บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 737 หยุดยั้ง
ตอนที่ 737: หยุดยั้ง
ตอนที่ 737: หยุดยั้ง
ผูเจวี๋ยมีเส้นผมสีเทาและตาสีม่วง ร่างผอมบาง สวมอาภรณ์สีเหลืองสว่าง ยามขยับปากเอ่ยวาจายามนี้ เขาดูแข็งแกร่งราวกับเย้ยสรรพสิ่งในโลกา
เขาต่างจากยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณทั่วไป เลือดเนื้อและปราณของเขาแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า มั่นคงดุจขุนเขา ทุกการเคลื่อนไหวแข็งแกร่งข่มขวัญ
เหมือนเช่นหวนเทียนซูผู้ดับสลายด้วยมือซูอี้ในยามแรก ยอดฝีมือทั้งห้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณไม่อาจเทียบผูเจวี๋ยได้เลย
มีเพียงเยี่ยจ่างฉุนจากตระกูลเยี่ยที่พอจะเทียบได้ แต่ก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อย
ซูอี้มองปราดเดียวก็เห็น ว่าคนจากเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงผู้นี้ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนวิญญาณ แต่เป็นผู้ฝึกฝนกายเนื้อซึ่งใช้เลือดเนื้อพิสูจน์เต๋า!
สิ่งนี้ดูแตกต่างไปมากนัก เพราะถึงอย่างไร มรดกสูงสุดของเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงอย่างคัมภีร์เพรียกจันทราก็เป็นคัมภีร์สำหรับผู้ฝึกฝนวิญญาณ
ทว่าไม่นานนัก ซูอี้ก็เข้าใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงทราบแล้วว่าวิชาของผู้ฝึกฝนวิญญาณไร้ผลต่อเขาโดยสิ้นเชิง จึงส่งผู้ฝึกฝนกายเนื้ออย่างผูเจวี๋ยมาที่นี่
“คุณชายซู ครานี้แตกต่างจากอดีต หากทำได้ โปรดคืนน้ำเต้าอสูรทองคำมาด้วย อย่าก่อพิพาทใดอีกเลย”
ผูซู่หรงดูจริงใจ
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “สิ่งที่ข้ากล่าวจะไม่มีวันแปรเปลี่ยน”
ผูซู่หรงเงียบไป
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย ก่อนกล่าวว่า “เผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงของพวกเจ้ากระทำการซื่อสัตย์ ไร้ลูกไม้ชั่วร้าย และด้วยเหตุนี้ หากเจ้าพ่ายแพ้ต่อข้า ข้าก็จะไม่ทำการใดให้พวกเจ้าอับอายเช่นกัน”
ผูซู่หรงอดถอนใจส่ายหน้าไม่ได้
ความประทับใจของนางที่มีต่อซูอี้ไม่ได้เลวร้าย ต่อให้นางจะพ่ายแก่ซูอี้ นางก็ไม่ได้เกลียดชังซูอี้มากนัก
มีเพียงความรั้นของซูอี้เท่านั้นที่ทำให้ผูซู่หรงปวดหัวไม่น้อย
“แพ้?”
ผูเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าว “สงครามยังไม่ทันเริ่ม อย่าเพิ่งด่วนตัดสินไปหน่อยเลย”
“การมาของพวกเจ้าครานี้ดีมาก ข้าจะเลื่อนขอบเขตเผชิญหายนะอยู่แล้วเชียว ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหา”
กล่าวพลาง ซูอี้ก็ชี้ไปยังเหนือน่านนภา “ไปสู้กันที่นั่นเป็นไร?”
