บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 731 ซูเสวียนจวิน
ตอนที่ 731: ซูเสวียนจวิน?
ตอนที่ 731: ซูเสวียนจวิน?
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างครุ่นคิด “ประสบการณ์ชีวิตของเขาจะแปลกพิสดารเพียงใดเชียว?”
ในมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ ซูอี้เป็นตัวตนเจิดจรัสท้าทายอำนาจสวรรค์ยิ่งนัก และวีรกรรมเก่าก่อนของเขาก็คือตำนานที่ถูกจารึกในโลกา
เพียงเท่านี้ย่อมเพียงพอจะดึงดูดความสนใจจากเหล่ายอดฝีมือในโถงหลงลืมได้แล้ว
ทว่าไม่ว่าจะมองเช่นไร พื้นเพต้นกำเนิดของซูอี้ก็ช่างเล็กจ้อย ไม่จำเป็นต้องจดจำ
เขามาจากตระกูลแห่งหนึ่งในเขตการปกครองเล็ก ๆ อันห่างไกล บิดาของเขาซูหงหลี่สังกัดเพียงอาณาจักรเล็ก ๆ ส่วนมารดาของเขาเยี่ยอวี่เฟยได้สูญสิ้นไปนานแล้ว
ทุกอย่างดูปกติดี
ยิ่งกว่านั้น เรื่องที่ซูอี้ไม่ใช่อสุรกายเฒ่าผู้สิงสถิตร่าง และไม่ใช่ผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณซึ่งรอดจากการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อนก็เป็นที่ชัดเจนในโลกหล้า
ประสบการณ์ชีวิตของเขาไร้สิ่งใดควรค่าแก่การจดจำ
เพราะเหตุนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนจึงงุนงงยิ่งนักเมื่อนักบวชลำดับเก้าและเสวี่ยเย่คิดว่าสิ่งที่ดึงความสนใจจากบรรพชนของนางได้คือภูมิหลังของซูอี้
นักบวชลำดับเก้าปรับสภาพจิตใจ แววตาของเขาละเอียดอ่อน “ยิ่งต้นกำเนิดเรียบง่ายธรรมดา มันยิ่งผิดปกติเมื่อมาปรากฏกับบุคคลรุ่นหลังเยี่ยงซูอี้”
เขาเริ่มวิเคราะห์ “อย่าลืมนะว่าเมื่อปีก่อน เขายังเป็นเพียงเด็กเหลือขอในตระกูล การฝึกฝนถูกทำลาย กลายเป็นเขยซึ่งถูกทุกคนข่มเหง…”
“ทว่านับแต่วันที่สองเดือนสองเมื่อปีก่อน ซูอี้ก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน และเริ่มผงาดสู่อำนาจในมหาทวีปคังชิงอย่างรวดเร็ว!”
“ในปีที่ผ่านมา เขาได้รับความเคารพในหมู่บุคคลรุ่นหลังแห่งต้าโจว แข็งแกร่งกลบรัศมีสำนักวงเดือนขุมอำนาจผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย และยังคานอำนาจกับสามสำนักใหญ่แห่งต้าฉินได้ด้วย…”
“จากนั้น เขาก็มายังต้าเซี่ย…”
เสียงทุ้มต่ำของนักบวชลำดับเก้าสะท้อนในห้องลับ แทบจะร่ายวีรกรรมตำนานของซูอี้ออกมาทีละข้อ
แม้ว่าชุยจิ๋งเหยี่ยนและเสวี่ยเย่จะเคยได้ยินข่าวในทำนองเดียวกันนี้มามากแล้ว แต่พวกเขาทั้งสองก็ตั้งใจฟัง ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญแม้เพียงน้อย
“จวบจนยามนี้ แม้เขาจะฝึกฝนมาจนถึงขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ แต่เขาก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลแรกที่ฝึกฝนมาจนถึงจุดนี้ได้ในทั่วมหาทวีปคังชิงเมื่อมองจากเวลาที่เขาเริ่ม!”
เมื่อกล่าวถึงยามนี้ นักบวชลำดับเก้าก็เอ่ยสรุป “และความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เริ่มขึ้นนับแต่วันที่สองเดือนสองปีก่อนเท่านั้น เพิ่งผ่านไปปีเดียวกับอีกนิดหน่อยเมื่อถึงยามนี้!”
หลังจากปีเศษ ๆ ชายหนุ่มจากพื้นที่ห่างไกลผู้สูญเสียการฝึกฝนของตนกลับทะยานขึ้นเปล่งแสงเจิดจรัสบนฟ้าเยี่ยงดาวตกเหนือนภาทวีปคังชิง และกลายเป็นท่านเทพเซียนซูผู้โด่งดังทั่วโลกหล้า
ไม่ต่างอันใดกับปาฏิหาริย์!
