บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 732 ดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 732 ดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน
ตอนที่ 732: ดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน
ตอนที่ 732: ดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน
วันที่สี่เดือนสี่
ทั่วหล้านภากาศเปลี่ยนผันกะทันหัน เห็นได้ชัดว่านี่คือยามกลางวันแสก ๆ ทว่าหมู่ดาวกลับปรากฏพร่างพรายเหนือมหาทวีปคังชิง
ดารากะพริบวูบไหว เวหาตกสู่ความมืดมิดเยี่ยงพลบค่ำ
บรรยากาศหดหู่ชวนใจหายผุดขึ้นจากทุกซอกมุมในมหาทวีปคังชิง
ดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน!
สิ่งนี้กระตุ้นความสนใจทุกผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้า ขุมอำนาจต่าง ๆ อันกระจายตัวทั่วมหาทวีปคังชิงเตรียมพร้อมอย่างประหม่า
“ในที่สุด แสงสว่างแห่งโลกกว้างก็จะมาแล้ว…”
ผู้เฒ่าสักคนหนึ่งพึมพำด้วยสีหน้าซับซ้อน
ไม่ใช่เพียงแสงสว่างแห่งโลกกว้าง แต่ยังทำให้โลกถลำสู่ความโกลาหลไร้ประมาณ!
“ในภายหน้า โลกหล้าจะเป็นของเราแน่!”
คนรุ่นเยาว์บางผู้ยิ้มเหยียด เปี่ยมด้วยความหวัง
สำหรับพวกเขา กลียุคสร้างวีรชน และกลียุคก็เกิดขึ้นในยุคของพวกตน!
การมาของแสงสว่างแห่งโลกกว้างยังหมายความด้วยว่ารูปแบบแห่งโลกาจะถูกสับเปลี่ยน
เมื่อรูปแบบปัจจุบันพังทลายล่มสลาย ความปั่นป่วนก็จะชูคอสำแดงฤทธา!
…
ตระกูลหวนเผ่ามาร
“ในวันแรกเริ่มแสงสว่างแห่งโลกกว้าง ต้นกำเนิดแห่งคังชิงจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังกระเซ็นฝอยคืนสู่โลกหล้า”
“สำหรับยุคสมัยของข้า แสงสว่างแห่งโลกกว้างนี่คือมหาลาภแรกที่สามารถพบพาน แต่มิอาจวอนขอ”
“ภายหน้า ปราณวิญญาณแห่งโลกาอาจเติบโตรวดเร็ว แต่จะไม่มีเหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดซ้ำสองอีกต่อไป”
“ดังนั้น เราต้องคว้ามันไว้ให้มั่น!”
หวนเทียนตู้ในชุดผ้ากระสอบและเท้าเปล่ายืนอยู่บนสนามเต๋าขนาดยักษ์อันมีรัศมีหลายพันจั้ง ไพล่มือไว้เบื้องหลังพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
ไม่ไกลจากลานนัก มีกลุ่มยอดฝีมือจากตระกูลหวนยืนอยู่
เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของหวนเทียนตู้ แต่ละคนต่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นกระตือรือร้น
“รอคอยและเตรียมการ เมื่อพิรุณแสงส่องหล้าปรากฏ ข้าจะเปิดค่ายกลในลานเพื่อเก็บพลังมหาวิถีให้พวกเจ้าด้วยตนเอง”
หวนเทียนตู้เบือนสายตาไปมองเหล่ายอดฝีมือจากตระกูลหวน และกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “ข้าหวังเพียงว่าเมื่อถึงเวลา เราจะสามารถเพิ่มตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณที่แท้จริงให้ตระกูลหวนของเราได้อีกกลุ่ม!”โนเวลพีดีเอฟ
หมื่นปีนั้นยาวนานเกินไป จึงต่อสู้เพียงวันนี้!
ในฐานะผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลหวนเผ่ามาร หวนเทียนตู้รู้ดีว่ายามแสงสว่างแห่งโลกกว้างปรากฏขึ้น สิ่งที่สามารถชี้วัดการเรืองอำนาจและล่มจมของขุมอำนาจต่าง ๆ อย่างเที่ยงแท้ก็คือพลังของตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
และตระกูลหวนเผ่ามารก็เตรียมการเพื่อรอคอยวันนี้มาอย่างเต็มที่แล้ว
…
ฉากคล้าย ๆ กันนี้ไม่เพียงปรากฏในขุมอำนาจโบราณเช่นคีรีดาบเมฆาเร้น สำนักผลาญตะวัน สำนักฌานกระจ่างจิต และตระกูลตงกัวเท่านั้น
มันยังเกิดขึ้นในขุมอำนาจจากต่างโลกต่าง ๆ เช่นหอดาบโคจรสวรรค์ สำนักวิญญาณมิติกว้าง และสำนักมารแปรดาราด้วย
แสงสว่างแห่งโลกกว้างกำลังมา ในฐานะสุดยอดขุมอำนาจใหญ่ในโลกหล้า พวกเขาย่อมเตรียมการมาอย่างเหมาะสมเพื่อวันนี้อยู่แล้ว!
