บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 738 เมฆาทมิฬลอยเหนือนคร พยานรู้เห็นมากมายดั่งดารดาษ
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 738 เมฆาทมิฬลอยเหนือนคร พยานรู้เห็นมากมายดั่งดารดาษ
ตอนที่ 738: เมฆาทมิฬลอยเหนือนคร พยานรู้เห็นมากมายดั่งดารดาษ
ตอนที่ 738: เมฆาทมิฬลอยเหนือนคร พยานรู้เห็นมากมายดั่งดารดาษ
ขอบเขตวงล้อวิญญาณนับเป็นขอบเขตอันสูงสุดภายใต้ขอบเขตจักรพรรดิ
ไม่ว่าจะเป็นในมหาทวีปคังชิงหรือโลกหล้าอื่น ๆ ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณล้วนแต่นับว่าเป็นกำลังหลักของมหาอำนาจสักแห่งหนทั้งสิ้น
เมื่อตัวตนขอบเขตจักรพรรดิไม่ปรากฏกาย ผู้คนย่อมให้เกียรติวงล้อวิญญาณ!
และผูเจวี๋ยกับบุคคลอื่น ๆ ในขอบเขตวงล้อวิญญาณก็นับได้ว่าเป็นบุคคลชั้นหนึ่งในโลกหล้าผู้มีโอกาสได้พิสูจน์เต๋า กลายเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิในภายหน้า!
ทว่ายามนี้ เขากลับแสดงสัญญาณถูกกำราบในศึกกับซูอี้ ผูซู่หรงจะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
เพราะเหตุนี้ ยามเมื่อนางได้ยินซูอี้กล่าวเช่นนั้น นางจึงตัดสินใจโดยไม่ลังเล สั่งให้ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณอีกสี่คนรุมโจมตี!
คนทั้งสี่ สามชายหนึ่งหญิงนี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณ พวกเขาปรากฏกายสูงลิบบนฟ้าในพริบตา
แต่ละคนต่างล้ำเลิศ!
ทว่า ทันใดนั้น…
ผูเจวี๋ยขมวดคิ้วและหยุดมือ “การต่อสู้ครั้งนี้จบแล้ว!”
วาจาถูกบีบอัน สะท้านก้องทั่วโลกา
ผู้ฟังต่างตกตะลึง
ผูเจวี๋ยเก็บมือของเขา สีหน้าซับซ้อนแฝงความชื่นชม ทอดถอนใจกล่าว “สหายเต๋าซูฝีมือล้ำเลิศนัก แข็งแกร่งอย่างไม่อาจหยั่ง วิถีเต๋าของข้ายังไม่ดีพอ”
วาจาเหล่านั้นทำให้เหล่าผู้เฝ้ามองต่างตื่นตัว แสนอัศจรรย์ใจ
ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งสี่ต่างเงียบสนิท
ผูซู่หรงกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ผู้อาวุโสผูเจวี๋ย ท่านยัง…”
ผูเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้องพูดแล้ว”
เขาหันไปกล่าวกับซูอี้ว่า “ไม่รู้ว่าสหายเต๋าซูจะยอมให้ข้ารับความพ่ายแพ้หรือไม่?”
สุดยอดฝีมือผู้นี้แข็งแกร่งพอจะติดอันดับหนึ่งในห้ายอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้ ซึ่งสูงส่งอย่างยิ่ง
เขายอมรับความพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมา!
ทว่ายิ่งเขาทำเช่นนั้น เหล่าผู้รับชมจากไกล ๆ ยิ่งตะลึงในใจ
หากมีโอกาสชนะ ผูเจวี๋ยจะหยุดมือหรือไม่?
และในใจผูเจวี๋ย เขาตัดสินใจแล้วหรือไม่ว่าแม้ตนและตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งสี่ลงมือร่วมกัน ก็ยังไม่อาจสร้างความได้เปรียบได้ในตอนท้าย?
ซูอี้จ้องมองผูเจวี๋ยอย่างลึกล้ำ “การเดินหน้าและล่าถอยล้วนมีขีดจำกัด จิตใจและวิญญาณจะได้ไม่ดับสลาย ไม่น่าสงสัยเลยที่เจ้าจะสำเร็จการฝึกฝนกายเนื้อได้ถึงเพียงนี้”
ยามนี้ ผูเจวี๋ยร่างชะงักงัน บังเกิดภาพหลอนขึ้นในใจ
ดูเหมือนผู้ที่เขาเผชิญจะไม่ใช่ชายหนุ่มอ่อนวัย ทว่ากลับเป็นตัวตนอันน่าหวาดหวั่นราวบรรพชนผู้สามารถเอาชนะเขาได้โดยง่าย!