ผูซู่หรง ผูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ ตกใจอยู่ชั่วขณะ ยามนั้นเองพวกเขาจึงเข้าใจว่าซูอี้หมายความเช่นไร
เขากำลังสื่อว่าหากช้ากว่านี้สักนิด จะเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาต้องเผชิญกับซูอี้ผู้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
ผูเจวี๋ยครุ่นคิดชั่วขณะ และกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะเลื่อนขอบเขตเสร็จแล้วกัน”
ด้วยการฝึกฝนและฐานะของเขา เขาจึงไม่สนใจจะฉวยโอกาสเรื่องแค่นี้โนเวลพีดีเอฟ
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูอี้ก็ยิ้มและกล่าวขึ้นว่า “ในช่วงนี้ ข้าไม่รู้ว่าคนในบริเวณนี้มากมายเพียงไรที่ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของข้า ทว่าจวบยามนี้ กลับไม่มีผู้ใดกล้ากำแหงบุ่มบ่าม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
ผูเจวี๋ยขมวดคิ้ว “เจ้าจะบอกว่าพวกเขาล้วนกลัวเจ้ามากหรือ?”
ด้วยจิตสัมผัสของเขา เขาย่อมพบว่ามีคนมากมายให้ความสนใจต่อสถานการณ์ในบริเวณใกล้ประตูนครหลวงจิ๋วติ่ง
มีกระทั่งยอดฝีมือปะปนในหมู่พวกเขา
ซูอี้ส่ายหน้า ก่อนกล่าวว่า “อาจมีความกลัว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขากำลังเสาะแสวงโอกาสสังหารข้ายามเผลอไผล”
ผูเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เส้นทางแห่งการฝึกฝนมีข้อห้ามมากมาย หนึ่งในนั้นคือการก้าวข้ามหายนะโดยไร้ผู้คุ้มกัน หากทำเช่นนั้น การที่ศัตรูจะฉวยโอกาสสังหารจะแสนง่ายดาย!
นับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีตัวตนอันแข็งแกร่งมากเพียงไรที่ถูกศัตรูลอบสังหารระหว่างเก็บตัวฝึกฝนและกำลังผจญหายนะ เมื่ออารมณ์ได้รับการกระทบกระเทือน วิญญาณของพวกเขาก็จะสลายไปในหายนะ
“ในเมื่อเจ้ารู้ เหตุใดจึงไม่หลบซ่อนในนครหลวงจิ๋วติ่ง มาอยู่ที่นี่เสียเล่า?”
ผูเจวี๋ยถาม
“หายนะเยี่ยงนี้ ข้าทำไม่ได้หรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าอยากบอกเพียงว่า เจ้าจะเลือกแทรกแซงสังหารข้ายามผจญหายนะก็ย่อมได้”โนเวลพีดีเอฟ
“หรือไม่ เจ้าจะรอดูก็ได้ว่าศัตรูเหล่านั้นจะสามารถสร้างอันตรายใดให้ข้าระหว่างรับหายนะหรือไม่”
“ไม่ว่าจะเลือกทางใด ผลประโยชน์ย่อมตกแก่เจ้า”
“และด้วยเหตุนี้ ข้าก็จะออมแรงได้มากเช่นกัน”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ผู้ฟังก็ตกสู่ความเงียบงัน
เวิงจิ่วตะลึง
ซูอี้เผยคิดเช่นนี้กับคู่ต่อสู้ของเขาได้เช่นไร!?
กระทั่งผูเจวี๋ย ผูซู่หรงและคนอื่น ๆ ยังส่ายหน้าอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาไม่คิดเลยว่าซูอี้จะกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมา
“ข้าไม่ต้องการเช่นนั้นหรอก”
ผูเจวี๋ยปฏิเสธอย่างหนักแน่น
ยิ่งซูอี้แสดงกิริยาเช่นนี้ เขายิ่งรังเกียจจะฉวยโอกาส
“งั้นก็สู้กัน!”
ซูอี้ลุกขึ้นและทะยานสู่นภา
ทันใดนั้น ดวงตาหลายต่อหลายคู่ก็จับจ้องมายังนครหลวงจิ๋วติ่งจากระยะไกล
“มีผู้อดท้าทายซูอี้ไม่ได้หรือ?”