ทุกฝ่ายต่างรู้ว่าเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างเปิดฉาก มีเพียงการเพิ่มจำนวนตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากฝ่ายเดียวกันเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถอยู่ในสถานะได้เปรียบในภายภาคหน้าต่อไปได้
ดังนั้น เพื่อที่จะแย่งชิง ‘พิรุณแสงส่องหล้า’ นี้ ขุมอำนาจใหญ่ทุกแห่งจึงแทบไม่ลังเลจะใช้ทุกทรัพยากรและอำนาจที่มี
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อใช้ ‘ชะตาฟ้า’ สร้างตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณอันสามารถรับมือมหาภารตะนี้ได้!
ในขณะเดียวกัน ยังมีขุมอำนาจสูงสุดจากโลกต่าง ๆ มากมายซึ่งกบดานเงียบแสนนานอยู่ในมหาทวีปคังชิง รอคอยการล่ามหาลาภแห่งมหาทวีปคังชิงนี้
เช่นโถงหลงลืมและตระกูลเยี่ยเป็นต้น
“ดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในสิบสองชั่วยาม ต้นกำเนิดจะระเบิดกลายเป็นพิรุณแสงส่องหล้า!”
นักบวชลำดับเก้าร่างผอมแห้งกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “ต้าเซี่ยคือหัวใจแห่งมหาทวีปคังชิง เจ้าจะได้รับพลังจากที่มาแห่งมหาวิถีที่นั่นมากที่สุด”
“ขุมอำนาจใหญ่ต่าง ๆ จะแห่กันไปรบแย่งชิงราวฝูงฉลามสัมผัสเลือดเป็นแน่”
กล่าวถึงตรงนี้ นักบวชลำดับเก้าก็หันไปกล่าวกับเสวี่ยเย่ผู้อยู่ข้างกายว่า “เมื่อถึงเวลานั้น ให้เจ้าควบคุม ‘โคมเรือวิญญาณข้ามนที’ นี้เพื่อคว้าเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงเสีย”
เสวี่ยเย่พยักหน้า ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ด้วยสมบัตินี้ ขอเพียงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงปรากฏ ข้าจะทุ่มสุดตัวเพื่อให้มันมาอยู่ในมือข้าแน่”
โคมเรือวิญญาณข้ามนที
สมบัติวิญญาณต้นกำเนิดแห่งโถงหลงลืม ก่อกำเนิดจากห้วงลึกในแม่น้ำหลงลืม มีอำนาจวิเศษเฉพาะในการดึงดูดปราณจิตวิญญาณจากทั่วสารทิศและรวบรวมปราณมหาวิถี
“ขอเพียงเจ้าได้เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมาไว้ในมือ เจ้าจะเป็นผู้ถือครองมหาลาภอันยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาทวีปคังชิง”
ดวงตาของนักบวชลำดับเก้าทอแสงแรงกล้า “นี่คือมหาลาภที่กระทั่งตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิยังใฝ่หา หากไม่ใช่เพราะตัวตนเหล่านั้นไม่อาจมายังโลกนี้ได้ ข้าจะมีโอกาสได้แทรกแซงหรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนซึ่งอยู่ด้านข้างอดถามขึ้นไม่ได้ “นักบวชลำดับเก้า เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมีอำนาจวิเศษใดหรือ?”
นักบวชลำดับเก้าหัวเราะตอบ “มันคือพลังชีวิตของมหาทวีปคังชิงนี้ ขอเพียงเจ้าฝึกฝนที่นี่ เจ้าจะสามารถดึงเอาปราณวิญญาณไม่รู้จบทั่วฟ้าดินมาเป็นของเจ้าได้”
“โดยเฉพาะหลังจากการอุบัติของแสงสว่างแห่งโลกกว้างครานี้ เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงก็เทียบได้กับโชคดีมหาศาล!”
“นอกจากนั้น ในเมื่อมันมีชื่อว่าเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง มันย่อมมีความสามารถแปรเปลี่ยนเติบโต”
“เมื่อมันพัฒนาต่อ มันก็จะเหมือนหนึ่งโลกาที่แปรเปลี่ยนจากที่มาแห่งเมล็ดนี้จะหยั่งรากเติบโต และกลายเป็น ‘โลก’ อันสมบูรณ์ในที่สุด!”
