บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 727 เส้นไหมกระชากวิญญาณ
ตอนที่ 727: เส้นไหมกระชากวิญญาณ
ตอนที่ 727: เส้นไหมกระชากวิญญาณ
กองไฟส่งเสียงเปรี๊ยะ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาของเยี่ยเซียวสั่นไหว
อากาศโดยรอบเย็นยะเยือกอีกทั้งดูคล้ายจะหยุดนิ่ง บรรยากาศกดดันเช่นนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนของตระกูลเยี่ยทั้งหมดรู้สึกหายใจติดขัด
หลังจากผ่านไปนานเยี่ยเซียวก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม และกล่าวว่า “ช่างเถิด เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะต้องตาย แม้เป็นผู้ฝึกตนซึ่งสามารถมีชีวิตยืนยาว แต่ผู้ใดเล่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดจนค้ำฟ้า? แม้ว่าข้าจะมีโทสะแต่ข้าจะยังไม่ลงมือใดในตอนนี้”
หลังจากที่พูดคำเหล่านี้ มันเหมือนกับว่าโลกรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเยี่ยเซียว บรรยากาศที่กดดันค่อย ๆ ผ่อนลงและหายไปอย่างเงียบ ๆ
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เป็นซูอี้ผู้นั้นที่ทำใช่หรือไม่?” เยี่ยเซียวเอ่ยถาม
น้ำเสียงของเขานั้นสงบและนุ่มนวล
สตรีในชุดขนนกพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง”
นางเปิดเผยข้อมูลที่ได้สอบถามมา
หลังจากรับรู้ เยี่ยเซียวจิบสุราจากเหยือกแล้วเอ่ยว่า “เขาเป็นลูกชายของเยี่ยอวี่เฟยหลานชายของเยี่ยอวิ๋นหลัน หรือถ้าจะพูดให้ครบก็คือลูกพี่ลูกน้องของข้าตามเชื้อสายของตระกูล”
ทุกคนมองหน้ากันเดาความหมายของคำพูดเยี่ยเซียวไม่ชัดเจน
“สำหรับซูอี้ที่สังหารผู้อาวุโสเจ็ดและคนอื่น ๆ นั่นเป็นการกระทำที่เข้าใจได้”
เยี่ยเซียวเอ่ยกับตัวเอง “ท้ายที่สุดแล้วผู้อาวุโสเจ็ดและคนอื่น ๆ เดินทางไปที่นครหลวงจิ๋วติ่งในครั้งนี้เพื่อกำจัดซูอี้ ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงโทษที่ผู้อาวุโสเจ็ดและคณะผู้ติดตามนั้นไร้ความสามารถ”
ทุกคนเงียบ
สิ่งที่เยี่ยเซียวพูดคือความจริง แต่มันทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกในใจอย่างไม่อาจควบคุม
เยี่ยเซียวจิบสุราอีกจิบก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ทว่าแค้นนี้ข้าจะชำระเป็นแน่แท้… แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
เมื่อพูดจบประโยคนี้เขามองไปที่สตรีที่สวมชุดขนนกและพูดว่า “บอกข้าเกี่ยวกับเยี่ยอวิ๋นหลัน”
สตรีสวมชุดขนนกสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะกล่าวว่า “เยี่ยอวิ๋นหลันมาถึงทวีปคังชิงก่อนหน้านี้เพียงเพื่อรับตัวเยี่ยอวี่เฟย แต่หลังจากที่เขารู้ว่าเยี่ยอวี่เฟยตายไปแล้ว เขาจึงน่าจะมีความคิดอยากพาซูอี้กลับไปตระกูลเพื่อสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษ”
เยี่ยเซียวถอนหายใจเบา “ชายผู้นี้ดื้อรั้นเสียจริง นอกเหนือจากเยี่ยอวิ๋นหลัน คนอื่น ๆ ของตระกูลสายหลักที่พอมีความสามารถล้วนชรา อ่อนแอ ป่วย ใกล้ตายอยู่รอมร่อกันหมดแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขายังคงคิดที่จะให้สายตระกูลหลักสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษ ช่างคิดการณ์เกินตัวแท้ ๆ”
สตรีในชุดขนนกเย้ยหยัน “ถ้าไม่ใช่เพราะมีกฎของตระกูลคอยคุมครอง มีหรือเยี่ยอวิ๋นหลันจะสามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้?”