“ช่วงนี้มีข่าวลืออยู่ว่าซูอี้ถือครอง ‘เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง’ สมบัติอันล้ำค่าที่สุดในแสงสว่างแห่งโลกกว้าง ผู้ใดเล่าจะไม่ริษยา?”
“ช้าก่อน อืม เราจะมีสิ่งบันเทิงให้ดูต่อจากนี้แล้ว!”
เสียงกระซิบดังขึ้นใกล้ประตูนครหลวงจิ๋วติ่ง
ทว่าซูอี้ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย
แต่เขาสังเกตเห็นร่างของชายชราตาบอด จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างกำลังปรี่มาหา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาต่างสัมผัสความผิดปกติได้
“อย่าเข้ามาใกล้ ดูการแสดงก็พอ”
ซูอี้เตือน
โลกหล้ายามนี้มีมังกรและมัจฉาปะปน คลื่นใต้น้ำกระเพื่อมแรง เมื่อมีผู้ใดขยับตัวย่อมมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ
เขาไม่ต้องการให้พวกเหวินซินจ้าวเข้ามาพัวพัน
ส่วนปัญหาเหล่านี้ เขาแก้มันคนเดียวก็เพียงพอ
ขวับ!
ผูเจวี๋ยกระโดดขึ้นสู่อากาศ เผชิญหน้าซูอี้จากไกล ๆ
ภายใต้บรรยากาศอัสดง ร่างเพรียวบางของเขาทะยานอย่างเงียบงันพร้อมด้วยปราณพลุ่งพล่านเยี่ยงภูเขาไฟใกล้ระเบิด
และเบื้องหลังเขาบังเกิดวงล้อวิญญาณมหาวิถีขนาดราว ๆ สิบจั้ง หนาแน่นกลมดิก!
วงล้อวิญญาณมหาวิถีเป็นสีทองศักดิ์สิทธิ์ ยามเมื่อมันเคลื่อนหมุนก็บังเกิดภาพนิมิตของบรรพตเทพมโหฬาร
ตู้ม!
อากาศสนั่นไหว เมฆาสลายหาย
ในฉับพลันนั้น อำนาจอิทธิฤทธิ์ของผูเจวี๋ยก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเพียงไรที่ถูกปราณของผูเจวี๋ยทำให้ตกตะลึง
ขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลาย!
ผู้ฝึกฝนกายเนื้อ!
การปรากฏของสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นวงล้อวิญญาณมหาวิถีชั้นหนึ่ง!
ผู้ร้ายกาจถึงเพียงนี้มาจากแห่งหนใด?
ผู้คนแทบไม่เชื่อสายตาตน
“แก่นแท้ วิญญาณ และร่างกายหลอมรวมเป็นหนึ่ง ความแข็งแกร่งของร่างกายถูกขัดเกลาจนเทียบได้กับร่างทองคำอมตะในพุทธศาสนา เขาเป็นบุคคลผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ควรค่าจะติดอันดับหนึ่งในห้าผู้แข็งแกร่งที่สุดในภูมินภาจรัส”
ซูอี้ลอบกล่าว
“เชิญ”
ผูเจวี๋ยกล่าว
แขนเสื้อของเขาโบกสะบัด ผิวกายเรื่อสีทองแซม ปราณอันทรงพลังทะยานทะลวงเวหา น่ากลัวยิ่งนัก
ในมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ ผูเจวี๋ยและตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณอื่น ๆ ย่อมเป็นตัวตนสูงสุดโดยไม่ต้องสงสัย!
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ และไม่พูดพร่ำทำเพลง
อันที่จริงคือ เขาไม่ต้องการเสียเวลามากไปกว่านี้
เขาก้าวสู่อากาศ อาภรณ์พลิ้วสะบัด และกำหมัดชกใส่ผูเจวี๋ย
ตู้ม!
