บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 734 พบพานดวงตาประหลาดอีกครา
ตอนที่ 734: พบพานดวงตาประหลาดอีกครา
ตอนที่ 734: พบพานดวงตาประหลาดอีกครา
พิรุณแสงแห่งมหาวิถีพรั่งพรูดุจกระแสน้ำจากทั่วสารทิศ
ชายชราตาบอดและคนอื่น ๆ ต่างเริ่มรวบรวมมันอย่างสุดกำลัง
สิ่งเหล่านี้แปรร่างมาจากพลังของต้นกำเนิดแห่งคังชิง เต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์แห่งมหาวิถี นับได้ว่าเป็นวาสนาที่ผู้ฝึกตนใด ๆ ล้วนใฝ่ฝัน
สิ่งที่ทำให้พวกชายชราตาบอดประหลาดใจที่สุดคือ การรวบรวมพลังต้นกำเนิดแห่งมหาวิถีนี้ พวกเขาไม่ต้องออกแรงพยายามใด ๆ ทั้งสิ้น!
ในขณะเดียวกัน เสวียนหนิงและเย่ซุ่นเองก็ลงมือเช่นกัน
ทว่า ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ไปมากที่สุด… ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือซูอี้!
ร่างของเขาประดุจดั่งคบเพลิง โดยมีพิรุณแสงแห่งมหาวิถีทะยานมาหาหยาดแล้วหยดเล่าดุจแมงเม่าสู่กองเพลิง
มากเสียจนบริเวณที่ซูอี้ยืนอยู่ปกคลุมเต็มไปด้วยพิรุณแสงแห่งมหาวิถีเข้มข้นพร่างพราว!
ภาพอันน่าเหลือเชื่อนี้ยังดึงความสนใจผู้ฝึกตนมากมายในนครหลวงจิ๋วติ่งด้วยเช่นกัน
ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าพอจะก้าวเข้ามาแย่งชิง
นามแห่งคนเหมือนเงาของต้นไม้ ผู้ใดกันจะกระเหี้ยนกระหือรืออยากตาย กล้ามาปล้นลาภของซูอี้บ้าง?
แต่ต้องกล่าวว่าเหล่าผู้ฝึกตนในนครหลวงจิ๋วติ่งนั้นโชคดี
ด้วยการผันผ่านแห่งกาลเวลา พิรุณแสงแห่งมหาวิถีซึ่งถูกดึงดูดมาโดยซูอี้ก็ยิ่งทวีความทรงพลัง ทำให้พิรุณแสงแห่งมหาวิถีเหนือนครหลวงจิ๋วติ่งหนาแน่นกว่าที่แห่งอื่นมากนัก
เหล่าผู้ฝึกตนในนครหลวงย่อมได้รับความกรุณาทางอ้อม ซึ่งส่งผลต่อการรวบรวมพิรุณแสงแห่งมหาวิถีเป็นอย่างยิ่ง
วูบ! วูบ!
คลื่นพิรุณแสงแห่งมหาวิถีละลายเข้าไปในร่างของซูอี้ จากนั้นพวกมันทั้งหมดก็ทะลักเข้าสู่เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง
ยามนี้เขาอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว และกำลังจะเลื่อนขอบเขต
การเก็บรวบรวมพิรุณแสงแห่งมหาวิถีเสียตอนนี้ก็เพียงพอให้เขาสามารถสร้างพื้นฐานอันแข็งแกร่งที่สุดได้เมื่อยามที่เขาเข้าสู่ขอบเขตสยายวิญญาณ!