ทว่าไม่นานนัก ความรู้สึกนั่นก็หายไป
ซูอี้กล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียหน้า แต่หากเคลื่อนไหวได ๆ อีกแม้แต่หนึ่งกระบวนท่า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน”
ผูเจวี๋ยค้อมหัวเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “สหายเต๋าอย่าห่วงเลย”
กล่าวจบ เขาก็พาพรรคพวกอีกสี่กลับสู่พื้น
“พลาดอีกแล้ว…”
ผูซู่หรงกล่าวอย่างขมขื่น หัวใจอึดอัดยิ่งนัก
“เก็บของรอดูเรื่องดี ๆ เถิด”
ผูเจวี๋ยกล่าว “วันนี้ ที่นี่จะมีหายนะมาสู่ซูอี้”
ผูซู่หรงตกใจ
นางเงยหน้ามองนภาพลบค่ำมืดมิด นภาพิภพกว้างใหญ่ และบริเวณใกล้เคียงประตูนครหลวงจิ๋วติ่งคลาคล่ำด้วยผู้คนซึ่งไม่รู้ว่ามารวมตัวกันแต่ยามใด
จากนั้น ผูซู่หรงก็ระลึกได้ถึงวาจาก่อนหน้านี้ของซูอี้
ในชั่วขณะนี้ ผู้คนต่างให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของซูอี้ และหมายมาดทำลายเขายามไม่ทันตั้งตัว!
ในขณะเดียวกัน ซูอี้ก็กล่าวเช่นกันว่าจะต้องผจญหายนะในอีกไม่นาน!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผูซู่หรงพลันตระหนักว่าการยอมแพ้ของผูเจวี๋ยเมื่อครู่ไม่ได้เรียบง่ายดั่งที่เห็น
“ท่านพยายามยืมมีดฆ่าคนหรือ?”
ผูซู่หรงส่งกระแสเสียงปราณถาม
“ผิดแล้ว ข้าไม่ใช่คู่ต่อกรในมหาวิถีของซูอี้อย่างแท้จริง แม้จะยอมแพ้ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างเต็มใจ”
ผูเจวี๋ยกล่าว “สุดท้าย ข้าก็แค่ไม่อยากให้ศัตรูของซูอี้ฉวยประโยชน์จากการต่อสู้และบังเอิญทำให้เขาบาดเจ็บขณะผจญหายนะเท่านั้น”
“ไปกันเถิด ไปจากที่นี่ก่อน ค่อยตัดสินผิดถูกก็ยังไม่สาย”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวเดินไปไกล “รอก่อน เมื่อซูอี้ผ่านภัยพิบัติมา จะมีอะไรดี ๆ ให้ได้ชมเป็นแน่”
กลุ่มของเขาออกไปจากสถานที่อย่างรวดเร็ว
ซูอี้ไม่ได้หยุดพวกเขา
ชายหนุ่มกลับสู่เนินเล็ก เก็บเก้าอี้หวายและกล่าวกับเวิงจิ่วว่า “พวกเจ้าก็ไปจากที่นี่ ไปอยู่กับพวกชายชราตาบอด หลบในเมืองจากอันตรายเสีย”
เวิงจิ่วกล่าวอย่างเป็นกังวล “สหายเต๋าซู ท่านเองก็ควรกลับไปผ่านหายนะในเมืองนะ”
เขาเองก็สังเกตเช่นกันว่ามีคลื่นใต้น้ำปั่นป่วนอยู่ในบริเวณนอกเมือง พายุกำลังจะมา ซึ่งแตกต่างจากกาลก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
“การสังหารศัตรูยามจบหายนะจะไปสนุกอันใด?”
ซูอี้ยิ้ม “นอกจากนั้น หากไม่ให้โอกาสสักหน่อย ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกเขาจะทำอันใดมากเพียงไรในภายหน้า”
ทุกวันนี้ แม้เขาจะหลบมาอยู่บนเนินเล็กนี่ แต่เขาก็ไม่ได้พลาดข่าวจากภายนอก
ชายหนุ่มสังเกตเห็นเนิ่นนานแล้วว่ามีคนน่าสงสัยมากมายในบริเวณใกล้เคียงนครหลวงจิ๋วติ่ง และพอคาดเดาได้ว่าผู้มามีจุดประสงค์เช่นไร
ท้ายที่สุด เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงก็ช่างเย้ายวนยิ่ง!
“ที่แท้สหายเต๋าก็มีแผน”
แววตาของเวิงจิ่วแปรเปลี่ยนประหลาด
ยามนั้นเอง เขาจึงตระหนักว่าซูอี้ดูจะใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ และเหตุที่มารอหายนะที่นี่ก็เพื่อล่อศัตรูผู้เร้นกายออกมา!
แม้ว่าวิธีการนี้จะเสี่ยงและใจกล้ายิ่ง แต่จากความเข้าใจของเวิงจิ่วที่มีต่อซูอี้ เขากระจ่างแก่ใจมากว่าเมื่อซูอี้กล้าทำเช่นนี้ อีกฝ่ายย่อมต้องมีความมั่นใจเพียงพอ!
