บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 736 ถอยตั้งหลัก และกลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเก่า
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 736 ถอยตั้งหลัก และกลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเก่า
ตอนที่ 736: ถอยตั้งหลัก และกลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเก่า
ตอนที่ 736: ถอยตั้งหลัก และกลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเก่า
ถ้ำอุกกาบาต
คลื่นพิรุณแสงแห่งมหาวิถีโปรยปรายจากนภา หลั่งลึกเข้าสู่ถ้ำอุกกาบาตเยี่ยงน้ำตกอันแข็งแกร่ง และถูกร่างผอมเพรียวร่างหนึ่งดูดซับอย่างต่อเนื่อง
เป็นภาพอันน่าตื่นตา
ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่อาจทานพลังมหาวิถีมากมายเยี่ยงนี้ได้
ทว่าร่างเพรียวบางแต่กำยำนี้เป็นประหนึ่งหุบเหวไร้ก้นบึ้ง กำลังดูดซับพลังแห่งมหาวิถีอย่างต่อเนื่อง
“เทียบกับต้นกำเนิดแห่งคังชิงอันสมบูรณ์ พลังมหาวิถีเหล่านี้เป็นเพียงน้ำหนึ่งหยดในถังเท่านั้นสำหรับข้า…”
เสียงหนึ่งทอดถอนใจ
“ไม่ว่าอย่างไร หลังข้าฟื้นพลังชีวิตกลับมาส่วนหนึ่ง ข้าจะไปตามเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงกลับมาเป็นแน่ ข้าจะต้องหล่อหลอมสิ่งนี้เท่านั้น จึงจะสามารถฟื้นตัวเต็มที่จากอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากโลกนี้!”
…
แสงสีแห่งยามพลบค่ำฉาบหนา มวลดาราสั่นพ้อง ณ ห้วงลึกแห่งเวหา
ตามสถานที่ต่าง ๆ ในมหาทวีปคังชิง มวลเมฆาลอยล่อง ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนมากมายเพียงไรที่เลือกเลื่อนขอบเขตในยามนี้ จนก่อให้เกิดหายนะขึ้นทุกแห่งหน
เป็นภาพที่หาดูชมได้ยากยิ่ง
เมฆทัณฑ์ก่อตัวพลุ่งพล่านทั่วโลกา อสนีบาตคำรามเกรี้ยวกราด ผู้ฝึกตนทั่วหล้าเลื่อนขอบเขตดุจเห็ดที่งอกออกมาหลังสายฝน สิ่งนี้ไม่เคยเกิดมาก่อนตลอดกาลนาน
กระทั่งในนครหลวงจิ๋วติ่งก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
บททดสอบแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนซูอี้อดเบิกตากว้างไม่ได้
ผู้คนที่รอดจากหายนะวันนี้มีจำนวนนับไม่ถ้วนราวปลาคาร์ปข้ามนที!
สิ่งที่น่าอัศจรรย์เหนือสิ่งอื่นใดคือเสวียนหนิงผู้ถูกผนึกในครรภ์อสูรเองก็ดึงภัยพิบัติแห่งขอบเขตไร้เบญจธัญมาเช่นกัน
ทว่า ซูอี้ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย
ยามเมื่อทัณฑ์อสนีบาตเส้นหนาอันเจิดจรัสผ่าลงบนครรภ์อสูร มันก็ถูกเคล็ดวิชาของเสวียนหนิงสลายสูญ
ครรภ์อสูรไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ นับแต่ต้นจนจบ และเสวียนหนิงก็ก้าวข้ามหายนะนี้ได้อย่างหมดจด
“สหายเต๋าเสวียนหนิงช่างเปี่ยมพรสวรรค์โดยแท้จริง”
ชายชราตาบอดช่างอิจฉานัก
สมบัติเยี่ยงครรภ์อสูรหาได้ยากยิ่ง แต่เมื่อปรากฏพร้อมการมาของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง พิรุณแสงโปรยปราย ย่อมเหนือล้ำเกินจินตนาการ
“สหายเต๋า การที่ข้าสามารถอยู่รอดจวบวันนี้ ทั้งหมดล้วนต้องขอบคุณอาจารย์ข้า!”
