บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 735 ผู้มาถึงก่อนย่อมได้เปรียบ
ตอนที่ 735: ผู้มาถึงก่อนย่อมได้เปรียบ
ตอนที่ 735: ผู้มาถึงก่อนย่อมได้เปรียบ
โดยไม่รีรอให้ซูอี้คิด
‘นัยน์ตาประหลาด’ ที่อยู่เบื้องหลังชิงหว่านเหล่านั้นก็กลอกมองลึกเข้าไปในท้องนภา
ยามนี้ เมฆาทัณฑ์สีเลือดอันหมุนวนพลันเกิดการระเบิดเลือนลั่นถล่มทลาย
จากนั้นในทันใด อสนีบาตสีเลือดก็ประดังลงดุจดั่งน้ำตกเข้าใส่ลวดลาย ‘นัยน์ตาประหลาด’ นั่น
เมื่อ ‘นัยน์ตาประหลาด’ เหล่านั้นดูดซับอสนีบาตไปมากพอจนเจิดจ้าดุจตะวัน มันก็ค่อย ๆ หลอมรวมเข้ากับร่างบอบบางสะโอดสะองของชิงหว่าน
ทันใดนั้น ร่างของชิงหว่านก็เปล่งประกายเฉิดฉาย!
เปลวเพลิงทะยานสู่นภา สว่างไสวเจิดจ้าไร้ขอบเขต
“เป็นเช่นนี้อีกแล้ว…”
แววตาของซูอี้วูบไหวผันเปลี่ยน
เขาพลิกมือ และหยกวิญญาณลี้ลับก็ปรากฏขึ้นชิ้นหนึ่ง
ที่ผิวหยกวิญญาณสลักภาพซึ่งแทบจะเหมือนกับ ‘นัยน์ตาประหลาด’ ทุกกระเบียดนิ้วไว้
ในขณะเดียวกัน มันก็บางสิ่งซึ่งบิดเบี้ยวซับซ้อน
หยกวิญญาณชิ้นนี้เป็นของชิงหว่าน
เมื่อเขาได้รับหยกวิญญาณชิ้นนี้ ซูอี้ก็ตระหนักได้ว่ามันถูกสร้างจากสมบัติแห่งฟ้าดินเยี่ยง ‘กระดูกแก่นแท้มหาวิญญาณ’ และผู้ที่สลักลวดลายและบัญญัตินี้ต้องเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิเป็นแน่แท้!
เพราะเหตุนี้ ซูอี้จึงกล้าสรุปได้ว่าที่มาของชิงหว่านไม่ปกติ
ยิ่งกว่านั้น ยังมีสิ่งหนึ่งที่สามารถคาดการณ์ได้จากสิ่งนี้ นั่นคือพลังต้นกำเนิดของหยกวิญญาณนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังอันหลอมรวมเข้ากับความสามารถของชิงหว่านไปแล้ว
เมื่อชิงหว่านประสบภัยคุกคามถึงตาย อำนาจนี้จะผุดขึ้นมาช่วยให้นางหลบเลี่ยงหายนะได้
เหมือนเช่นครั้งนี้
ทัณฑ์อสนีบาตคราสุดท้ายนั้นยากเสียจนไม่อาจเทียบได้กับเมฆาดอกระฆังก่อนหน้านี้ มันซ่อนปราณร้ายกาจไว้เสียจนแม้แต่ซูอี้ยังมีปฏิกิริยา
ทว่าชิงหว่านผู้ใช้พลังของ ‘นัยน์ตาประหลาด’ กลับสามารถสลายพลังแห่งหายนะได้ในทันที!
วาบ!
