บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 73 เถ้าแก่เยวี่ยผู้ใช้ชีวิตไม่ต่างจากสุนัข
ตอนที่ 73 เถ้าแก่เยวี่ยผู้ใช้ชีวิตไม่ต่างจากสุนัข
พวกหยวนลั่วซีรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของจางเยวี่ยนซิงอย่างชัดเจน พวกนางจึงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
คนคนนี้อาจหาญเกินไปแล้ว กล้าดีอย่างไรถึงมาพูดกับท่านเซียนซูเช่นนี้?
แต่หลังจากครุ่นคิดทบทวน พวกนางก็ตระหนักได้ราง ๆ ว่าจางเยวี่ยนซิงอาจจะยังไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของท่านเซียนซู เฉกเช่นเดียวกับเมื่อตอนที่พวกนางพบเขาเป็นครั้งแรก…
เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น ดวงตางดงามของหยวนลั่วซีจึงเผยแววประหม่า และความไม่สบายใจสุดบรรยายก่อตัวขึ้นในใจ
ยามเผชิญหน้ากับท่านเซียนซูครั้งแรก นางทำตัวหยิ่งทะนงยิ่งกว่าจางเยวี่ยนซิง เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ นางก็รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลาจริง ๆ
เฉิงอู้หย่งไอแห้งก่อนอธิบายว่า “นายน้อยจางเข้าใจผิดแล้ว พวกข้าเพียงเดินมากับท่านซะ… นายน้อยซูเท่านั้น”
ขณะสนทนา เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าซูอี้ได้เตือนเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่ควรเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นบนสันเขามารดาภูตผี ดังนั้น เมื่อพูดถึงซูอี้ เขาจึงเปลี่ยนสรรพนามแทนตนจาก ‘ท่านเซียน’ เป็น ‘นายน้อย’ อย่างชาญฉลาด
“จริงหรือ?”
จางเยวี่ยนซิงตกตะลึงราวกับไม่เชื่อสิ่งที่พูดออกมา
“จางเยวี่ยนซิง เจ้าจะสนใจเรื่องระหว่างพวกข้ากับนายน้อยซูไปทำไมกัน? แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
หยวนลั่วซีขมวดคิ้วขณะถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จางเยวี่ยนซิงรีบเผยรอยยิ้มออกมาก่อนตอบว่า “แม่นางลั่วซี ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามาที่เมืองกว่างหลิงเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงไปสอบถามมานิดหน่อยจนทราบว่าเจ้านำใครบางคนไปสันเขามารดาภูตผีเมื่อวาน ดังนั้นข้าก็เลยมารอที่นี่อย่างไรเล่า”
หยวนลั่วซีมองอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเป็นบุตรคนโตของผู้นำตระกูลจาง มีสถานะอันสูงส่ง เจ้าจะมารอข้าเพื่อสิ่งใดกัน? ถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำก็ช่วยหลีกทาง!”
ในมหานครอวิ๋นเหอ ตระกูลหยวนอยู่ในระดับเดียวกับตระกูลจาง ทั้งสองตระกูลต่างอยู่ในสี่ตระกูลมหาอำนาจ
ไม่ว่าจะสถานะหรือพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะ หยวนลั่วซีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจางเยวี่ยนซิงแต่อย่างใดหรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ
เมื่อเผชิญหน้ากับจางเยวี่ยนซิง นางจึงไม่แสดงความสุภาพ
ใบหน้าของจางเยวี่ยนซิงแข็งค้างไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็เผยสีหน้าสับสนออกมา หยวนลั่วซีไม่เคยแสดงท่าทีหงุดหงิดตอนที่เห็นหน้าเขามาก่อนเลย!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เขากำลังจะพูดบางอย่าง แต่สายตาเหลือบไปเห็นว่าหยวนลั่วซีหันศีรษะไปมองซูอี้ แววตาของนางมีร่องรอยความหวาดหวั่นและความนับถือ นางกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า
“ท่านซะ…แค่ก ๆ นายน้อยซู เจ้าอยากเข้าเมืองเพื่อทานอะไรด้วยกันหรือไม่?”