นานมาแล้วในภูมิคังเสวียนมีเหตุการณ์คล้ายกับหายนะการปะทุของพลังมืดต้องห้ามยุคโบราณอุบัติขึ้น ในฐานะผู้ปกครองของภูมิคังเสวียน ตระกูลเยี่ยจึงได้รับผลกระทบอย่างหนักหนาสาหัส
เพื่อต่อสู้กับภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้และทำให้สรรพสิ่งอยู่รอดได้มากที่สุด เหล่าตัวตนยิ่งใหญ่สูงสุดของตระกูลเยี่ยต่างไม่ลังเลที่จะก้าวเท้าออกมายืนหยัด
แต่ในท้ายที่สุด แม้ว่าพวกเขาจะสามารถแก้ไขภัยพิบัติจากการทำลายล้างได้ แต่ตระกูลสายหลักของตระกูลเยี่ยได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
ในปีต่อ ๆ มา อิทธิพลอำนาจของตระกูลสายหลักยิ่งถดถอยลงเรื่อย ๆโนเวลพีดีเอฟ
จนถึงตอนนี้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลหลักจะฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง แต่ถ้าเทียบความแข็งแกร่งของตระกูลสายรองที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้อยกว่ามาก ตระกูลสายหลักจึงยังคงอยู่ในจุดที่เสียเปรียบ
หากไม่ใช่เพราะว่าตระกูลสายหลักมีสมบัติโบราณเก่าแก่จากเหล่าบรรพบุรุษ ตำแหน่งและอำนาจของตระกูลสายหลักป่านนี้คงถูกลิดรอนไปนานแล้ว
ทว่าบรรดาสมบัติเต๋าที่เหล่าจักรพรรดิบรรพุรุษของตระกูลสายหลักได้ทิ้งไว้ถูกกัดกร่อนโดยพลังแห่งหายนะมาหลายปีแล้ว ดังนั้นการดำรงอยู่ของมันจึงอาจจะยืดเยื้อต่อไปได้อีกไม่นานนัก
เยี่ยเซียวมองดูเหยือกในมือ เขายิ้มและกล่าวว่า “ปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุที่ตระกูลเยี่ยของเรารอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนั้นมาได้เป็นเพราะความทุ่มเทของเหล่าผู้คนตระกูลสายหลัก ดังนั้นแล้วเยี่ยอวิ๋นหลันจึงกลายเป็นตัวตนที่เราไม่สามารถแตะต้องได้ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาพูดอีกครั้ง “ทว่า… หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขาในทวีปคังชิงนี้ ผู้ใดก็ไม่สามารถเอาผิดเราได้…”
เหล่าผู้ติดตามของเยี่ยเซียวดวงตาเป็นประกาย พวกเขาเข้าใจคำพูดของเยี่ยเซียวอย่างชัดเจน!
“นายน้อย เยี่ยอวิ๋นหลันไม่สามารถคุกคามเราได้อยู่แล้ว แต่ซูอี้ผู้นี้เราควรจัดการกับเขาอย่างไรดี?”
สตรีในชุดขนนกเอ่ยถาม
เยี่ยเซียวจิบสุราอีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า “ตระกูลเยี่ยของเรามีกฎเหล็กที่สุดก็คือห้ามคนในตระกูลเข่นฆ่ากันเอง แต่โชคดีที่ซูอี้ผู้นี้หาใช่คนแซ่เยี่ยเช่นเดียวกับเรา ยิ่งไปกว่านั้นผู้อาวุโสเจ็ดยังถูกฆ่าโดยเขาแล้ว… แน่นอนว่าซูอี้ต้องตาย!”
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ตาย’ ดวงตาของเยี่ยเซียวสว่างขึ้นทันที ความกระหายเลือดพลุ่งพล่านขึ้นในส่วนลึกของดวงตาเขา
อึดใจถัดมาเขาส่ายหัวเล็กน้อยและเอ่ยต่อว่า “ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา แสงสว่างแห่งโลกกว้างของทวีปคังชิงกำลังจะบังเกิด และข้าไม่ต้องการพลาดกับโชคโอกาสครั้งนี้เพราะผู้ใด!”
พูดเสร็จเขาก็หยิบตำราออกมาอ่านอีกครั้ง เมื่อเห็นสิ่งนี้สตรีชุดขนนกไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก
ทุกคนในตระกูลเยี่ยต่างรู้ดีว่าเมื่อเยี่ยเซียวกำลังอ่าน สิ่งที่เขาเกลียดชังจนทนไม่ได้ที่สุดคือถูกรบกวน!
แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลยังเคยเอ่ยว่าแม้ท้องฟ้าจะถล่ม มันก็ย่อมไม่กระทบต่อการอ่านของเยี่ยเซียว
…
สองวันต่อมา
ซูอี้ซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนเสร็จตามที่หมายหวัง
แม้ว่าอานุภาพของมันตอนนี้จะไม่ได้ทรงพลังเหมือนเมื่อตอนมันอยู่ในจุดสูงสุด แต่มันก็เพียงพอที่จะกำราบทุกตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ
เมื่อคิดถึงจุดนี้หัวใจของจักรพรรดิเซี่ยสงบลง
เย็นวันเดียวกันนั้นเอง
ซูอี้กำลังดื่มสุรากับเหวินซินจ้าวในลานบ้าน ชายชราตาบอดเดินเข้ามาหา
“เจ้าบาดเจ็บ?”
เพียงมองปราดเดียวซูอี้ก็บอกได้ทันทีว่าชายชราตาบอดมีปัญหาใด เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยตระหนักได้ว่าลมปราณภายในร่างของอีกฝ่ายปั่นป่วนไม่เหมือนเดิม
เฒ่าบอดรีบส่ายหัวและกล่าวว่า “ขอบคุณคุณชายซูสำหรับความกังวล ทว่านี่เป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กน้อยหาใช่เรื่องใหญ่ไม่”
ซูอี้ลุกขึ้นยืนทันที มองชายชราตาบอดหัวจรดเท้าและในที่สุดสายตาของเขาหยุดลงที่ตำแหน่งรอยแผลเป็นที่ด้านข้างของคอ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บโดยคนของโถงหลงลืมใช่หรือไม่?”
ชายชราตาบอดแสดงสีหน้าละอายใจและพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าบังเอิญพบเจอกับคนหัวรั้นผู้หนึ่งเข้าและถูกทำร้ายโดยไม่ทันระวัง”
“หากเป็นบาดแผลธรรมดาทางกายมันควรจะหายแล้ว แต่อาการบาดเจ็บนี้เห็นชัดว่าไม่ธรรมดา”
ซูอี้กล่าว “ยืนให้นิ่ง”
เฒ่าบอดงุนงง
แต่ก่อนที่จะทันได้มีปฏิกิริยา เขาเห็นซูอี้ยื่นมือขวาออกมา ห่อนิ้วเป็นจีบและทิ่มแทงเข้าที่ลำคอตรงแผลเป็น
ชี่! ชี่!
รอยแผลเป็นที่คอของชายชราตาบอดเปิดออกดั่งดอกไม้บาน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีแดงสดเต้นตุบ ๆ แน่นอนว่าการถูกเปิดหนังสด ๆ เช่นนี้ส่งผลให้ความเจ็บปวดปะทุขึ้นรุนแรงทำให้ร่างกายของชายชราตาบอดแข็งค้าง
แต่เขายังจำคำพูดของซูอี้ได้ขึ้นใจตอนนี้จึงไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว
ในขณะเดียวกันนี้ ซูอี้ปลดปล่อยอำนาจแรงดึงลึกลับจากฝ่ามือและนิ้ว ค่อย ๆ ดึงเส้นไหมสีเทาที่เกือบจะโปร่งใสออกมาจากเนื้อของชายชราตาบอด
เส้นไหมสีเทานี้ยาวประมาณหนึ่งฉื่อ โปร่งใสทว่ามีกลิ่นอายอันแปลกประหลาด
ชายชราตาบอดตกตะลึง “นี่มัน!?”
“นี่เป็นสมบัติลับที่เรียกว่า ‘เส้นไหมกระชากวิญญาณ’ ที่มีอยู่ในโถงหลงลืม ของสิ่งนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง มันจะหลบแทรกเข้าไปพัวพันดวงวิญญาณอย่างเงียบ ๆ โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว”
ซูอี้พูดอย่างเรียบเฉย “หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ดวงวิญญาณของเหยื่อผู้นั้นจะถูกควบคุมโดยผู้ใช้สิ่งนี้กลายเป็นหุ่นเชิด”
ชายชราตาบอดกัดฟันกรอด “มิน่าเล่า คนผู้นั้นถึงไม่ไล่ตามข้าปล่อยข้ามาอย่างง่ายดาย ที่แท้มันวางแผนชั่วไว้แก่ข้าแล้วนี่เอง!”