ในขณะครุ่นคิด ซูอี้ก็สังเกตว่าร่างที่ห้อมล้อมด้วยสายฟ้าแปลบปลาบของชิงหว่านเกิดการเปลี่ยนแปลงสะท้านโลกา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็เร่งหยิบเสื้อผ้าของตนออกมาและทะยานเข้าหา
เพราะเขาเห็นว่าร่างอรชรนั้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้าอย่างเงียบงัน ห้อมล้อมด้วยปราณอันเหมือนฝันโนเวลพีดีเอฟ
ไร้อาภรณ์ติดกาย
หากถูกเห็น จะดีได้เช่นไร?
ซูอี้นำอาภรณ์ห่อตัวชิงหว่านไว้ทันที
ทว่าในใจของเขาก็ยังมีภาพอันแสนอัศจรรย์จารึกไว้
“ชิ ร่างของสตรีผู้นี้น่าอัศจรรย์ขึ้นทุกขณะแล้ว…”
ซูอี้ทอดถอนใจอย่างหนักอกหนักใจ
จะกล่าวไป นี่ก็เป็นหนที่สองที่เขาได้เห็นร่างเปลือยของชิงหว่าน รูปลักษณ์เรือนร่างของนางเป็นเอกลักษณ์มากขึ้นทุกขณะ
“อึก…”
ชิงหว่านมีปฏิกิริยาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้างามของนางแดงก่ำ ราวอยากจะมุดหน้าซุกอกตนหนีนัก
ท่าทีเขินอายของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มสู่ซูอี้ เขากล่าวว่า “กลับไปทำสมาธิ เสริมความแข็งแกร่งของวิถีเต๋าเจ้าเสีย”โนเวลพีดีเอฟ
ชิงหว่านตอบด้วยเสียงเบาราวยุงบิน “อืม”
แล้วนางก็เผ่นหนีรวดเร็ว ราวกับเป็นอากาศธาตุ
“ต้องหาโอกาสเหมาะสม ถึงกาลฝึกฝนบำเพ็ญคู่แล้ว”
ซูอี้ลอบกล่าว
ชิงหว่านแต่เดิมมีร่างหยินบริสุทธิ์ ทว่าเมื่อครานี้นางฝึกฝนถึงวิถีวิญญาณ ขอเพียงได้เรียนรู้วิธีการฝึกฝนบำเพ็ญคู่อันแสนอัศจรรย์ ทั้งเขาและนางจะได้รับผลประโยชน์ใหญ่หลวงในการฝึกฝน
หยินล้วนไม่เติบโต หยางล้วนก็ไม่เติบโต
วิธีการฝึกฝนบำเพ็ญคู่คือการสร้างความกลมเกลียวระหว่างหยินและหยาง มังกรและพยัคฆ์
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ส่ายหน้ามองไปยังผืนนภา
แม้ว่าเมฆาทัณฑ์จะสลายหาย แต่นภามืดมิดพร่างดาริกาก็ยังคงอยู่
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาครึ่งชั่วยามแล้ว
ทว่าท้ายที่สุด สิ่งที่เหล่าผู้ฝึกตนแห่งโลกาได้รับก็มีเพียงส่วนเล็กน้อย
พลังดั้งเดิมแห่งมหาวิถีส่วนใหญ่จะหลอมรวมสู่นภาและผืนดินแห่งมหาทวีปคังชิง แปรเปลี่ยนเป็นพลังชีวิตอันเข้มแข็งไร้ใดเทียบ เกื้อหนุนสรรพสิ่งและแปรเปลี่ยนมหาทวีปคังชิงในที่สุด…
ทว่า การกล่าวเช่นนี้ก็ยังคงเร็วเกินไป
ซูอี้ยืนอยู่บนอากาศ แม้ว่าเขาจะไม่ขยับตัว แต่พิรุณแสงแห่งมหาวิถีก็ยังคงโถมเข้าสู่ร่างของเขาดุจคลื่นสมุทร
เมื่อพลังดั้งเดิมแห่งมหาวิถีถูกดูดซับมากขึ้น กระทั่งเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงในกายของเขายังเติบโตขึ้นสามจุดอย่างเห็นได้ชัด!
“ไม่นะ—!”