ดวงตาของจางเยวี่ยนซิงพลันหรี่ลง ความสงสัยผุดขึ้นในใจ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
เฉิงอู้หย่งยิ้มเช่นกันก่อนจะกล่าว “อืม เรื่องที่สันเขามารดาภูตผีในครั้งนี้ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของนายน้อยกับเหล่ากัว ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ได้สมุนไพรนั่นมา ตอนนี้พวกเรามาถึงเมืองแล้ว เราอยากจะจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณต่อท่าน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางเยวี่ยนซิงแทบจะอ้าปากด้วยความตกตะลึง
เขารู้ดีว่าเฉิงอู้หย่งคือผู้อาวุโสของตระกูลหยวน สำเร็จระดับการบ่มเพาะอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตรวบรวมลมปราณ
ในด้านสถานะ ถือว่าไม่ด้อยไปกว่าอาสงที่อยู่ข้างเขา
แต่ตอนนี้ แม้แต่เฉิงอู้หย่งก็ยังแสดงความสุภาพกับซูอี้ จางเยวี่ยนซิงจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร?
“ก็ได้” ซูอี้พยักหน้า
ตอนนี้รุ่งสางแล้ว เป็นช่วงเช้าตรู่ ท้องของเขาจึงเริ่มรู้สึกหิว
หยวนลั่วซีพลันเผยรอยยิ้มสดใสและกระตือรือร้นออกมาแล้วกล่าวอย่างมีความสุขว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย รีบไปกันเถอะ ข้าได้ยินมาว่าภัตตาคารรวมเซียนคือภัตตาคารชั้นหนึ่งในเมืองกว่างหลิง ไปที่นั่นกันเถิด!”
“ผู้อาวุโสกัวก็ไปด้วยกันกับพวกเราสิ” เฉิงอู้หย่งยิ้มขณะกล่าวกับกัวปิ่ง
กัวปิ่งรีบประสานมือแล้วกล่าวว่า “นี่นับเป็นวาสนาของชายชราผู้ต่ำต้อยยิ่งนัก!”
หลังจากนั้น กลุ่มคนจึงเดินรอดซุ้มประตูเมืองเข้าไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครให้ความสนใจจางเยวี่ยนซิง
“อาสง ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
คิ้วของจางเยวี่ยนซิงขมวดเข้าหากัน ในใจของเขารู้สึกไม่สบาย ตอนนี้นายน้อยตระกูลจางผู้สง่าถูกเมิน!
“หากไม่นับข่าวที่นายน้อยไปสอบถามมาเมื่อวาน ตอนที่หยวนลั่วซีพบกัวปิ่งที่เป็นคนเก็บสมุนไพร ซูอี้ก็อยู่ที่นั่น จากนั้นพวกเขาก็ร่วมเดินทางไปสันเขามารดาภูตผีด้วยกัน”
อาสงผู้สวมหมวกทรงกลมสีดำครุ่นคิด “เท่าที่ดูสถานการณ์ตอนนี้ คงเป็นซูอี้และกัวปิ่งคนนั้นที่ช่วยหยวนลั่วซีตามหาสมุนไพรที่นางหมายปอง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งกระมัง”
“ใช่แล้ว! ดูท่าข้าจะคิดมากเกินไป!”
จางเยวี่ยนซิงปรบมือราวกับคลายปมในใจได้ หว่างคิ้วที่ขมวดคลายออก เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “อาสง ไปกันเถอะ พวกเราจะตามไปที่ภัตตาคารรวมเซียน!”
เขากลับมามีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงอีกครั้ง
เมื่อเห็นฉากนี้เข้า อาสงจึงอดที่จะเตือนไม่ได้ว่า “นายน้อย หยวนลั่วซีคือบุตรีคนโปรดที่สุดของผู้นำตระกูลหยวน และปู่ของนางที่เป็นถึง ‘จวิ้นอ๋องจิ้งหย่วน’ กู่เฉินเฟิง ท่านจวิ้นอ๋องผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ฉุนเฉียว ว่ากันว่าเขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ ก่อนหยวนลั่วซีจะอายุสิบแปดปี ใครก็ตามที่กล้ารังแกนางจะถูกเขาลงทัณฑ์ด้วยการหักขาอย่างไม่มีละเว้น”
สีหน้าของจางเยวี่ยนซิงนิ่งงัน เขาเหลือบมองขาของตัวเองโดยไม่รู้ตัวก่อนกล่าวว่า “จะกลัวไปไย ข้าแค่จะผูกมิตรกับนางก็เท่านั้น ถ้าเกิดมีโอกาสจับคู่เพื่อหมั้นหมายกันขึ้นมา ข้าก็จะรอจนกว่านางจะอายุสิบแปดปี!”