หมัดนี้ช่างเรียบง่ายไร้ความหวือหวา ทว่ากลับดูสามารถพลิกผันกระแสนทีได้
ในระดับของซูอี้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนดึงพลังแห่งมหาวิถีจากทั่วสารทิศมาหนุนเสริม ดูเรียบง่าย ทว่าความจริงแล้วมันเกินหยั่งคาด
สีหน้าของผูเจวี๋ยแข็งกร้าวเย็นชา และเขาก็ชกออกไปเช่นกัน
เขาไม่ได้ดูถูกซูอี้และใช้อำนาจที่แท้จริงออกมาโดยตรง ซึ่งเมื่อชกออกมา วงล้อวิญญาณมหาวิถีสีทองเบื้องหลังเขาก็ระเบิดแสงพร่างพรายสู่บรรพตลำธาร เจิดจ้าจรัสแสง
เกิดรอยร้าวเหยียดตรงบนเวหา คลื่นกระแทกเลือนลั่นเยี่ยงอสนีบาต
สงครามบังเกิด
ตู้ม!
สุญญะดูใกล้ถล่ม แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออก คลื่นไหลปั่นป่วนกระเพื่อมผ่าน
ซูอี้และผูเจวี๋ยโรมรันดุเดือดราวสองเทวาประชันศึก พวกเขาประมือกันหลายร้อยกระบวนท่าในพริบตา โลกาปั่นป่วนด้วยปราณ สุริยันจันทราหม่นแสง
ผู้เฝ้ามองต่างตกตะลึง
ผูเจวี๋ยแข็งแกร่งยิ่ง พลังกายของเขาเทียบได้กับสมบัติวิญญาณแห่งมหาวิถี ร่างของเขาดุจดั่งมหาคีรีตระหง่านหล้าดั้นนภา ดุร้ายอหังการ
เมื่อมองจากไกล ๆ มันก็ให้ความรู้สึกกดดันต่อผู้มองอย่างมหาศาล
อำนาจในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณนี้ ไม่รู้ว่าทำให้ผู้คนตกตะลึงได้มากเพียงไร
ทั้งจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยและเวิงจิ่วต่างตะลึงอึ้ง พวกเขาตระหนักแล้วว่าครานี้ผูซู่หรงพายอดฝีมือที่แท้จริงมาด้วย!
ทว่าเมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน ผู้คนก็ค่อย ๆ ตระหนักว่าแม้จะแข็งแกร่งเยี่ยงผูเจวี๋ยก็ยังไม่อาจหยุดยั้งซูอี้ได้
ในทางกลับกัน การโจมตีของผูเจวี๋ยกลับค่อย ๆ ถูกซูอี้ปราบลงทีละน้อย!
“สมกับเป็นท่านเทพเซียนซู! ด้วยระดับฝึกฝนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เขาแข็งแกร่งเกินกว่าที่ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณเยี่ยงนี้จะต่อกรได้!”
มีเสียงอุทานดังขึ้น
เขาอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ห่างกันสองขอบเขตใหญ่ แต่ก็ยังสามารถหยุดยั้งคู่ต่อสู้ได้เป็นขั้นเป็นตอน ทั่วโลกหล้าจะมีสักกี่คนที่ทำได้เช่นนี้?
สีหน้าของพวกผูซู่หรงแปรเปลี่ยนเป็นสงสัย
พวกเขาในครานี้เตรียมตัวมาดี พวกเขากระทั่งส่งตัวตนในขั้นปลายขอบเขตวงล้อวิญญาณอย่างผูเจวี๋ยมาจัดการซูอี้ในเมื่อวิชาฝึกฝนวิญญาณใช้กับซูอี้ไร้ผล
ทว่าผู้ใดเล่าจะคาดว่าแม้พลังอำนาจในฐานะผู้ฝึกฝนกายเนื้อของผูเจวี๋ยจะแข็งแกร่ง แต่ยังไม่อาจทำอันใดซูอี้ได้ …พวกเขาจะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
“ฆ่า!”