เสียงของเสวียนหนิงดังออกมาจากครรภ์อสูรโนเวลพีดีเอฟ
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
“รับคำสั่งท่านอาจารย์!”
เสียงยังไม่ทันจางหาย แต่ซูอี้ก็เก็บครรภ์อสูรไปแล้ว
เขาหันไปกล่าวกับชายชราตาบอดว่า “หลังจากนี้เมื่อเจ้าเก็บตัวฝึกฝน อย่าลืมหล่อหลอมโอสถนทีปรภพรวมศูนย์ด้วย มันจะได้ช่วยเจ้าฟื้นวิญญาณกลับมา”
ชายชราตาบอดพยักหน้าตกลง
ก่อนหน้านี้ ซูอี้ได้รับโอสถนทีปรภพรวมศูนย์หกเม็ดจากชุยจิ๋งเหยี่ยน และมอบพวกมันให้ชายชราตาบอด เสวียนหนิงและเย่ซุ่นตามลำดับ
เพื่อช่วยคนทั้งสามซ่อมแซมวิญญาณ
“แล้วเจ้าเล่า ทนได้นานเพียงไร?”
ซูอี้หันไปมองพลังดั้งเดิมซึ่งผนึกเย่ซุ่นไว้
เย่ซุ่นตอบอย่างลิงโลด “ข้ากลืนพิรุณแสงแห่งมหาวิถีได้หมดเลยขอรับ ขอแค่มีให้ข้าเถอะ!”
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาขี้เล่น “ทว่าหากทำเช่นนั้น เจ้าจะต้องใช้เวลาหล่อหลอมที่มาแห่งมหาวิถีนานแสนนาน และเกรงว่าในช่วงนี้ เจ้าก็ยังต้องอยู่ในพลังดั้งเดิมต่อไปก่อนนะ”
เย่ซุ่น “???”
ซูอี้กล่าว “ไม่เป็นไรหรอก มันจะช่วยไม่ให้เจ้าก่อเรื่องขึ้นอีก สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อเจ้าไม่อยู่ หูของข้าจะได้อยู่เป็นสุขเสียที”
เย่ซุ่น “??”
“พี่เขย ข้า…”
ในขณะที่เย่ซุ่นกำลังจะพูดบางอย่างนั้นเอง ซูอี้ก็ขัดขึ้น “มหาลาภนี้กำลังจะจบลง หากเจ้าไม่รีบเก็บสะสมพิรุณแสงแห่งมหาวิถีเข้าล่ะก็ ภายหน้า การฟื้นฟูวิถีเต๋าสู่กาลก่อนของเจ้าจะยิ่งยากเย็นขึ้นเป็นแน่”
เย่ซุ่นหุบปากทันที
ซูอี้ไม่ได้โกหกเขา
พิรุณแสงแห่งมหาวิถีนี้ดำเนินมาครึ่งชั่วยามแล้ว มันพลุ่งพล่านและหนาแน่นน้อยลงกว่าคราเริ่มแรกมากนัก จำนวนของมันเริ่มบางตาลงแล้ว
ตู้ม! ตู้ม!