อาสงกล่าวว่า “แต่ว่านายน้อยขอรับ หยวนลั่วซีถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก มีนิสัยอวดดีหยิ่งทะนง หากจะไล่ตามนาง… ท่านต้องเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้า”
จางเยวี่ยนซิงพยักหน้าก่อนกล่าวด้วยความสนใจว่า “สิ่งที่ข้าชมชอบมากที่สุดก็คือความป่าเถื่อนในตัวนางนี่อย่างไรเล่า มันเหมือนกับม้าป่าพยศ ทำเอาผู้คนเกิดความรู้สึกอยากจะพิชิต…”
อาสงไม่โน้มน้าวอะไรอีก
เขาคือคนรุ่นเก่า ย่อมรู้ว่าคนหนุ่มจะไม่ยอมก้มหัวและย่อท้อต่อการไล่ตามผู้หญิงที่ตนหมายปอง
ภัตตาคารรวมเซียน
เพราะเป็นช่วงเช้าตรู่ มันจึงเปล่าเปลี่ยวและมีแขกไม่มากนัก
แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าหยวนลั่วซี บุตรีคนสุดท้องของตระกูลหยวนแห่งมหานครอวิ๋นเหอมาทานมื้อเช้า เถ้าแก่ภัตตาคารรวมเซียน เยวี่ยเทียนเหอ จึงรีบลุกขึ้นจากอ้อมแขนขาวราวหิมะอันอ่อนนุ่มของภรรยาน้อยตนเอง เพื่อมาถึงภัตตาคารรวมเซียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อมาถึง เขาจึงรีบสั่งให้คนรับใช้นำสุราที่บ่มมานานหลายปีออกมา จากนั้นเยวี่ยเทียนเหอก็เดินตามหลังสาวใช้ที่ถือถาดอาหาร ขึ้นไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
ด้วยรอยยิ้มกระตือรือร้นบนใบหน้า เขากำลังจะก้มหัวเพื่อแนะนำตัวเอง แต่กลับต้องตกตะลึงยกใหญ่แล้วอุทานด้วยความประหลาดใจว่า
“ซ…ซูอี้?”
เขาเห็นว่ามีเพียงสี่คนอยู่ในห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ มีซูอี้ กัวปิ่ง หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่ง
อีกทั้งซูอี้ยังนั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะด้วยท่าทีสงบนิ่ง!
ฉากนี้แทบทำให้คางของเยวี่ยเทียนเหอสั่นสะท้าน
แน่นอนว่าเขารู้เกี่ยวกับซูอี้ เขารู้ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ลูกเขยธรรมดาของตระกูลเหวิน เจ้าเมืองฟู่ซานและเนี่ยเป่ยหู่ ผู้บังคับบัญชากองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมือง ล้วนให้ความเคารพชายหนุ่มผู้นี้
ที่งานประลองประตูมังกรเมื่อไม่กี่วันก่อน ความจริงที่ซูอี้ชนะอันดับหนึ่งในงานประลองได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองกว่างหลิง เยวี่ยเทียนเหอจะไม่รู้ได้อย่างไร?
แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าบุตรีคนสุดท้องจากตระกูลหยวน ผู้มีอำนาจสูงล้ำในมหานครอวิ๋นเหอ กลับเป็นผู้มาสร้างความบันเทิงให้ซูอี้ในช่วงเช้านี้!
บัดนี้ เยวี่ยเทียนเหอลืมคำพูดที่เตรียมจะกล่าวออกมาทั้งหมด
“เจ้าเป็นใคร?”