“เหมือนมหาทวีปคังชิงนี้ อันที่จริงมันก็พัฒนามาจากการเปลี่ยนแปลงนับปีไม่ถ้วนของต้นกำเนิดเช่นกัน”
“ยามนี้ แม้ว่ามหาทวีปคังชิงจะถูกทำร้ายสาหัสโดยการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อน แต่เดิม มหาทวีปคังชิงนี้แท้จริงคือโลกกว้างอันสามารถแบกรับวิถีจักรพรรดิได้!”
“ในฐานะที่มาแห่งพลังชีวิตของมหาทวีปคังชิง เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงย่อมสามารถพัฒนาเป็นโลกได้ในอีกหลายต่อหลายปีข้างหน้าโดยไม่อาจเลี่ยง!”
“โอกาสเยี่ยงนี้ ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิใดจะไม่ถวิลหา?”
หลังจากฟังวาจานี้ ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็อดสูดหายใจเฮือกไม่ได้ และกล่าวอย่างตกตะลึง “หากกล่าวเช่นนั้น โอกาสนี้ก็ใหญ่ยิ่งเกินไป…”
นักบวชลำดับเก้ากล่าวอย่างทอดถอนใจ “ถูกต้อง ใหญ่เกินกว่าที่คนรุ่นข้าจะจินตนาการออก และกล่าวได้กระทั่งว่าหากเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงตกสู่มือของคนในขอบเขตเรา มันจะเป็นการเสียของอย่างแท้จริง”
“เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเรา เป็นไปไม่ได้เลยที่เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจะพัฒนาเป็นโลกาที่แท้จริงได้”
“กระทั่ง… กระทั่งขอบเขตจักรพรรดิยังไม่จำเป็นว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้”
“เพราะมันช่างแสนยากในการพัฒนาเป็นโลกหล้า ไม่เพียงต้องใช้วัตถุดิบมหาวิถีไม่รู้จบ แต่ยังใช้เวลาแสนนานและความทุ่มเทฝึกฝนรอคอยอีกด้วย”
“ดังนั้น หากการมาของเราครานี้ได้เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมาครอง ทางที่ถูกต้องก็คือส่งให้สำนักเก็บรักษาไว้”
กล่าวจบ นักบวชลำดับเก้าก็เหลือบมองเสวี่ยเย่
เสวี่ยเย่ตอบอย่างเข้าใจ “นักบวชลำดับเก้าโปรดวางใจ วาสนานี้ยิ่งใหญ่เกินไป แม้ข้าจะนำมันกลับไปได้ แต่ก็ไม่อาจรักษา ดีที่สุดหากจะปล่อยให้สำนักจัดการ”
นักบวชลำดับเก้าหัวเราะกล่าว “ข้าเชื่อว่ายามนั้น โถงหลงลืมจะมอบบำเหน็จเกินคะเนให้เจ้าแน่”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนหมดความสนใจต่อเรื่องนี้
เหมือนเช่นที่นักบวชลำดับเก้าบรรยาย วาสนาที่เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงสื่อถึงนั้นยิ่งใหญ่เสียจนนางไม่อาจแม้แต่จะคิดครอบครองมัน
“อารักษ์เสวี่ยเย่ เจ้าต้องระวังตนด้วย ขุมอำนาจต่าง ๆ จะไม่มีทางปล่อยเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงนี้ไปแน่”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกลอกตาและย้ำเตือน “นอกจากนั้นยังมีซูอี้ผู้ร้ายกาจนี่อยู่ เจ้าไม่อาจมองข้ามเขาได้นะ”
เสวี่ยเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะแกมหยอกล้อ “อันใดกันนี่ เจ้าจงใจใช้ซูอี้มาหลอกให้ข้ากลัวหรือไร?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนยิ้มหวานกล่าว “ก็คงใช่ รู้สึกเช่นไรเล่า?”
เสวี่ยเย่ “…”
…
ในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง
“โชคดีที่เราไม่ได้มาสายเกินไป”
ผูซู่หรงมองนิมิต ‘ดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน’ บนฟากฟ้าและอดถอนหายใจโล่งอกไม่ได้
ข้างกายนาง ชายชุดเหลืองร่างผอมบาง ผมสีเทาและมีดวงตาสีม่วงกล่าวขึ้นอย่างสบายอารมณ์
“เจ้าไม่อาจพลาดเหตุใหญ่โตเพียงนี้ได้ ดังนั้นเราจงคว้ามันไว้ก่อนเถิด แล้วจากนั้นจึงค่อยไปตามคิดบัญชีซูอี้ผู้นั้น”
ชายผู้นั้นดูเยาว์วัย ทว่าที่หางตากลับเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา
ผูซู่หรงชะงักไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ได้”
ชายผู้นี้มีนามว่าผูเจวี๋ย ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลายแห่งเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วง
ในหมู่ยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณทั่วภูมินภาจรัส อำนาจต่อสู้ของเขาเพียงพอจะติดหนึ่งในห้าอันดับแรกได้!