นภาและผืนดินปั่นป่วน พิรุณแสงกระหน่ำเท หนาแน่นดุจน้ำตก
ไม่เพียงพวกซูอี้เท่านั้น แต่ทุกชีวิตในมหาทวีปคังชิงต่างพยายามแย่งชิงมหาลาภอันไม่เคยเกิดขึ้นนี้อย่างบ้าคลั่ง
เพียงแค่ว่าพิรุณแสงแห่งมหาวิถีเหนือนครหลวงจิ๋วติ่งมีมาก ทรงพลังและถาโถมเกินไปกว่าที่อื่นมากนัก
กล่าวอีกนัยก็คือ พิรุณแสงแห่งมหาวิถีซึ่งควรโปรยปรายที่อื่น ยามนี้ต่างทะลักไหลสู่นครหลวงจิ๋วติ่ง
หากมองลงมาจากฟากฟ้า จะพบว่าพื้นที่ห่างไกลจากนครหลวงจิ๋วติ่งหลายพันลี้ต่างได้รับผลกระทบ
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ย่อมดึงความสนใจมากมาย
“เหตุใดพลังดั้งเดิมแห่งมหาวิถีจึงรวมตัวกันที่นครหลวงจิ๋วติ่งเล่า?”
บางคนประหลาดใจ
“ต้องเป็นฝีมือจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเป็นแน่!”
บางคนกัดฟันด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
“พลังต้นกำเนิดแห่งมหาวิถีถูกกวาดไปยังนครหลวงจิ๋วติ่งเกือบหมด เราจะยังเหลือส่วนแบ่งด้วยหรือไร?”
“ไป ไปนครหลวงจิ๋วติ่ง! เราไม่อาจปล่อยให้มหาลาภนี้ถูกราชวงศ์เซี่ยยึดไว้เพียงผู้เดียว!”
ในชั่วขณะนั้น ผู้ฝึกตนมากมายต่างลงมือ กระวีกระวาดไปยังนครหลวงจิ๋วติ่งจากทั่วสารทิศ
“ศิษย์พี่ซู ข้าไม่อาจรั้งขอบเขตไว้ได้อีกแล้ว”
เหวินซินจ้าวพลันกล่าวขึ้น
ซูอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ไม่จำเป็นต้องกดมันไว้อีก เลื่อนขอบเขตอย่างสบายใจเถิด ข้าจะช่วยเจ้าพิทักษ์เต๋าให้”
เหวินซินจ้าวส่งเสียงในลำคอตอบ
ยามนี้ สตรีในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะ เหน็บดาบโบราณไว้เบื้องหลังไม่กดระดับการฝึกฝนของนางไว้อีกต่อไป จากนั้นปราณของนางก็ปะทุราวภูเขาไฟซึ่งเงียบงันอยู่เป็นเวลานาน
ตู้ม!
ภาวะดาบอันคมกริบทะยานสู่นภา
ลึกเข้าไปในฟากฟ้า เห็นได้ชัดด้วยตาว่ามีเมฆทัณฑ์สีดำปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน แผ่บรรยากาศกดดันทำลายล้างแห่งภัยพิบัติกวาดไปทั่วโลกหล้า
ดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน พิรุณแสงแห่งมหาวิถียังคงโปรยปราย และยามนี้เมื่อเกิดมหาภัยพิบัติจากการแปรเปลี่ยนวิญญาณ ทันใดนั้นโลกาก็ปั่นป่วนอลหม่าน เต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกประหลาดแทรกซึมไปทั่วทุกที่
‘การเลื่อนขอบเขตยามนี้ จะสามารถดูดซับพลังต้นกำเนิดแห่งมหาวิถีเพียงพอในการแปรเปลี่ยนวิถีเต๋าของตนได้อย่างถึงที่สุด…’
ซูอี้คิดในใจ
ตู้ม!
ทัณฑ์อสนีบาตคำรามลงมาจากนภา
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ยังดึงความสนใจจากผู้ฝึกตนมากมายในนครหลวงจิ๋วติ่ง พวกเขาต่างตะลึงงัน
และร่างสะโอดสะองของเหวินซินจ้าวก็ทะยานจากสุญญะดุจภูตสตรีแห่งดาบ เผชิญหน้ากับมหาภัยพิบัติแห่งการแปรเปลี่ยนวิญญาณของตนซึ่งประดังมาจากทั่วผืนฟ้า
ตู้ม!