หยวนลั่วซีถามขึ้น นางไม่รู้ว่าเยวี่ยเทียนเหอเป็นผู้ใด
เยวี่ยเทียนเหอกระวนกระวายใจก่อนรีบก้มหัว เขาเผยรอยยิ้มออกมาแล้วตอบว่า “คุณหนูหยวน ข้าน้อยคือเถ้าแก่ภัตตาคารรวมเซียนแห่งนี้ หลังจากได้ยินมาว่าท่านมาที่นี่ ข้าจึงรีบแล่นนำสุราชั้นดีมามอบให้กับท่านเพื่อแสดงความเคารพจากใจจริง”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็แสดงเหยือกสุราในมือ
หยวนลั่วซีพ่นลมออกจมูกก่อนถามว่า “เจ้าเองก็รู้จักท่านซะ… แค่ก ๆ นายน้อยซูด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เยวี่ยเทียนเหอรีบตอบว่า “นายน้อยซูเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่น ข้าจะไม่รู้จักนายน้อยซูได้อย่างไร? เขาคือคนดังอันดับหนึ่งในเมืองกว่างหลิงของพวกเรา ข้าน้อยผู้แซ่เยวี่ยชื่นชมในตัวเขายิ่งนัก…”
เขารีบชื่นชมซูอี้อย่างกระตือรือร้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาและซูอี้มีความสัมพันธ์อันดี
เมื่อเห็นสีหน้าเฉยชาของซูอี้ เฉิงอู้หย่งก็พอจับเบาะแสได้ก่อนไอแห้งแล้วขัดว่า “เอาล่ะ เจ้าลงไปก่อน”
เยวี่ยเทียนเหอค้อมกายยอมรับทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก่อนจากไปก็กล่าวทักทายซูอี้ว่า “นายน้อยซู หากท่านต้องการสั่งสิ่งใด ขอเพียงแค่เอ่ยวาจาเท่านั้น ข้าน้อยจะรออยู่ชั้นล่างเพื่อฟังคำสั่งของท่านทุกเมื่อ”
“เจ้าคนนี้ช่างลื่นไหลเสียจริง” ซูอี้หัวเราะ
คนอื่นหัวเราะตาม
โดยรวมแล้ว บรรยากาศการรับประทานอาหารเป็นไปได้ด้วยดี
ที่ด้านนอก ก่อนจะกลับไปยังโต๊ะรับรองชั้นหนึ่ง เยวี่ยเทียนเหอยังอยู่ในภวังค์ ในใจมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
ซูอี้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลหยวนอันสูงส่งได้สำเร็จตั้งแต่เมื่อใดกัน?
“เถ้าแก่! ห้องส่วนตัวห้องใดที่แม่นางหยวนลั่วซีจากตระกูลหยวนอยู่ ณ ตอนนี้หรือ?”
เสียงแจ่มชัดพลันดังขึ้น
เยวี่ยเทียนเหอเบนสายตาไปมอง เมื่อเห็นคนที่กำลังเข้ามา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งกายอย่างนอบน้อมพร้อมเผยรอยยิ้มประจบแล้วกล่าวว่า “เป็นนายน้อยจางนี่เอง!”
แน่นอนว่าผู้ที่เดินเข้ามาคือจางเยวี่ยนซิง
จางเยวี่ยนซิงเมื่อได้ยินคำทักทายนี้ เขาอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ “เจ้าจำข้าได้งั้นหรือ?”