จู่ ๆ เสียงกรีดร้องอันน่าหวาดหวั่นก็ดังขึ้น
ไกลออกไป ผู้ฝึกตนคนหนึ่งกระอักเลือดกะทันหัน จู่ ๆ การฝึกฝนของเขาก็พังทลาย ร่างของเขาร่วงหล่นจากนภาสู่พื้นพิภพ
วิถีเต๋าของเขาถูกทำลายสิ้น กลายเป็นเพียงคนพิการ!
สิ่งนี้ทำให้คนอื่น ๆ ซึ่งกำลังแย่งชิงพิรุณแสงแห่งมหาวิถีต่างหน้าถอดสี
“แม้วาสนาจะเป็นสิ่งดี แต่มากเกินไป ผลที่ได้ก็ตาลปัตรได้เช่นกัน”
ซูอี้ส่ายหน้าอยู่ครู่หนึ่ง
คนอ้วนไม่อาจถูกกินได้ในหนึ่งอึดใจฉันใด พิรุณแสงแห่งมหาวิถีล้ำเลิศอัศจรรย์ ทว่าผู้แบ่งชิงก็ต้องประมาณตนให้พอรับได้ หาไม่ก็จะต้องทนทุกข์จากมันฉันนั้น
หากผู้ฝึกตนรับยอดโอสถสู่ร่าง การฝึกฝนของพวกเขาก็จะดีขึ้นได้
ทว่าหากผู้กลืนกินเป็นคนทั่วไป พวกเขาจะไม่อาจทานรับพลังดังกล่าวได้เลยจนร่างระเบิดแหลกสลาย
การเก็บรวบรวมพิรุณแสงแห่งมหาวิถีก็เช่นกัน
ภาพนี้ก็ยังเป็นดั่งเสียงเตือนจิตต่อเหล่าผู้ฝึกตนที่รายล้อม ทุกคนต่างสุขุมยั้งใจ
แม้โอกาสจะล้ำเลิศ แต่ยังต้องขึ้นต่อความสามารถในการทนรับมันของแต่ละคนด้วย!
ผู้ฝึกตนบางคนกระทั่งหยุดมืออย่างเด็ดขาด ไม่โลภมากอีกต่อไป
“ชิงหยา อย่าโลภ”
เมื่อซูอี้หันกลับไปยังท้องนภาเหนือสวนน้อยนภาเมฆ เขาก็พบชิงหยาผู้มีแก้มแดง ร่างซวนเซราวเมามาย ทำให้ซูอี้ขบขันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เขายกมือขึ้นจิ้มหน้าผากชิงหยา
ทันใดนั้น ปราณอันปั่นป่วนพลุ่งพล่านของหญิงสาวก็สงบเงียบ ร่างของนางกลับสู่ปกติราวตื่นจากฝัน
“ไปทำสมาธิฝึกฝนเสีย”
ซูอี้เร่งพลางแย้มยิ้ม
ชิงหยารับคำเสียงใส ก่อนจะหันกลับไปยังสวนน้อยนภาเมฆ
ต่อมา เวิงจิ่วและจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยต่างหยุดแย่งชิงโอกาสทีละคน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พิรุณแสงแห่งมหาวิถีที่พวกเขาสะสมได้มาถึงขีดจำกัดที่แต่ละคนทนรับไหวแล้ว
สุดท้ายก็เหลือเพียงชายชราตาบอด เสวียนหนิง และเย่ซุ่น
ซูอี้ไม่ห่วงสามบุรุษร่วมชะตากรรมเหล่านี้เลย
ชายชราตาบอดและเสวียนหนิงต่างถูกพายุมิติทำให้บาดเจ็บยามมายังมหาทวีปคังชิง จึงหลงเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ
ทว่าพื้นฐานการฝึกฝนและประสบการณ์ของพวกเขายังคงอยู่ และย่อมรู้ว่าจะหล่อหลอมพิรุณแสงแห่งมหาวิถีมาใช้อย่างไร
ในยามสมบูรณ์พร้อม เย่ซุ่นคือจักรพรรดิผีหมิงหลัวผู้โด่งดังทั่วโลกหล้า เขาย่อมรู้ว่าควรหยุดเมื่อใด
ซูอี้ยืนเงียบ ๆ และปล่อยพิรุณแสงแห่งมหาวิถีทะลักไหลเข้าสู่ตนจากทุกสารทิศ
ราวพันสายนทีหวนสู่สมุทร
สำหรับซูอี้ผู้ถือครองเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง เขาย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะสามารถทนต่อกระแสพลังดั้งเดิมแห่งมหาวิถีอันหลั่งไหลต่อเนื่องได้หรือไม่
“เมื่อพวกเขาทั้งหมดรามือ ก็ยังไม่สายหากจะเลื่อนขอบเขต”
ซูอี้ลอบกล่าว
วันนี้ เขาเองก็ต้องเลื่อนขอบเขต ชี้ดาบตรงสู่ขอบเขตสยายวิญญาณเช่นกัน!