ยิ่งกว่านั้น ผูเจวี๋ยไม่ได้มายังมหาทวีปคังชิงตัวเปล่า แต่ยังมียอดฝีมือสี่คนในขอบเขตวงล้อวิญญาณมากับเขาด้วย
นอกจากนั้น ทางเผ่ายังมอบสมบัติร้ายกาจให้แก่ผูเจวี๋ยหนึ่งชิ้น เพื่อความมั่นใจว่าปฏิบัติการณ์นี้จะไร้ข้อผิดพลาด!
“ซูอี้ ข้าหวังเพียงว่าครานี้เจ้าจะให้ความร่วมมือกับข้าบ้าง อย่าทำให้เรื่องราวต่าง ๆ ยากขึ้นสำหรับข้าเลย… หาไม่ มันจะกลายเป็นหายนะไปจริง ๆ…”
ผูซู่หรงพึมพำกับตนเอง
…
ในวันนี้ นอกจากเหล่าขุมอำนาจผู้ฝึกตนที่กระจายอยู่ทั่วมหาทวีปคังชิงแล้ว ยังมีบางตัวตนพิเศษยิ่งที่ซุ่มรอจังหวะอยู่เช่นกัน
เหนือทะเลวิญญาณโกลาหล
‘ชิงลั่ว’ ผู้ถูกดาบปีศาจเทวทัณฑ์สิงสู่จัดตั้งค่ายกลพิลึกขึ้นบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง และทำสมาธิอยู่เงียบ ๆ
ลึกเข้าไปในถ้ำอุกกาบาต
อำนาจแห่งการจองจำแห่งยุคมืดซึ่งสลายจากโลกาไปแล้วตลบอบอวลอยู่ในถ้ำอุกกาบาต ดูราวเมฆหมอกไร้วันสลาย
ดวงตาลึกล้ำดึงดูดใจคู่หนึ่งแหงนมองขึ้นสู่นภาจากในห้วงหมอก
…เหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้ก็เกิดขึ้นในที่ต่าง ๆ ทั่วมหาทวีปคังชิงเช่นกัน
ตัวตนอันไม่เป็นที่รู้จักต่างกบดานรอคอยด้วยวิถีทางต่าง ๆ กัน
…
นครหลวงจิ๋วติ่ง
สวนน้อยนภาเมฆ
ซูอี้กำลังกินหม้อไฟ
ก้นหม้อแดงระอุเดือดปุด สารพัดเครื่องและเนื้อสัตว์ร้อนแผดเผา สายลมและบรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศยั่วน้ำลาย
กินหม้อไฟร่ำสุรา กระเพาะและหัวใจของซูอี้ได้รับการบำรุงเยียวยาอย่างยิ่งยวด
ทว่า เมื่อเทียบกับความรื่นรมย์ผ่อนจิตของซูอี้ เหวินซินจ้าว จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย และพวกชายชราตาบอดนั้นต่างออกไปเล็กน้อย
ดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน บรรยากาศหดหู่ชวนใจหายนี้ไม่เพียงปกคลุมไปทั่วมหาทวีปคังชิง แต่ยังปกคลุมนภาเบื้องบนนครหลวงจิ๋วติ่งด้วย
แม้จะอยู่ในสวนน้อยนภาเมฆก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน
สิ่งนี้ดึงความสนใจของพวกเหวินซินจ้าวให้ตกตะลึงเป็นที่เรียบร้อย
ทว่าซูอี้กลับดูไม่เหมือนจะใส่ใจกับนิมิตทั่วหล้าฟ้าดินเช่นนี้เลย
กล่าวอีกนัยก็คือ ในสายตาเขา สิ่งเหล่านี้มีค่าน้อยกว่าหม้อไฟตรงหน้าเขาเสียอีก…
ทว่าก็แปลกหากจะกล่าวว่ายิ่งซูอี้เฉยเมยเพียงไร พวกเขายิ่งได้รับผลกระทบทางจิตใจ รู้สึกสงบนิ่งมั่นคงขึ้นอย่างไม่อาจอธิบายได้
ท่าทีที่แม้ฟ้าถล่ม เขาก็ยังทำตัวเยี่ยงปกติทำให้ชายชราตาบอดทอดถอนใจอย่างชื่นชม
สมกับที่เป็นคุณชายซู!
—————————