เยวี่ยเทียนเหอเผยรอยยิ้มอบอุ่นก่อนตอบว่า “เมื่อวาน ข้าน้อยไปส่งสุราที่จวนเจ้าเมือง ทำให้โชคดีที่ได้พบเห็นนายน้อยจางจากระยะไกล ๆ ในตอนนั้นท่านดูสง่ามากนัก เป็นชายหนุ่มที่ยากจะลืมเลือน ดังนั้นข้าจึงจำท่านได้ทันทีที่ท่านปรากฏ”
คำประจบเช่นนี้ทำให้จางเยวี่ยนซิงรู้สึกอารมณ์ดี จากนั้นกล่าวว่า “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว พาข้าไปหาแม่นางลั่วซีเสียที”
เยวี่ยเทียนเหอรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อนำทาง
จางเยวี่ยนซิงและอาสงเดินตามไป
ก่อนถึงห้องส่วนตัว จางเยวี่ยนซิงกระชับเสื้อผ้าขณะครุ่นคิดคำพูดไว้ล่วงหน้าก่อนจะเดินเข้าไป
จากนั้นเขาผลักประตู เผชิญกับสายตาประหลาดใจของพวกหยวนลั่วซี เขาประสานมือขอโทษพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นกล่าวว่า
“ลั่วซี เมื่อครู่ข้าเข้าใจผิดนายน้อยซูไป ดังนั้นข้าจึงมาขอโทษเขา เจ้าอย่าเพิ่งผลักไสข้าจะได้หรือไม่?”
นี่คือคำพูดที่เขาเตรียมเอาไว้ โดยใช้ซูอี้เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ว่าจะถูกหยวนลั่วซีปฏิเสธจนไม่ได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้
แน่นอนว่าสีหน้าของหยวนลั่วซีอ่อนลง
นี่ทำให้จางเยวี่ยนซิงภาคภูมิใจกับความฉลาดหลักแหลมของตนเองมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีร่องรอยของความหงุดหงิดที่ยากจะอธิบายอยู่
เหตุใดต้องพูดจาให้ซูอี้ดูดีต่อหน้าลั่วซีด้วย?
“เจ้าบอกว่าอยากขอโทษข้าเช่นนั้นหรือ?” ซูอี้มองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด
จางเยวี่ยนซิงถือโอกาสก้าวเข้ามาด้านในห้องและจัดแจงหาที่นั่งให้กับตัวเองและอาสง จากนั้นก็ส่งยิ้มให้แล้วตอบกลับว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจผิดไป ข้านึกคิดไปว่าเมื่อครู่นายน้อยซูมีความบาดหมางกับตระกูลหยวนที่หน้าประตูเมือง แต่คาดไม่ถึง นายน้อยซูกลับกลายเป็นผู้ช่วยลั่วซี…”
เขาอธิบายขณะหยิบจอกสุราแล้วกล่าวว่า “ข้าขอลงโทษตัวเองด้วยสามจอกนี้ก็แล้วกัน!”
หลังจากดื่มเสร็จ จางเยวี่ยนซิงพลันเหลือบไปเห็นเยวี่ยเทียนเหอนอกห้องส่วนตัว เขาจึงอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “เจ้าไม่ต้องมาขยิบตาเลย ปิดประตูแล้วออกไปจากตรงนี้ซะ!”
เยวี่ยเทียนเหอสั่นสะท้านไปทั่วร่างก่อนรีบปิดประตูด้วยรอยยิ้มขมขื่น จากนั้นจึงจากไป
การถูกขับไล่ติดกันถึงสองครั้งสองคราทำให้จิตใจของเขาเหี่ยวเฉา ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ทำเอาเดินโซเซเล็กน้อยจนกระทั่งมาถึงโต๊ะรับรองชั้นหนึ่ง
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ สถานะของซูอี้ตอนนี้น่าตะลึงพรึงเพริดนัก ได้รับการปฏิบัติในฐานะแขกอันทรงเกียรติโดยคุณหนูใหญ่ตระกูลหยวน ไหนจะนายน้อยตระกูลจางอีกคนก็มากล่าวขอโทษด้วยตัวเอง ซูอี้กลายเป็นคนยิ่งใหญ่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
เยวี่ยเทียนเหอไม่เข้าใจ
“ข้าพยายามอย่างหนักมาหลายสิบปี แต่ก็หาทางกลายเป็นได้แค่เถ้าแก่ภัตตาคารรวมเซียนเท่านั้น เจ้าเด็กคนนี้อายุไม่เท่าใด แต่กลับมีความสัมพันธ์กับสองอำนาจสูงสุดในมหานครอวิ๋นเหอ… บัดซบสิ้นดี… ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!”
เทียบกับซูอี้แล้ว เยวี่ยเทียนเหอรู้สึกว่าเขาใช้ชีวิตไม่ต่างจากสุนัขในตลอดหลายปีที่ผ่านมา