ยิ่งกว่านั้น แม้จะเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขอเพียงซูอี้ลี้ไปยังนครหลวงจิ๋วติ่งและใช้อำนาจของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้ เขาก็หลบพ้นจากอันตรายได้เช่นกัน!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เวิงจิ่วก็จากไปโดยไม่ลังเลอีก
แสงอาทิตย์อัสดงฉายแสงแสดแดงโปรยปรายฉาบแดนดิน ย้อมกำแพงนครหลวงจิ๋วติ่งอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่
แม้ว่าเนินเล็กที่ซูอี้อยู่จะห่างไกลจากประตูนครมากนัก แต่ผู้ฝึกตนก็สามารถมาถึงที่นี่ได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
หากมองลงมาจากฟ้า จะพบเงาร่างมากมายอยู่ใกล้เคียงประตูนครหลวงจิ๋วติ่ง
ในลักษณะเดียวกัน ในพื้นที่อื่น ๆ รายล้อมเนินที่พำนักของซูอี้ก็ยังมีกลุ่มผู้ฝึกตนมองมาจากไกล ๆ
ทว่า ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้นับแต่ต้นจนจบ
“คุณชายซูขุดหลุมพรางลวงศัตรูให้กระโดดลงไป”
เฒ่าบอดมีสีหน้าพิกล “รอก่อน ยามเมื่อหายนะวิถีวิญญาณของคุณชายซูปรากฏ ผู้ประสงค์ร้ายจะโผล่มาทีละคนเป็นแน่”
“สหายเต๋า แล้วเราควรทำเช่นไร?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยครุ่นคิด
“รอดูเรื่องสนุก”
ชายชราตาบอดกล่าวโดยไร้ลังเล
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตกใจ และอดอึ้งตะลึงไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าชายชราตาบอดแทบจะมั่นใจในตัวซูอี้อย่างหน้ามืดตามัว
“ข้าคิดว่าเราควรระวังตัวมากกว่านี้สักหน่อย อย่าถ่วงแข้งถ่วงขาศิษย์พี่ซูนะ”
เหวินซินจ้าวย้ำเตือน
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าวอย่างมั่นใจลึกล้ำ “ย่อมเป็นเช่นนั้น หากเกิดเรื่องใดไม่คาดฝัน ข้าจะใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนมาปกป้องเราโดยเร็วที่สุด”
ระหว่างการสนทนา พลันปรากฏเสียงพิโรธแห่งอสนีจากท้องนภาพลบค่ำ สนั่นลั่นเป็นพิเศษทั่วโลกกว้างอันเงียบงัน
ผู้คนต่างมองขึ้นไปเป็นตาเดียวด้วยความตกใจ
ลึกเข้าไปในห้วงนภา ปรากฏสีดำดั่งหมึกสยายออกอย่างเงียบงัน และในชั่วไม่กี่อึดใจ มันก็เปลี่ยนเป็นเมฆาทัณฑ์อันปกนภาบังตะวัน
ท้องนภาตะวันอัสดงดูจะจมสู่ความมืดนิรันดร์กาล
บริเวณรายล้อมเนินที่ซูอี้อยู่ในรัศมีหมื่นจั้งต่างถูกปกคลุมด้วยเมฆาทัณฑ์
เมฆาทมิฬลอยเหนือนคร หมายมาดทำลายสิ้น!
ผู้คนในบริเวณนครหลวงจิ๋วติ่งล้วนสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเมฆาทัณฑ์นี้ซึ่งเหมือนดั่งวันสิ้นโลกกำลังจะมาเยือน แม้จะแข็งแกร่งเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีวิญญาณก็ยังอดสูดหายใจเฮือก และสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างระงับไม่ได้
“ปราณทำลายล้างแข็งแกร่งยิ่งนัก นี่มันหายนะวิถีวิญญาณอันใดจึงรุนแรงถึงเพียงนี้?”
ผู้อาวุโสบางคนพึมพำ ร่างสะท้านด้วยความกลัว
“บททดสอบจากสวรรค์ที่ข้าก่อยามก้าวสู่ขอบเขตสยายวิญญาณเบาบางกว่านี้มากนัก กระทั่งเทียบได้กับหายนะที่ข้าเผชิญยามก้าวสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ!”
ผูเจวี๋ยกระซิบด้วยสีหน้าที่ดูตกใจ
ข้างกายเขา ผูซู่หรงและคนอื่น ๆ ต่างหน้าซีดตัวสั่น
ในขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเพียงไรในบริเวณใกล้เคียงที่กระซิบส่งวาจา เตรียมตัวขยับเคลื่อน!