ทัณฑ์อสนีบาตงดงามเฉิดฉาย ปราณที่แผ่ออกมาจากมันชวนให้หวาดกลัวอย่างไร้ขอบเขต
เหวินซินจ้าวซึ่งถูกมันผ่าใส่ไร้ความกลัว ร่างของนางแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงดาบ ฟาดฟันสายฟ้าที่ประดังเข้ามาจากทุกวิถี
หลังมองอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็ละสายตา
การแปรเปลี่ยนวิญญาณครานี้ของเหวินซินจ้าวเหนือจินตนาการนัก
ทว่าซูอี้เห็นแล้วว่ามหาภัยพิบัตินี้ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงของเหวินซินจ้าวแม้แต่น้อย
“คุณชาย ข้า… ข้ากำลังจะเลื่อนขอบเขตแล้ว…”
ครู่ถัดมา ชิงหว่านก็กล่าวขึ้น
ในขณะที่ซูอี้กำลังจะพยักหน้ารับนั้นเอง เขาก็พลันนึกบางสิ่งขึ้นได้และหันไปกล่าวกับพวกจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย “พวกเจ้าอยู่นี่นะ ข้าจะพาชิงหว่านไปนอกเมือง”
กล่าวจบ เขาก็พุ่งออกไปนอกนครหลวงจิ๋วติ่ง
ชิงหว่านรีบร้อนติดตามเขาไป
จนกระทั่งเมื่อเขาออกมานอกนครหลวงจิ๋วติ่ง ซูอี้ผู้ยืนอยู่บนอากาศก็กล่าวกับชิงหว่านว่า “ทำได้เลย”
ชิงหว่านพยักหน้า
อาภรณ์ดุจเพลิงของหญิงสาวโบกสะบัด ดวงตาคู่งามลึกล้ำจับจ้องสู่นภา
ทันใดนั้นเอง…
ตู้ม!
ลึกเข้าไปในห้วงนภา ปรากฏเสียงอสนีบาตดังกึกก้องออกมา
เมฆทัณฑ์ประหลาดสีเลือดปรากฏขึ้น แดงฉานโดดเด่น เต็มไปด้วยมหาภัยพิบัติชวนสยอง
“เมฆทัณฑ์นี้เป็นดั่งโลหิต รูปร่างเหมือนดอกลำโพง นี่คือหนึ่งในสามทัณฑ์เมฆาต้องห้ามแห่งเส้นทางการฝึกฝนวิญญาณ!”
เมื่อชายชราตาบอดซึ่งอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งเห็นภาพนี้จากไกล ๆ เขาก็ร้องออกมาด้วยเสียงพิลึก ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ในภูมิมืดมิด บุคคลผู้สามารถก่อให้เกิดหนึ่งในสามเมฆาทัณฑ์ต้องห้ามในระหว่างก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณนั้นหาได้ยากยิ่ง และส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสุดยอดฝีมือผู้เจิดจรัส!
‘ความยากแห่งเมฆาทัณฑ์ดอกลำโพง… มหาภัยพิบัติการแปรเปลี่ยนวิญญาณของสตรีผู้นี้เกินธรรมดา…’
ซูอี้ลอบคิด
เขาย่อมมองเห็นที่มาแห่งมหาภัยพิบัตินี้
ทว่ามันก็ไม่น่าตกใจ เพราะภูมิหลังและความสามารถของชิงหว่านมีเพียบพร้อม กอปรกับการฝึกฝนเคล็ดวิชามหาวิญญาณทศทิศซึ่งจักรพรรดิผีซีหมิง บุคคลระดับสูงสุดเป็นผู้สร้างเสมอมา
ตู้ม!