หากย้อนกลับไปมองตลอดประวัติศาสตร์ในภูมิมืดมิดก็คงไม่อาจหาผู้ใดมาเทียบได้!
“เมื่อเผชิญกับความจริงอันเป็นดั่งปาฏิหาริย์ไม่น่าเชื่อมากมายเพียงนี้ ใครเล่ายังกล้าคิดอีกว่าที่มาของซูอี้จะแสนธรรมดา?”
นักบวชลำดับเก้าถามอย่างมีวาทศิลป์
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและเสวี่ยเย่ต่างเงียบงัน
“ยิ่งกว่านั้น อย่าลืมเชียวว่าผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพปรากฏขึ้นข้างกายซูอี้”
นักบวชลำดับเก้ากล่าวอีกครั้ง “ในภูมิมืดมิดของเรา บรรพชนของสายเลือดโคมผีเก็บโลงศพคือ ‘ผีเฒ่าแบกโลง’ ตัวตนลึกลับอันแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งและความสามารถของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านยมราชพิพากษาเลย”
“ทายาทของผีเฒ่าแบกโลงไม่เพียงปรากฏในมหาทวีปคังชิง แต่ยังมาอยู่ข้างกายซูอี้อีก นี่คือความผิดปกติอีกข้อ!”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็อดกล่าวอย่างตกใจระคนมึนงงไม่ได้ว่า “หรือประสบการณ์ชีวิตของคนผู้นั้น… จะเกี่ยวพันกับภูมิมืดมิดของเรา?”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่”
เสวี่ยเย่โพล่งขึ้น “อย่าลืมว่าเขาล่วงรู้ถึงมรดกและเคล็ดวิชาของโถงหลงลืมของเราดีมาก กระทั่งท่านยมราชพิพากษายังดูเหมือนจะสังเกตเห็นเขาแล้ว หาไม่ คงไม่มีทางที่ท่านจะให้จิ๋งเหยี่ยนนำจี้หยกนั่นมามหาทวีปคังชิงกับเราในครานี้แน่”
“นอกจากนั้น เชื้อสายของโคมผีเก็บโลงศพยังมาจากภูมิมืดมิดเช่นกัน เบาะแสเหล่านี้ต่างชี้ว่าที่มาของซูอี้มีความเกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับภูมิมืดมิดของเรา!”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ปริศนาที่ซุกซ่อนท่ามกลางความผิดปกติก็ดูจะค่อย ๆ ก่อเป็นรูปร่าง
ทว่าไม่ว่านักบวชลำดับเก้าหรือเสวี่ยเย่ต่างงุนงงมากขึ้นทุกที
พวกเขาเหมือนกับได้ค้นพบความลับที่ซุกซ่อนท่ามกลางหมอกหนาสีดำ แม้ว่าเบาะแสมากมายของความลับนั้นจะชี้ไปยังภูมิมืดมิด ทว่าความจริงของมันก็ยังสูงส่งเกินกว่าที่ความสามารถของพวกเขาจะชี้วัด
“ในภูมิมืดมิดของเราไม่มีตระกูลใดใช้แซ่ซู”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนขมวดคิ้ว ครุ่นคิดหนักและกล่าวว่า “และชายซึ่งบรรพชนของข้าให้ความสนใจก็มีแซ่ซู…”
กล่าวถึงยามนี้ ดวงตาคู่งามของชุยจิ๋งเหยี่ยนก็เบิกกว้าง กล่าวออกมาอย่างทึ่มทื่อ “หรือจะเป็นซูเสวียนจวิน!?”
ซูเสวียนจวิน!
นามนี้เป็นดั่งคำต้องห้าม กระตุ้นปลุกเร้าเสียจนทำให้ทั้งนักบวชลำดับเก้าและเสวี่ยเย่ตัวสั่นเทิ้มราวกลัวจับใจ
ทันใดนั้น ทั้งสองก็ส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียง ปฏิเสธโดยไร้ลังเล
นักบวชลำดับเก้ากล่าวอย่างหนักแน่น “ไม่มีทาง!”
เสวี่ยเย่กล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ “จิ๋งเหยี่ยน อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ กล่าวตรง ๆ มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย เป็นเรื่องสยองมากกว่า”
ซูเสวียนจวิน
เพียงเอ่ยนามก็แทนบุคคลสูงสุดผู้เป็นดั่งตำนาน
เขาคือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินหนึ่งเดียวในโลกา
เป็นนายแห่งหมื่นวิถีอันปกคลุมสวรรค์
เป็นเกียรติภูมิแห่งจักรพรรดิในสายตาทุกผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้า
ในสายตาบุคคลใหญ่โตในภูมิมืดมิด เขาคือบุคคลอันดับหนึ่งในวิถีดาบผู้ไร้เทียมทาน!