เสียงตวาดลั่นดังขึ้น
ผูเจวี๋ยโจมตีสุดกำลัง ปราณทะยานพุ่งสู่จักรวาล วงล้อวิญญาณมหาวิถีเบื้องหลังเขาหมุนวน เสริมส่งพลังของเขาให้ยิ่งน่าหวาดหวั่น
หนทางแห่งการฝึกฝนกายเนื้อ ใช้ร่างรองรับวิถีเต๋า เสริมแกร่งความสามารถของตนถึงขีดสุด และผู้ฝึกฝนกายเนื้อจะสามารถบดขยี้ขุมอำนาจนับสิบได้เมื่อยามสงคราม
ผูเจวี๋ยย่อมอยู่ในจุดสูงสุดแห่งการฝึกฝนกายเนื้อ วิถีเต๋าของเขาถูกขัดเกลาเหนือบุคคลรุ่นเดียวกัน เพียงหนึ่งหมัดก็สามารถสังหารคนเช่นหวนเทียนซูซึ่งไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษได้
กระทั่งเยี่ยจ่างฉุน ผู้อาวุโสจากตระกูลเยี่ยยังไม่อาจหยุดการโจมตีอันไร้ผู้ต้านนี้ได้
ทว่าครานี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ผู้มีการฝึกฝนอยู่เพียงขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ผูเจวี๋ยกลับไม่อาจสร้างความคืบหน้าใด ๆ ได้แต่ต้นจนจบ!
ไม่ว่าจะทุ่มสุดตัวเช่นไร หรือใช้เคล็ดวิชาฝึกฝนกายเนื้อที่สามารถเขย่านภาสะท้านแดนดินมากมายเพียงไร ทั้งหมดนี้กลับถูกซูอี้ขยี้สิ้น
หากผูเจวี๋ยกล่าวได้ว่าบดขยี้ขุมอำนาจนับสิบได้โดยลำพัง เช่นนั้น ซูอี้ก็กล่าวได้ว่าสามารถเอาชนะหมื่นเคล็ดวิชาได้โดยฝ่ามือเดียว!
นี่ทำให้ผูเจวี๋ยใจสั่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างไม่เคยทำมาก่อน
เมื่อมาที่นี่ เขาก็เรียนรู้เกี่ยวกับซูอี้ ดังนั้นนับแต่เริ่มสงครามจนบัดนี้ เขาจึงใช้พลังที่แท้จริงโดยไม่ปิดบัง ไม่กล้าปฏิบัติตนต่อซูอี้เหมือนเช่นผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั่วไป
ทว่าเขาไม่คาดเลยว่าชายหนุ่มเช่นซูอี้จะอหังการอย่างไม่น่าเชื่อถึงเพียงนี้!
“วิถีเต๋าของเจ้าถูกบ่มเพาะมาดีเอาการ และเป็นคู่มือคนแรกที่คู่ควรต่อการสนใจอย่างเต็มที่ของข้า”
ระหว่างศึก ซูอี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ พลางกล่าวว่า “ทว่า ให้ผู้ช่วยของเจ้าเข้ามาช่วยเถิด หาไม่ เจ้าจะแพ้โดยไม่ต้องสงสัยเลย”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ผู้ฟังต่างตกตะลึง
ผูเจวี๋ยฟังออกว่าวาจาของซูอี้ไม่ใช่คำดูถูกแดกดัน
ทว่าคำพูดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
ขณะเดียวกัน ผูซู่หรงก็ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นได้ และออกคำสั่งโดยไม่ลังเล
“เร็วเข้า ลงมือด้วยกันเถอะ! เราต้องไม่แพ้ศึกนี้!”
สามชายหนึ่งหญิงจากเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงข้างกายนางมองหน้ากัน และต่างลงมืออย่างใจกล้า!