บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 739 ศัตรูรอบด้าน
ตอนที่ 739: ศัตรูรอบด้าน
ตอนที่ 739: ศัตรูรอบด้าน
ครอบโลกา เป็นตัวแทนของเรื่องราวต่าง ๆ ภายในโลก รวมถึงรูปลักษณ์ต่าง ๆ ของสรรพสัตว์
บันทึกสีชาด เป็นตัวแทนของหนังสือประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
บันทึกสีชาดครอบโลกาหนึ่งวิถีก็คือการรู้แจ้งความลับแห่งมหาวิถีจากพงศาวดารอันเก่าแก่โบราณกับเรื่องราวต่าง ๆ ภายในโลก
ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างใหญ่หลวง ใช้เวลาท่องเที่ยวพเนจรบนโลกมนุษย์เป็นเวลายาวนาน ตระหนักรู้ถึงเรื่องราวต่าง ๆ บนโลกจากหนังสือประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงสามารถเปรียบเทียบและรู้แจ้งในความลับวิวัฒนาการของเรื่องต่าง ๆ ในโลกได้
และผู้แข็งแกร่งที่ต้องการหนทางวิถีเช่นนี้ ล้วนแล้วแทบจะมาจากคนในวิถีขงจื่อ ได้รับการขนานนามในเก้ามหาแดนดินให้เป็น ‘ผู้บันทึก’ มหาวิถี หรือเป็น ‘ผู้ถือมีดพู่กัน’
ดังเช่น ‘สำนักบัณฑิตเก้าแคว้น’ ขุมกำลังอันดับหนึ่งของวิถีขงจื่อ เป็นกลุ่มเต๋าขุมกำลังสูงสุดที่มีบันทึกสีชาดครอบโลกาหนึ่งวิถี
เมื่อชาติก่อน ซูอี้ให้ความชื่นชมนับถือผู้ฝึกตนเช่นนี้มาก
และก็เป็นเพราะการดำรงอยู่ของผู้ฝึกตนเช่นนี้ จึงทำให้ประวัติศาสตร์การฝึกตนในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานได้รับการบันทึก และกลายเป็นคัมภีร์ที่มีลายลักษณ์อักษร สามารถให้คนรุ่นหลังนับหมื่น ๆ รุ่นได้อ่าน
แต่ทว่า ในมหาทวีปคังชิง ขุมกำลังกับผู้ฝึกตนเช่นนี้กลับมีอยู่น้อยมาก
และสาเหตุที่ฟู่ชิงอวิ๋นเห็นด้วย เพราะเพียงแค่แวบตาเดียวซูอี้ก็สามารถมองประวัติที่สืบทอดกันมาของหอเมฆาเขียวออก!
“ในเมื่อสิ่งที่เจ้าฝึกคือบันทึกสีชาดครอบโลกาหนึ่งวิถี คิดว่าเจ้าคงจะศึกษาเรื่องราวและบุคคลในใต้หล้าปัจจุบันนี้มาบ้างแล้วกระมัง?” ซูอี้ถาม
ฟู่ชิงอวิ๋นยกมือขึ้นจัดแจงเกล้าทรงดอกบัวบนศีรษะ ตอบจริงจังหนักแน่น “หอเมฆาเขียวของข้าสังเกตและบันทึกความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันมาโดยตลอด เทียบกันแล้ว เข้าใจเรื่องราวมากมายที่คนในโลกไม่รู้”
ซูอี้กล่าว “ข้าไม่สนใจในเรื่องที่พวกเจ้ารู้ ในเมื่อเจ้าต้องการจะเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ประเดี๋ยวเมื่อศัตรูเหล่านั้นของข้าปรากฏตัวขึ้น ช่วยข้าสักเรื่องเป็นอย่างไร?”
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าวขออภัย “สหายเต๋า หอเมฆาเขียวของข้าจะไม่สอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องในวันนี้ โปรดอภัยด้วย”
ซูอี้กล่าว “เจ้าจงวางใจ เรื่องฆ่าศัตรูเช่นนี้ ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว สิ่งที่ข้าให้เจ้าทำ ก็คือเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้น บอกประวัติความเป็นมาของพวกเขาให้ข้ารู้”
ฟู่ชิงอวิ๋นแอบโล่งอก พยักหน้าพลางกล่าว “ได้”
ทันใด เขารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล อดถามขึ้นมาไม่ได้ “สหายเต๋า เจ้าต้องการจะรู้เรื่องเหล่านี้ หรือว่า… มีแผนอย่างอื่น?”