เมฆาทัณฑ์สีเลือดเคลื่อนมาหา มหาภัยพิบัติเบิดฉากเริ่มต้น
เมฆาทัณฑ์สีเลือดแหวกนภาเป็นสอง คล้อยตัวต่ำลง แผ่อำนาจทำลายล้างน่าสะพรึงกลัว
ยามนี้ ชิงหว่านดูราวเปลี่ยนเป็นคนละคน ดวงตากระจ่างคมปลาบดุจสายฟ้า กิริยาท่าทางดุดัน บรรยากาศว้าเหว่แผ่ซ่านจากร่าง
ชุดกระโปรงสีเพลิงของนางสะบัดโบก และนางก็ทะยานขึ้นทันที
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง เฝ้ามองจากไกล ๆ
นาน ๆ ครั้ง เขาจะเงยหน้าขึ้นมองเหวินซินจ้าวเหนือนครหลวงเป็นครั้งคราว
เมื่อกาลผันผ่าน ซูอี้ก็ค่อย ๆ รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
เป็นดั่งที่เขาคาด ไม่ว่าจะเป็นเหวินซินจ้าวหรือชิงหว่าน พวกนางต่างเตรียมการรับมือมหาภัยพิบัติของตนมาเนิ่นนาน
แม้ว่ามหาภัยพิบัติที่พวกตนเผชิญล้วนหายากน่าสะพรึงกลัวยิ่ง แต่พวกนางก็สามารถรับมือได้ด้วยความสามารถและวิถีเต๋าแห่งตน
หือ?
จู่ ๆ ซูอี้ก็สังเกตเห็นว่ามีผู้ฝึกตนมากมายทะยานเข้ามายังนครหลวงจิ๋วติ่งจากไกล ๆ
หลังจากหยุดคิดเล็กน้อย เขาก็เข้าใจ
เขาใช้กลิ่นอายของเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงดึงดูดพิรุณแสงจากทั่วสารทิศ มันเลี่ยงไม่ได้หากจะทำให้ผู้ฝึกตนจากที่อื่น ๆ อึดอัดใจและย้ายถิ่นฐานในการไล่ล่าพิรุณแสงแห่งมหาวิถี
ผลก็คือ ผู้ฝึกตนเหล่านี้ต่างมุ่งหน้ามายังนครหลวงจิ๋วติ่งคนแล้วคนเล่า ด้วยจุดประสงค์เพียงแย่งชิงโอกาส
ทว่าซูอี้ไม่ใส่ใจนักถึงเรื่องนี้
พิรุณแสงแห่งมหาวิถีนี้ยิ่งใหญ่มหาศาลยิ่ง มันปกคลุมไปทั่วมหาทวีปคังชิง ย่อมเป็นไปไม่ได้หากจะมีผู้ใดครอบครองไว้ลำพัง
กระทั่งเขาเองก็เป็นไปไม่ได้หากจะยึดโอกาสนี้ไว้เพียงคนเดียว
“หยุดเร็วเข้า นั่นท่านเทพเซียนซู!”
“นี่…”
“นี่รับมือไม่ง่ายเสียแล้ว”
เสียงอื้ออึงดังขึ้น และเมื่อเหล่าผู้ฝึกตนมาเห็นซูอี้ยืนอยู่ที่พื้น พวกเขาก็พลันเปลี่ยนสีหน้าและชะงักหยุด
และเมื่อกาลเวลาผันผ่าน จำนวนผู้ฝึกตนที่ปรากฏขึ้นโดยรอบก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ทว่านับแต่ต้นจนจบ ยังไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้บริเวณใกล้ประตูนครหลวงจิ๋วติ่งเลยสักคน
เพราะซูอี้อยู่ที่นี่!
ในโลกาทุกวันนี้ ใครเล่าจะไม่รู้ว่าซูอี้น่ากลัวเพียงไร?
ทว่าหากให้ไปเสีย ก็ไม่มีผู้ใดยอมทำอยู่ดี
ในชั่วขณะนั้น บรรยากาศรอบข้างแปรเปลี่ยนเป็นกระวนกระวายและแข็งทื่อ
ในที่สุด ชายชราผู้หนึ่งก็อดทนต่อไม่ไหว เขารวบรวมความกล้าถามเสียงสั่น “ซู… ใต้เท้าซู ข้าจะรอ… ข้ามาหาวาสนาที่นี่ได้หรือไม่?”
เมื่อวาจาถูกเปล่ง ทุกสายตาก็รวมตัวกันที่ซูอี้
ซูอี้กล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “ได้”
ด้วยวาจาเพียงหนึ่งคำ แต่ดูราวกับมีมหาลาภร่วงจากฟ้า ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งมวลต่างโห่ร้องยินดี
“ขอบคุณใต้เท้าซู!”