อึดใจถัดมาเส้นไหมสีเทาสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยในสวนน้อยนภาเมฆ
….
ริมแอ่งเกล็ดทองในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“นั่นคือสวนน้อยนภาเมฆ สถานที่ที่ซูอี้อาศัยอยู่อย่างนั้นหรือ?”
สตรีผู้งดงามผิวพรรณขาวกระจ่างในชุดกระโปรงสีดำเลิกคิ้วขึ้นถามด้วยเสียงเบา
เส้นผมของนางนั้นยาวสลวยเงางามประหนึ่งน้ำตก คิ้วและตาของนางโค้งเข้ารูป ใบหน้าได้สัดส่วนไร้ที่ติโดยเฉพาะดวงตาคู่ของนางที่สดใสและชุ่มชื้นราวกับดวงดาราที่ลึกล้ำ ทุกการเคลื่อนไหวของนางนั้นมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ
ทว่ากิริยาและการแสดงออกของนางนั้นสงบนิ่งและสูงส่ง เผยให้เห็นชัดได้ถึงสถานะอันศักดิ์สิทธิ์
“ถูกต้อง”
ตรงข้ามกับหญิงสาว ชายหนุ่มสวมชุดจีนโบราณมองตรงไปยังหญิงสาวด้วยแววตาเหม่อลอย
“ขอบคุณ เจ้าไปได้แล้ว” หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนจะลุกขึ้นและจากไป
ทว่าเมื่อเขาเดินออกจากร้านอาหาร กลับคล้ายว่าเจ้าตัวตื่นขึ้นจากภวังค์ เขามองไปรอบ ๆ และพึมพำอย่างสับสน “ข้ามาที่นี่เพราะเหตุใด?”
ในหัวของเขา ความทรงจำของหญิงสาวในชุดดำได้หายไปอย่างสิ้นเชิง
“ทายาทโคมไฟผีเก็บโลงศพมาปรากฏข้างซูอี้ได้อย่างไร… หรือเป็นไปได้ไหมว่าต้นกำเนิดของซูอี้นั้นเกี่ยวข้องกับภูมิมืดมิดด้วย?”
ภายในร้านอาหารสตรีในชุดกระโปรงสีดำครุ่นคิด
ทันใดนั้นดูเหมือนนางจะรับรู้อะไรได้บางอย่าง ใบหน้างดงามของนางแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน “ชายผู้นั้นทำลายสมบัติลับของข้าได้อย่างไร!?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำยืนขึ้นและร่างของนางกลับกลายเป็นพรายแสงและหายวับไปในทันใด
ในร้านอาหารขนาดใหญ่นี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือเจ้าของร้านพวกเขาทั้งหมดล้วนไม่รู้เลยว่าขณะนี้มีลูกค้าผู้หนึ่งหายลับไปอย่างกะทันหัน
อันที่จริงตั้งแต่ต้นไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีนางนั่งอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก
หลังจากที่สตรีในชุดกระโปรงสีดำออกจากร้านอาหาร นางรีบโผทะยานออกจากเมืองในทันที
นางไม่แม้แต่จะเหลือบมองไปด้านหลังจนกระทั่งนางพ้นจากประตูเมืองจิ๋วติ่ง และไปถึงภูเขาไกล ๆ จากนั้นดวงตาที่งดงามของนางจึงมองไปทางนครหลวงจิ๋วติ่งอีกครั้ง
“ชายชราตาบอดคนนั้นไม่ใช่คนดี และซูอี้ผู้นั้นก็ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน! ประเดี๋ยวเถอะ ข้าจะมาหาพวกเจ้าอีกครั้งเพื่อชำระบัญชีนี้!”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำบ่นในใจก่อนหันกลับหมายจะจากไป
ทว่าทันใดนั้นทั้งร่างของนางแข็งค้างกะทันหัน
นางแลเห็นไม่ไกลจากจุดที่นางยืนอยู่ โดยไม่รู้ว่าเป็นเมื่อใดที่มีร่างสูงของชายผู้หนึ่งกำลังจับจ้องที่ตัวนาง
เสื้อของอีกฝ่ายเป็นสีเขียวประหนึ่งหยก ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายองอาจไร้ผู้ใดเทียบราวกับเขาคือเซียนสวรรค์ผู้ถูกเนรเทศลงมายังโลกปุถุชน
ชายที่นางเห็นขณะนี้คือซูอี้!