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “คนอื่นต้องการจะขัดขวางข้า แย่งชิงสมบัติล้ำค่าของข้า ข้าจะไม่รู้แม้กระทั่งประวัติที่มาของศัตรูได้อย่างไร?”
ฟู่ชิงอวิ๋นเงียบไป
“แน่นอน ข้าคนนี้เป็นคนจดจำความแค้นจนเข้ากระดูก ข้าต้องจดจำขุมกำลังที่เป็นศัตรูกับข้าเหล่านั้นอย่างละเอียด”
ซูอี้พูดเสริมขึ้นมาอีกครั้ง
ฟู่ชิงอวิ๋นลอบตะลึงในใจ จากนั้นจึงเข้าใจได้แล้วว่า ที่ซูอี้ต้องการทราบประวัติความเป็นมาของศัตรูเหล่านั้น ที่แท้แล้วก็เพื่อที่จะแก้แค้นในวันข้างหน้า!!
คำสนทนาของคนทั้งสองไม่ได้มีการปิดบัง ดังนั้นภายใต้ท้องฟ้าที่มีเมฆทัณฑ์ดำมืดครอบคลุม ผู้ที่มาชมการต่อสู้อยู่ห่าง ๆ จึงได้ยินชัดแจ้งสองหู
ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าใดกันที่ใจสั่นสะท้าน รู้ว่าซูอี้ทำเช่นนี้เพื่อเตรียมจะแก้แค้นในวันข้างหน้า!
“วันนี้เจ้า ซูอี้ จะสามารถมีชีวิตรอดหรือไม่ ก็ยังไม่แน่ ตอนนี้กลับเริ่มคิดไปไกลถึงเรื่องล้างแค้นในวันข้างหน้าแล้ว ช่างน่าขันยิ่งนัก!”
ทันใด เสียงหัวเราะเย็นชาก็ดังขึ้น
ร่างของผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งร่อนลงมาแต่ไกล ท่าทางดุดันน่ากลัว ทั้งสิ้นมีจำนวนสิบกว่าคน
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ มีทั้งหญิงชายเด็กและผู้เฒ่า ถึงแม้ลักษณะท่าทางและการแต่งตัวจะต่างกัน ทว่าบนตัวล้วนมีกลิ่นอายของขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
พอปรากฏตัวขึ้น ก็สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ว
“ตระกูลหวนเผ่ามาร สำนักผลาญตะวัน สำนักวิถีสุญญะ สำนักฌานกระจ่างจิต!”
“ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณสิบกว่าคน!”
“หมดกัน ระหว่างสี่ขุมกำลังโบราณกับเทพเซียนซู มีความแค้นยิ่งใหญ่อยู่ด้วย!”
โนเวลพีดีเอฟ…เสียงร้องอุทานจากที่ ๆ ไกลออกไปดังไปทั่ว
ปีที่แล้ว ณ เกาะเซียนพระสุเมรุ ซูอี้เคยฆ่าพวกของหวนเฉ่าโหยวซึ่งเป็นผู้ร้ายกาจของขุมกำลังโบราณ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ซูอี้กับขุมกำลังโบราณทั้งหลายก็มีความแค้นยิ่งใหญ่ต่อกัน
และวันที่สิบเดือนสามเมื่อไม่นานมานี้ ซูอี้ก็ประหารมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตวงล้อวิญญาณห้าท่านที่หน้านครหลวงจิ๋วติ่ง สยบกองกำลังทหารของขุมกำลังโบราณทั้งห้า!
และตอนนี้ นอกจากคีรีดาบเมฆาเร้นแล้ว สี่ขุมกำลังโบราณอื่น ๆ ที่เคยพ่ายแพ้ต่อซูอี้ในตอนนั้นได้วกกลับมาหาอีกครั้ง!
บรรยากาศทั่วปฐพี เริ่มกดดันขึ้นมา
“ขุมกำลังโบราณเหล่านี้ ตามระรานไม่หยุดจริง ๆ!”