นานแสนนานมาแล้ว ครั้งหนึ่งซูเสวียนจวินเคยบุกเดี่ยวสู่ภูมิมืดมิด หนึ่งคนหนึ่งดาบสยบเหล่าคนใหญ่คนโตศิโรราบไม่อาจแผลงฤทธิ์!
จวบจนยามนี้ วีรกรรมตำนานของซูเสวียนจวินก็ยังคงแพร่สะพัดไปในภูมิมืดมิด
“เรื่องสยองอันใดกัน?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างไม่ชอบใจ “บุคคลผู้เดียวซึ่งบรรพชนของข้าให้คุณค่าก็คือบุคคลในตำนานเยี่ยงซูเสวียนจวิน และมีเพียงเขาที่ทำให้สายเลือดโคมผีเก็บโลงศพบูชาดุจดั่งพระเจ้า และมีเพียงซูเสวียนจวินเท่านั้นที่จะล่วงรู้มรดกและเคล็ดวิชาของโถงหลงลืมของเราราวหลังมือตนเอง!”
“ยิ่งกว่านั้น แม้จะมีคนมากมายบนโลกที่ใช้แซ่ซู ทว่ามีเพียงซูเสวียนจวินผู้เดียวที่ตรงตามทุกเงื่อนไขด้านบน!”
นักบวชลำดับเก้าและเสวี่ยเย่ฟังแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
นักบวชลำดับเก้าอธิบายอย่างอดทน “จิ๋งเหยี่ยนเอ๋ย ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินสิ้นไปแล้วเมื่อห้าร้อยปีก่อน เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วในภูมิมืดมิด ยิ่งกว่านั้น เทียบกับปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ซูอี้ยังอ่อนแอกว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินมาก ไม่ใช่หนึ่งหรือสองขอบเขตเท่านั้น กระทั่งฐานะและตัวตนยังต่างกันโดยสิ้นเชิงด้วย”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนส่ายหน้ากล่าว “เจ้าเข้าใจข้าผิด ข้าสงสัยว่าซูอี้อาจเป็นการเวียนวัฏสงสารของซูเสวียนจวินต่างหาก!”
เวียนวัฏสงสาร!
นักบวชลำดับเก้าและเสวี่ยเย่เปลือกตากระตุกอย่างรุนแรง
เสวี่ยเย่ส่ายหน้าและกล่าวคำทันที “ไม่มีทาง ความลับแห่งวัฏสงสารอยู่ในภูมิมืดมิดของเรา และยังเหมือนดั่งตำนาน แทบไม่มีผู้ใดนับแต่บรรพกาลทำได้เลย”
“เมื่อหลายหมื่นปีก่อน ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินก็เคยลงมายังภูมิมืดมิดเพื่อไขความลับแห่งวัฏสงสาร แต่สุดท้ายเขาก็พลาดหวัง”
นักบวชลำดับเก้าเองก็กล่าวว่า “ลือกันว่า ผู้ใดก็ตามที่สามารถข้ามทะเลทุกข์ไปยังอีกฟากฝั่งจะได้พบความลับแห่งวัฏสงสาร ทว่าทุกผู้ก็รู้ดีว่าทะเลทุกข์นั้นไร้ขอบเขต! แม้แต่บุคคลผู้เก่งกาจในขอบเขตจักรพรดิยังยากจะรอดชีวิตกลับมาจากกลางทะเลทุกข์ได้ อย่าว่าแต่ไปให้ถึงอีกฟากฝั่งทะเลทุกข์เลย”
หลังหยุดพูดไปครู่หนึ่ง นักบวชลำดับเก้าก็หันไปกล่าวกับสตรีเพียงคนเดียวในห้องว่า “เรื่องสำคัญที่สุดก็คือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินตายไปแล้วเมื่อห้าร้อยปีก่อน แม้เขาจะเวียนวัฏสงสารจริง ๆ เขาก็ควรอายุห้าร้อยปีแล้ว จะเป็นซูอี้ ชายหนุ่มอายุสิบแปดไปได้เช่นไร?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็ตระหนักทันทีว่าการคาดเดาของนางมีบางอย่างผิดปกติ ซึ่งก็ดูจะสมเหตุสมผล ทว่าไม่อาจทนการพินิจอย่างละเอียดได้
นางขมวดคิ้วพึมพำ “หากเขาไม่ใช่ซูเสวียนจวิน เช่นนั้นเขาจะมีพื้นเพใดได้?”