ขณะเดียวกัน…
“นักบวชลำดับเก้า เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงยังไม่ปรากฏขึ้นเลย ข้าสงสัยว่ามหาลาภนี้จะถูกชิงไปก่อนแล้ว”
ในแดนเซียนมิคสัญญี เสวี่ยเย่ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย
เหนือศีรษะของเขา โคมเรือวิญญาณข้ามนทีเปล่งแสงที่ดูราวเพลิงสีนิล ดึงดูดพิรุณแสงจากนภา
บนอากาศไม่ห่างไปนัก นักบวชลำดับเก้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “อย่าลนลาน ให้ข้าสืบเรื่องนี้สักหน่อย”
กล่าวจบ เขาก็เรียกใช้คันฉ่องสำริดสีเงินเฉิดฉายจากแขนเสื้อของเขา ลอยขึ้นสู่อากาศ
คันฉ่องสำริดเปล่งแสง พื้นผิวของมันกระเพื่อมไปด้วยบางสิ่งลึกลับเกินหยั่ง ตามด้วยภาพประหลาดที่ปรากฏบนคันฉ่องสำริด
ครึ่งอึดใจต่อมา
ภาพบนคันฉ่องสำริดก็หยุดลงกะทันหัน
นักบวชลำดับเก้าเงยหน้ามอง พบว่าในภาพนิ่งนั้นคือนครหลวงอันงดงามเจิดจ้าไร้ใดเปรียบ!
“บนมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ มีเพียงนครแห่งนี้ซึ่งมีพิรุณแสงแห่งมหาวิถีหนาแน่นที่สุด ห่างไกลเกินจะเทียบกับที่แห่งอื่น”
ดวงตาของนักบวชลำดับเก้าลึกล้ำ เสียงแหบแห้ง “ข้าสงสัยว่าเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงน่าจะอยู่ในมือยอดฝีมือสักคนในนครแห่งนี้!”
สมบัติที่เขาใช้มีนามว่าคันฉ่องท่องสวรรค์ ซึ่งสามารถสัมผัสการเปลี่ยนแปลงปราณทั่วฟ้าดินได้ และดังนั้นจึงพัฒนาเป็นการแสดงภาพต่าง ๆ ทั่วโลกา น่าอัศจรรย์เป็นที่ยิ่ง
“เอ๋ ไม่ใช่ว่านั่นคือนครหลวงจิ๋วติ่งหรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนซึ่งอยู่ไม่ไกลอุทานอย่างแปลกใจ
นครหลวงจิ๋วติ่ง!
เสวี่ยเย่ตะลึงในใจ กล่าวว่า “หรือจะเป็น…”
นักบวชลำดับเก้าเองก็อึ้งราวถูกสายฟ้าฟาด เสียงของเขาแหบแห้ง “เขาหรือ!?”