เมฆทัณฑ์โหมกระหน่ำ หายนะปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าทุกหนแห่ง
ซูอี้มองภาพตรงหน้า และในที่สุดก็ทิ้งแผนกระตุ้นหายนะในเมือง
หากเลื่อนขอบเขตในเมือง คงไม่พ้นถูกผลกระทบจากหายนะของผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ เป็นแน่
เหมือนก่อนหน้านี้ เหตุที่ซูอี้พาชิงหว่านมารับบททดสอบนอกเมืองนั้นก็เพราะเกรงว่านางจะส่งผลกระทบต่อเหวินซินจ้าวผู้กำลังก้าวข้ามหายนะอยู่เช่นกัน
ด้วยการผันผ่านแห่งกาลเวลา ปรากฏการณ์บนฟากฟ้าค่อย ๆ สลายหาย และดวงดาวกะพริบพรายก็ค่อย ๆ หายลับสู่นภา
พิรุณแสงแห่งมหาวิถีที่ป้อนกลับสู่โลกหล้าก็หายไปโดยสมบูรณ์เช่นกัน
ค่ำคืนกำลังมา
เมฆทัณฑ์ล่องลอยทั่วมหาทวีปคังชิง ไม่เพียงจำนวนผู้ทลายขอบเขตจะไม่ลดลงเท่านั้น แต่ยังมากขึ้นตามกาลเวลา
ซูอี้ออกจากสวนน้อยนภาเมฆ เดินทางสู่นอกเมือง
ผู้ฝึกตนซึ่งรวมตัวที่นี่เมื่อกาลก่อนต่างกระจัดกระจายตามทางทีละคนสองคน
ภายใต้ความมืดแห่งรัตติกาล ผืนดินกว้างอ้างว้างร้างผู้คน นาน ๆ ครั้งจะเกิดเสียงอสนีบาตคำรามจากไกล ๆ สะท้อนอยู่ทั่วหล้าแสนนาน
ซูอี้นั่งเดียวดาย ร่ำสุราทัศนาโลกหล้าอย่างเงียบงันอยู่บนเนินไม่ห่างจากนครหลวงจิ๋วติ่งนัก
วันนี้คือวันที่สี่เดือนสี่ วันเริ่มแสงสว่างแห่งโลกหล้า
วันนี้เกิดนิมิตดาริกาพร่างพรายเที่ยงวัน รัตติกาลพลิ้วโรยเยี่ยงม่าน พิรุณแสงแห่งมหาวิถีโปรยปรายจากนภาปกคลุมสรรพสิ่ง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ต่อโลกหล้า
ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนไขว่คว้าพิรุณแสงแห่งมหาวิถีในวันนี้ และก้าวข้ามหายนะของตน
บรรพตลำธารบนโลกหล้าเองก็ได้รับการเกื้อหนุนจากพลังจุดกำเนิดแห่งมหาวิถี
ทุกสิ่งปั่นป่วนอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน
ทว่า ซูอี้ก็รู้ว่าแสงสว่างแห่งโลกกว้างเพิ่งเกิดขึ้นเท่านั้น
ในช่วงเวลาต่อจากนี้ สิ่งอันน่าเหลือเชื่อจะผุดสู่โลกามากมาย และนั่นหมายความว่าโลกหล้าจะตกสู่ความปั่นป่วนอันเกินประมาณด้วยเช่นกัน
วายุรัตติกาลพัดโชย เปี่ยมด้วยพลังปราณ
ต้นหญ้าเติบโตแซมตามร่องหินอย่างบ้าคลั่ง เกิดเป็นเสียงซอกแซก
บุปผาสีเหลืองสว่างเติบโตขึ้นรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตา โบกไสวท่ามกลางสายลมท่ามกลางค่ำคืน
เรื่องซึ่งเห็นได้ทั่วไปในอดีตเหล่านี้แปรเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ พวกมันเต็มไปด้วยพลังชีวิตและแผ่ปราณวิญญาณเจิดจรัส
“โลกนี้หลังจากถูกการจองจำแห่งยุคมืดปกคลุม มันก็นับเป็นสามหมื่นปีอันสงบสุข ทว่าจากวันนี้ไป มันจะเบ่งบานและแหลกสลาย โลกาแปรผันกลับตาลปัตร และทุกสิ่งจะถูกซุกซ่อน”
ซูอี้จิบสุราพลางกระซิบกับตนเอง “กระทั่งมหาโลกาสามารถแบกรับวิถีจักรพรรดิยังไม่อาจยืนยงชั่วนิรันดร์ อย่าว่าแต่เหล่าจักรพรรดิผู้อ้างตนว่าใช้ชีวิตยาวนานร่วมกับตะวันจันทราเลย”
“ขอบเขตจักรพรรดิดูล้ำเลิศไร้ใดเปรียบ ทว่าท้ายที่สุด มันก็เป็นเพียงเส้นทางหนึ่งในมหาวิถีเท่านั้น”
“เหนือเส้นทางนี้ ต้องมีวิถีอันสูงส่งยิ่งกว่า!”
