวงเดือน
เยี่ยเซียวนั่งอยู่ข้างกองไฟอ่านตัวอักษรในตำราซึ่งอยู่ในมือ ใบหน้าอันหล่อเหลาและสง่านั้นสงบและราบเรียบ
ผมยาวถึงเอวของเขาสีดำคลับและเงางาม ตัวคนสวมเสื้อคลุมยาวเรียบง่ายซึ่งยิ่งยกเสน่ห์อันน่ามองให้แก่ผู้คน
ประหนึ่งเหมือนนักปราชญ์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สรรพวิชา
ไม่ไกลนักกลุ่มคนแข็งแกร่งของตระกูลเยี่ยนั่งยอง ๆ หรือยืนพูดคุยเกี่ยวกับบางสิ่ง แต่เสียงของพวกเขาเบามาก ราวกับว่าพวกเขากลัวที่จะรบกวนเยี่ยเซียว
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นนกกระจอกสีเงินบินข้ามท้องฟ้ายามราตรีอย่างเร็วยิ่ง และเมื่อเขามาถึงกองไฟมันกลายร่างเป็นหญิงสาวในเสื้อคลุมขนนกสีเงิน
สีหน้าของนางขณะนี้วิตกกังวลร้อนรนเล็กน้อย
ทว่าเมื่อเห็นเยี่ยเซียวกำลังอ่านตำราในมืออยู่ นางจึงลังเลไม่กล้าพูดสิ่งใด
เวลาผ่านไป
หลังจากผ่านไปนานเยี่ยเซียวปิดตำราในมือ ยืดเอวมองดูสตรีที่สวมชุดขนนกด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ผู้อาวุโสเจ็ดมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ?”
หญิงสาวในชุดขนนกก้มศีรษะลงและไม่กล้ามองเยี่ยเซียวโดยตรงก่อนจะกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเจ็ดและคณะ… พวกเขาตายสิ้นแล้ว…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยเซียวหายลับฉับพลัน
เขาหยิบเหยือกสุราขึ้นและจิบอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพึมพำ “ตายโดยไม่ทันร่ำลา… ความรู้สึกนี้ช่างแย่อย่างแท้จริง…”
ยามเมื่อประโยคนี้เอ่ยออก บรรยากาศรอบด้านราวกับถูกระงับอย่างฉับพลันในทันใด
ทุกคนในที่นั้นสั่นสะท้านสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างไม่อาจควบคุม!!