นครหลวงจิ๋วติ่งคือนครหลวงแห่งต้าเซี่ย และย่อมมีเพียงหนึ่งบุคคลผู้สามารถกระทำเยี่ยงนี้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
นั่นคือซูอี้!
มุมปากของเสวี่ยเย่กระตุกอย่างรุนแรง สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด และกล่าวอย่างขมขื่นใจ “จะเป็นเช่นนั้นได้เช่นไร เขาคว้าเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงไปก่อนโดยไม่ให้โอกาสผู้ใดได้ประชันเลย…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนระเบิดหัวเราะ แววตาของนางเต็มไปด้วยความขบขัน หรี่ตาลงกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วว่าพวกเจ้าควรระวังซูอี้ให้มากที่สุด ทว่า… ไม่คาดเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดที่ไม่มอบโอกาสให้ผู้ใดเลย…”
สภาพของเสวี่ยเย่ดูไม่สู้ดีนัก
นักบวชลำดับเก้าถอนใจด้วยสีหน้าซับซ้อน “เราควรรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรหากคนที่ท่านยมราชพิพากษาให้ความสนใจจะพลาดจากเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง?”
“เอาน่า อย่าถอนใจสิ ในเมื่อเจ้าเดาไว้ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงถูกชิงไปโดยซูอี้ เราก็ไปชิงมันอีกหนเป็นไร?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกล่าวแนะด้วยรอยยิ้ม
นักบวชลำดับเก้าแค่นเสียงอย่างเย็นชา กล่าวว่า “จิ๋งเหยี่ยน ข้าว่าเจ้ากำลังวางแผนล้างแค้นเป็นการส่วนตนมากกว่า เราไม่ถูกหลอกหรอกนะ! ขอเพียงเกิดความขัดแย้ง ซูอี้จะไว้หน้าท่านยมราชพิพากษาและไม่ทำอันใดต่อเจ้า ทว่าหากพวกข้าพลาดพลั้ง ทุกอย่างจะจบสิ้นสำหรับเรา!”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนมุ่ยหน้า และกล่าวกับเสวี่ยเย่ว่า “เจ้ายินยอมปล่อยให้ซูอี้รับเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงไปหรือ?”
เสวี่ยเย่เงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “หากข้าไม่อยากแล้วทำอันใดได้? บรรพชนของข้าไม่ได้ทรงพลังเยี่ยงท่านยมราชพิพากษานะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยน “…”
หญิงสาวถอนหายใจอย่างผิดหวัง “น่าเบื่อจริง ๆ”
…
ตระกูลเยี่ย
“เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงต้องอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งแน่นอน!”
เยี่ยเซียวขมวดคิ้ว ลึกเข้าไปในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและจิตสังหารอันเดือดพล่าน “เมื่อวาสนามหาวิถีนี้จบลง เราจะไปเยือนสักหน่อย!”
ในขณะเดียวกัน แทบจะทุกมหาอำนาจใจมหาทวีปคังชิงต่างก็เกิดเหตุการณ์ใกล้เคียงกันขึ้นที่แล้วที่เล่า
“เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจะมาปรากฏในนครหลวงจิ๋วติ่งโดยไร้เหตุผลได้เช่นไร?”
“ต้องเป็นฝีมือเจ้าเด็กซูอี้นั่นแน่!”
“สารเลว!”
“มากไป นี่มันมากไปแล้ว!”
ขุมอำนาจใหญ่ต่างสั่นคลอน ผู้เฒ่าบางคนโกรธเสียจนแทบกระอักเลือด
พวกเขาวางแผนแสนนานเพื่อมหาลาภในวันนี้ ทุ่มเทพยายามอย่างสุดความสามารถ ทว่าใครเล่าจะคิดว่ามหาลาภสูงสุด เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจะถูกชิงไปก่อนที่ผู้ใดจะทันสังเกต!
ใครเล่าจะไม่อึดอัดใจ ไม่คลั่งไปกับเรื่องนี้?