“ขอบคุณใต้เท้าซู!”
เสียงขอบคุณเซ็งแซ่เต็มไปหมด
“มีใต้เท้าซูอยู่ จะไม่มีผู้ใดกล้ากระทำเรื่องชั่วช้ายามเก็บเกี่ยวพิรุณแสงแห่งมหาวิถีเป็นแน่ นี่ย่อมส่งผลดีต่อเราท่านทั้งมวล!”
บางคนลอบยินดี
อันที่จริง มันก็เป็นเช่นนั้น
ในเวลาต่อมา ผู้ฝึกตัวจากทั่วโลกหล้าเหล่านี้ก็สงวนท่าทีอย่างยิ่งเมื่อไขว่คว้าหาวาสนาของตน
เหตุผลนั้นแสนง่าย พวกเขากังวลจะทำให้ซูอี้ไม่ชอบใจ!
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
หลังจากเวลาแค่พอดื่มชาได้หนึ่งถ้วยผ่านไป เหวินซินจ้าวก็ก้าวข้ามมหาภัยพิบัติ ก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ได้สำเร็จ!
“กลับไปทำสมาธิ เสริมความแข็งแกร่งของวิถีเต๋าเจ้าก่อน”
ซูอี้เผยรอยยิ้มและถ่ายทอดเสียงสั่งการนางจากระยะไกล
“ตกลง!”
เหวินซินจ้าวตอบตกลงอย่างยินดี และกลับสู่สวนน้อยนภาเมฆ
และไม่นานจากนั้น ชิงหว่านเองก็กระตุ้นให้เกิดทัณฑ์อสนีบาตครั้งสุดท้าย
ทว่า ทัณฑ์อสนีบาตปัจฉิมกาลนี้แปลกประหลาดยิ่ง เมฆาทัณฑ์เป็นสีแดงโลหิตเข้มข้น แปรเปลี่ยนเป็นวังวนระยะหลายร้อยจั้ง
ปราณทำลายล้างที่แผ่ออกมาจากมันกระตุ้นให้ทุกผู้ฝึกตนซึ่งอยู่ในขณะนั้นพากันเปลี่ยนสีหน้า
“นี่มันมหาภัยพิบัติใดกันนี่?”
เสียงหนึ่งอุทาน
“ว่าแล้วเชียว มหาภัยพิบัติของชิงหว่านไม่มีทางธรรมดา…”
ดวงตาของซูอี้วูบไหว
ปีก่อน ขณะที่กำลังเดินทางสู่ต้าเซี่ย ชิงหว่านประสบมหาภัยพิบัติอันทำให้ร่างวิญญาณของนางสลาย ยามนั้นมหาภัยพิบัติต้องห้ามก็เกิดขึ้นเยี่ยงนี้
เพราะเหตุนี้ ซูอี้จึงได้นำชิงหว่านไปรับมหาภัยพิบัตินอกนครหลวงจิ๋วติ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ชิงหว่านสร้างผลกระทบต่อเหวินซินจ้าวยามเผชิญมหาภัยพิบัติ
ทันใดนั้น ซูอี้ก็หันไปมองชิงหว่านราวสังเกตเห็นบางสิ่ง
ไม่รู้ว่านับแต่ยามใด ทว่านิมิตบรรพตลำธารแปลกพิสดารก็ปรากฏขึ้นรอบกายชิงหว่าน
หากมองใกล้ ๆ จะพบว่าลวดลายของมันดูคล้ายดวงตาอันแปลกประหลาดและเฉยเมย บรรพตลำธารคือนัยน์ตา และลึกเข้าไปในแววตานั้นก็คือความว่างเปล่าไร้ก้นบึ้ง
“นั่นคือพลังประหลาดซึ่งหลอมรวมเข้าไปในความสามารถของชิงหว่านนี่…”
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย
นี่คือครั้งที่สองที่เขาได้เห็นพลังเช่นนี้!
—————————