“บางทีอาจมีเพียงท่านยมราชพิพากษาที่รู้คำตอบ”
นักบวชลำดับเก้ากล่าว “ภายหน้าเมื่อเจ้ากลับภูมิมืดมิด จิ๋งเหยี่ยน เจ้าสามารถไปถามด้วยตนเองได้ และเจ้าจะได้รู้ความจริง”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนมุ่ยหน้า “มีเพียงทางนั้นทางเดียวแล้ว”
เสวี่ยเย่พลันกล่าวขึ้น “บางทีก็อาจมีอีกหนึ่งทาง หากเจ้าสามารถติดต่อและล้วงข้อมูลบางอย่างจากซูอี้ได้ เจ้าก็จะรู้ที่มาของเขาได้เช่นกัน”
ดวงตาของชุยจิ๋งเหยี่ยนเปล่งกระกาย “เป็นความคิดที่ดี”
นักบวชลำดับเก้าครุ่นคิด “ที่มาของคนผู้นี้ประหลาดนัก ร่างเต็มไปด้วยปริศนา ไม่ว่าอย่างไรเราก็อย่าเป็นศัตรูกับเขา หากต้องติดต่อด้วย ก็อย่าได้มีจิตมุ่งร้าย”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวอย่างแค้นเคือง “นักบวชลำดับเก้า เช่นนั้นที่ข้าถูกปล้นโอสถนทีปรภพรวมศูนย์ไปหกเม็ดก็เป็นโมฆะไปในยามนี้ด้วยหรือ?”
นักบวชลำดับเก้าหัวเราะ “เราสามารถใช้มันเป็นโอกาสในการติดต่อซูอี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ในเมื่อเขารู้จักจี้หยกที่ท่านยมราชพิพากษาสร้างขึ้น มันก็เป็นไปได้นักว่าเขาจะเป็นบุคคลที่ท่านยมราชพิพากษามองหา และไม่ใช่ศัตรูของเจ้านะจิ๋งเหยี่ยน”
ดวงตาคู่งามของชุยจิ๋งเหยี่ยนสะท้านไหว ครู่ต่อมานางจึงตอบ “ก็จริง…”
“สามวันจากนี้ แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมายังมหาทวีปคังชิงแน่นอน เมื่อเราคว้าเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงได้ ก็ไปหาซูอี้กัน!”
นักบวชลำดับเก้าตัดสินใจ
…
เวิ้งเก้าดารา
มหาพฤกษาซึ่งหยั่งรากในสุญญะ กิ่งก้านสาขาอันเต็มไปด้วยซากดาราเต็มไปด้วยสัญญาณการผุพังเหี่ยวเฉาแล้ว
กระทั่งส่วนลำต้นของมหาพฤกษายังปรากฏรอยร้าวอันแสนน่าตกใจ ดูจะพร้อมแหลกสลายพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
“นกกระจอกน้อย เราควรไปได้แล้ว”
อาคังยืนบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง พลางกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงประดุจเมฆหมอก ผมยาวสีขาวหิมะของนางนุ่มสลวยยาวสยาย คู่เท้าเปลือยเปล่าดั่งหยก เบื้องหลังนางปรากฏเงาที่ดูเหมือนน้ำแข็ง ซึ่งทำให้ร่างอรชรของนางดูลึกลับงดงามยิ่งกว่าเดิม
ที่ข้างกิ่งไม้ นกกระจอกสีเทาตัวหนึ่งยืนเงียบอยู่นาน ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะไปนำกระดูกของเจ้าวานรน้อยไปด้วย”
กล่าวจบ มันก็บินมายังแผ่นดินซึ่งลอยอยู่ท่ามกลางสุญญะ
ที่แห่งนั้นมีหลุมศพหนึ่งตั้งเดียวดาย จารึกข้อความ ‘สุสานแห่งหยวนหมอเทียน’ ไว้บนป้ายศิลา
หลุมศพนี้ถูกสร้างขึ้นโดยราชันย์ปีศาจพระสุเมรุหยวนหมอเทียนยามเมื่อซูอี้ออกจากที่แห่งนี้
ด้วยหนึ่งสะบัดโบกปีกของนกกระจอกสีเทา สุสานก็เปิดออกโดยง่าย มันใช้เคล็ดวิชาดึงร่างของหยวนหมอเทียนออกมา ผนึกไว้ในกล่องหินและนำจากไป
“อาคัง เราจะไปที่ใดกันหรือ?”
นกกระจอกสีเทาถาม
“ข้าอยากพบสหายเต๋าซู”
อาคังตอบเบา ๆ
นางวางแผนทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
นกกระจอกสีเทาถาม “เจ้าจะขอเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจากเขาหรือ?”
อาคังส่ายหน้า “มีเพียงตัวตนเยี่ยงสหายเต๋าซูเท่านั้นที่จะเก็บเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงไว้ได้ การที่ข้าอยากพบเขาครานี้ก็เพื่อถามไถ่บางอย่างเท่านั้น”
“ไปกันเถิด”
นางกล่าวจบก็ก้าวจากไป
นกกระจอกสีเทารีบพุ่งไปเกาะที่บ่าของนาง
—————————