กาลเวลาผันผ่าน วันแล้ววันเล่า
เนินเล็กที่ซูอี้นั่งอยู่ ขณะนี้เต็มไปด้วยพฤกษาเติบโตสะพรั่งพลังชีวิต
ทว่าเขาก็ยังไม่เลื่อนขอบเขต
ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา!
สภาพจิตใจของเขาโปร่งโล่งสบาย เขานั่งอยู่ที่เดิม จับจ้องการเคลื่อนไหวแห่งดารา วันคืนผันเปลี่ยน บรรพตลำธารแปรผัน
เหวินซินจ้าวและชิงหว่านต่างมาหาเขาคนแล้วคนเล่า
ซูอี้แย้มยิ้มและบอกพวกนางให้กลับไป กล่าวเพียงว่าเขากำลังคิดถึงบางสิ่งเกี่ยวกับวิถีเต๋า และเมื่อถึงเวลา เขาจะก้าวข้ามขอบเขตสู่สยายวิญญาณ เหวินซินจ้าวและชิงหว่านรู้สึกแปลก ๆ ทว่าก็ไม่ได้รบกวนซูอี้ไปมากกว่านี้
ในเวลาต่อมา นครหลวงจิ๋วติ่งเองก็ครึกครื้น จำนวนผู้ที่ก้าวข้ามบททดสอบ และเลื่อนขอบเขตสู่โลกาก็ลดลงอย่างมาก
ทว่าสถานการณ์ทั่วโลกหล้าพลันพลิกผันเชี่ยวกราก
“ในแคว้นเทียนหนานปรากฏซากวัดถ้ำพุทธะซึ่งซุกซ่อนอยู่นับพันหมื่นปี เปลวเพลิงทะยานสู่นภา เสียงสวดสันสกฤตกังวานทั่วทศทิศ ทำให้ขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายต่างกระวีกระวาดสำรวจ!”
“ที่เมืองผีหลิงหลง ปรากฏหุบเขาลึกลับแห่งหนึ่งทะลวงพิภพสู่เวหา!”
“ในแคว้นเทียนหาน เกิดสัตว์ปีศาจนับร้อยพันบุกโจมตี ส่งผลกระทบต่อเมืองนับร้อยและผู้คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน!”
…สารพัดข่าวคราวสะพัดไปทั่วโลกา เกิดเป็นเสียงเซ็งแซ่ไม่จบสิ้น และยังสร้างเหตุนองเลือดไม่ทราบจำนวนครั้ง
เทียบกับความปั่นป่วนทั่วโลกาในครานี้ นครหลวงจิ๋วติ่งสงบเงียบกว่ามากนัก
ที่แห่งนี้คือเขตปกครองของราชวงศ์เซี่ย ซึ่งถูกปกคลุมด้วยค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน และยังมีบุคคลในตำนานเยี่ยงซูอี้อยู่ในนคร ขุมอำนาจทั่วไปย่อมไม่กล้าออกอาละวาด
สิ่งนี้ช่างหาได้ยากนัก ในสายตาผู้ฝึกตนมากมาย นครหลวงจิ๋วติ่งจึงเป็นดั่งหนึ่งดินแดนบริสุทธิ์ท่ามกลางโลกาอันผันผวน
ดังนั้นในชั่วกาลนี้ จึงไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ฝึกตนทั่วโลกามากเพียงไรผู้มาเพื่อหาที่อาศัยในนครหลวงจิ๋วติ่ง
วันที่สิบเอ็ดเดือนสี่
เจ็ดวันนับแต่การมาถึงของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง
พลบค่ำนั้น
เวิงจิ่วรีบร้อนมาหาและกล่าวอย่างกังวล “สหายเต๋า ผูซู่หรงกลับมาอีกแล้ว ครานี้นางพากลุ่มยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณกลับมาด้วย ไม่เพียงต้องการพาชิงหยวนไป ยังต้องการทวงขอน้ำเต้าอสูรทองคำจากท่านด้วย”
“พวกนางอยู่หนใด?”