บนเนินเล็ก
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง เงยหน้าขึ้นมองท้องนภา ในดวงตาลึกล้ำปรากฏแววตาประหลาดขึ้น
เป็นดั่งที่เขาคิด หายนะสยายวิญญาณในครานี้ก็เปี่ยมด้วยปราณอันแข็งแกร่งและพิสดารยิ่ง!
แม้จะตัดสินโดยใช้ประสบการณ์หนึ่งแสนแปดพันปีจากอดีตชาติของซูอี้ หายนะนี้ก็ยัง ‘ไม่เคยพานพบมาก่อน’!
ไม่อาจพบได้ตราบบรรพกาลจวบปัจจุบันในเก้ามหาแดนดิน!
ทว่า ซูอี้ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย
เขารอวันนี้มาเนิ่นนาน
กล่าวให้ถูกคือ เขารอที่เนินเล็กนี้นับแต่วันที่สี่เดือนสี่ ยามเริ่มแสงสว่างแห่งโลกกว้างแล้ว!
เหตุที่เขาไม่ได้เลือกเลื่อนขอบเขตในช่วงเวลาเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะเขาต้องการรอให้ศัตรูมาหาถึงที่
แต่เขากำลังครุ่นคิดถึงประเด็นหนึ่ง
มันเป็นเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับการข้ามผ่านบททดสอบและทะลวงเขตแดน
และยามนี้ เขาคิดเสร็จสิ้นแล้ว
ดังนั้นย่อมเกิดหายนะตามมา ทุกอย่างเป็นไปตามคาด
เหมือนดั่งยามดอกไม้บาน ย่อมมีผีเสื้อบินมา
ทันใดนั้น…
“สหายเต๋าซ่างใจกล้า แม้จะรู้ว่าที่แห่งนี้มีผู้คนมากมายคิดโจมตี แต่ก็ยังกล้ารับหายนะที่นี่ เจตจำนงเช่นนี้ยากจะไม่ให้ผู้คนชื่นชม”
เสียงหนึ่งกังวานก้องฟ้าสะท้านพิภพ
จากนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า ห่างจากซูอี้ไปร้อยจั้ง
เขาเป็นชายร่างผอมในชุดคลุม สวมเกี้ยวบงกช วิถีเต๋าและกิริยาดุจเซียน
“นายแห่งหอเมฆาเขียว!?”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นรอบทิศ คนผู้นี้ถูกจำได้ว่าเป็นฟู่ชิงอวิ๋น นายเหนือแห่งหอเมฆาเขียวผู้เลื่องชื่อในโลกาในนาม ‘นายแห่งหอเมฆาเขียว’!
‘ทำเนียบดารา’ ซึ่งดึงดูดความสนใจทั่วโลกหล้าในชั่วขณะล้วนมาจากการจัดเรียงของหอเมฆาเขียว
ในสายตาผู้ฝึกตนในโลกหล้า หอเมฆาเขียวคือขุมอำนาจใหญ่ไร้ข้อกังขา พวกเขาลึกลับเก็บตัวเงียบอย่างยิ่ง ไม่เคยเข้าร่วมความขัดแย้งใด ๆ
ทว่ายามนี้ ยามเมื่อซูอี้ก้าวข้ามหายนะ ฟู่ชิงอวิ๋น นายเหนือแห่งหอเมฆาเขียวกลับปรากฏกายขึ้นคนแรก!
นี่จะไม่น่าแปลกใจได้เช่นไร?
ซูอี้เหลือบมองฟู่ชิงอวิ๋นจากไกล ๆ กล่าวว่า “เจ้าอยากเป็นศัตรูข้าหรือ?”
จากเสียงของผู้คนไกล ๆ เขาก็ตระหนักรู้ถึงฐานะของฟู่ชิงอวิ๋นแล้ว และอดสงสัยไม่ได้ว่าหอเมฆาเขียวและขุมอำนาจอื่น ๆ ก็สนใจในอำนาจเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงด้วยหรือ?
ฟู่ชิงอวิ๋นก้มหัวทักทายเขา “สหายเต๋าเข้าใจผิดแล้ว ฟู่ผู้นี้มาที่นี่วันนี้เพื่อประจักษ์สถานการณ์ด้วยตาตน ดังนั้นถือเสียว่ายามนี้ข้าเป็นพยานก็ย่อมได้”
ซูอี้ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน และกล่าวว่า “หรือวิถีเต๋าของหอเมฆาเขียวพวกเจ้าจะใช้เส้นทางฝึกฝน ‘บันทึกสีชาดครอบโลกาหนึ่งวิถี’?”
ฟู่ชิงอวิ๋นตะลึงไปครู่หนึ่ง และแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง “สหายเต๋ามีสายตาเฉียบแหลม!”
หัวใจของเขาดุจทะเลคลั่ง ไม่อาจสงบลงได้