ซูอี้ผู้ชมอาทิตย์อัสดงอยู่บนเก้าอี้หวายกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางผ่อนคลาย
“ก็…”
ในขณะที่เวิงจิ่วกำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งก็ทะยานร่างมายังที่แห่งนี้จากไกลแสนไกล
ผู้นำคือผูซู่หรง
ข้างกายนางคือชายผู้หนึ่งซึ่งมีเส้นผมสีเทาและตาสีม่วง ร่างผอมบาง สวมอาภรณ์เหลืองสว่าง
เขาก้าวเดินอย่างเยือนเย็นไร้กังวล และเมื่อเขากะพริบตาเปิดปิด ก็ปรากฏร่องรอยการผันผ่านแห่งกาลขึ้น
นอกจากนั้นยังมีผู้ติดตามสามชายหนึ่งหญิง แต่ละคนต่างเต็มไปด้วยบรรยากาศเฉพาะของขอบเขตวงล้อวิญญาณ
“เจ้า…”
สีหน้าของเวิงจิ่วแปรเปลี่ยนกะทันหัน
“เราย่อมตามเจ้ามา”
ผูซู่หรงยิ้มน้อย ๆ จากนั้นก็กล่าวกับคนรอบกายนาง
“ข้าขอแนะนำให้รู้จัก นั่นคือคุณชายซูอี้ ชายผู้มีการฝึกฝนเกินธรรมดา คราก่อนผู้เฒ่าผูหงเฉียนพ่ายแพ้แก่คุณชายซูและเสียน้ำเต้าอสูรทองคำให้เขา”
กล่าวจบ นางก็พยักหน้าให้ซูอี้ “คุณชายซู เราพบกันอีกแล้ว ขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือผู้อาวุโสแห่งเผ่าเรา ผูเจวี๋ย อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลาย ความแข็งแกร่งของเขามากพอจะติดอันดับหนึ่งในห้าผู้แข็งแกร่งที่สุดในภูมินภาจรัส”
ซูอี้ที่อยู่บนเก้าอี้หวายเหลือบตามองเหล่ายอดฝีมือจากเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงพลางกล่าวว่า “ข้าเห็นแล้วว่าพวกเจ้าเตรียมตัวมาดีในกาลนี้”
ผูซู่หรงกล่าวยิ้ม ๆ “หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของคุณชาย เราคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้”
ซูอี้กล่าว “คราก่อนข้าเตือนเจ้าแล้วว่าต่อให้นำบรรพชนของเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงเจ้ามา ก็ยังไม่อาจพาแม่นางชิงหยวนไปอยู่ดี ข้าจึงขอให้เจ้าตัดใจและจากไปโดยเร็วที่สุดในตอนนี้”
ผูซู่หรงอึ้งค้าง
เหล่ายอดฝีมือข้างกายนางต่างก็นิ่งอึ้ง ราวกับสงสัยว่าหูฝาดหรือไม่
“ไม่จำเป็นต้องอ้างวาจาหรอก หากยังดึงดันเลือกต่อสู้ เจ้าก็จะเห็นความจริงด้วยมือตนเอง”
ผูเจวี๋ยกล่าวเรียบ ๆ
วาจาของเขาไร้การแดกดันดูถูก ทว่าการวางตนของเขายิ่งใหญ่อหังการนัก
เสียงยังไม่ทันจางหาย ทว่าบรรยากาศเย็นเฉียบก็ปกคลุมยามพลบค่ำเสียแล้ว!