สีหน้าของพวกจักรพรรดิเซี่ยกับเวิงจิ่วเคร่งเครียดลงมาก
“เช่นนี้เรียกว่าหาที่ตาย วันข้างหน้าคุณชายซูจะต้องคิดบัญชีกับขุมกำลังเหล่านี้ทีละคนอย่างแน่นอน”
เฒ่าบอดหัวเราะเสียงเย็นชา
ในเวลาเดียวกันนี้ ฟู่ชิงอวิ๋นหัวหน้าหอเมฆาเขียวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แนะนำฐานะของคนเหล่านั้น
“สหายเต๋า ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณสิบสองท่านนี้ ต่างก็เป็นบุคคลสุดยอดที่เพิ่งบรรลุขอบเขตเมื่อตอนแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึงเมื่อไม่นานมานี้ พื้นฐานกับระดับวิถีของแต่ละคนล้วนมีความล้ำเลิศ คนทั่วไปในขอบเขตเดียวกันไม่อาจเทียมเทียมได้…”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ยกมือขึ้นห้ามพลางกล่าว “ข้าไม่สนใจรู้ชื่อของพวกเขา บอกประวัติที่มาก็พอ”
ฟู่ชิงอวิ๋นหุบปากในทันใด
บุคคลขอบเขตวงล้อวิญญาณสิบสองท่านที่มาจากสี่ขุมกำลังโบราณอย่างตระกูลหวนเผ่ามาร สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
พวกเขาไหนเลยจะดูไม่ออกว่า ซูอี้ทำเช่นนี้เท่ากับไม่ได้มองพวกเขาอยู่ในสายตาเลย?
“คนแซ่ซู ประเดี๋ยวตอนที่เจ้าถูกทัณฑ์อสนีบาตฟาดตาย ดูสิว่าเจ้าจะยังอหังการเหมือนตอนนี้ได้อีกหรือไม่!”
ในค่ายตระกูลหวนเผ่ามาร ผู้ชายชุดยาวสีขาวส่งเสียงพูดเย็นยะเยือก
เขามีนามว่าหวนซั่งหลิน เป็นผู้นำในการดำเนินการครั้งนี้ ผมดำ นัยน์ตาดำ ร่างสูงใหญ่ กลิ่นอายบนตัวเย็นยะเยือกน่าหวาดกลัว
สีหน้าของซูอี้ราบเรียบ ไม่ได้ให้ความสำคัญ
เพียงแค่มดแมลงเท่านั้น จะกระเด้งกระดอนไปได้สักกี่น้ำกันเชียว?
เขาเบนสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมฆทัณฑ์หนักหน่วง กินอาณาบริเวณครอบคลุมไปถึงหมื่นจั้ง ตามเวลาที่เคลื่อนไป กลิ่นอายมหาภัยพิบัติเคราะห์ที่คล้ายกับวันสุดท้ายของโลกก็นิ่งเข้มข้นมากขึ้นทุกที
ทว่า ยังไม่มีวี่แววว่าจะระเบิดขึ้นจริง ๆ
อย่างไม่ต้องสงสัย มหาภัยพิบัติฟ้าครั้งนี้ยังคงสั่งสมกำลัง เพิ่มความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง!
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกขนลุกด้วยความหวาดกลัว ไม่อาจคาดคิดได้ว่านี่คือมหาภัยพิบัติใหญ่ที่น่ากลัวมากเพียงใด
และเมื่อมหาภัยพิบัตินี้มาถึง อานุภาพของมันจะน่าครั่นคร้ามสักเพียงใด?
พวกหวนซั่งหลินถูกซูอี้มองข้ามอีกครั้ง สีหน้าก็ยิ่งดูไม่ได้
ทว่าพวกเขาต่างเฝ้าระวังอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้ลงมือ
ใคร ๆ ต่างก็รู้กันดีกว่า ขอเพียงลงมือทำลายภาวะจิตของซูอี้ก่อนที่จะผ่านมหาภัยพิบัติ ก็เพียงพอที่จะทำให้ซูอี้ตายในมหาภัยพิบัติฟ้า!
สิ่งที่พวกของหวนซั่งหลินต้องระวังจริง ๆ ก็คือคู่ต่อสู้คนอื่น
“ซูอี้ ยังดูไม่ออกอีกหรือ ขอเพียงเจ้ามอบเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมา การต่อสู้ในวันนี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”
ฉับพลัน เสียงกึกก้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
อีกทิศทางหนึ่ง ผู้ฝึกตนอีกกลุ่มหนึ่งก็มาถึง ผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มีด้วยกันสิบคน บนร่างของแต่ละคนมีกลิ่นอายของขอบเขตวงล้อวิญญาณแผ่ปกคลุม
ขณะที่พูด ชายหนุ่มร่างผอมผิวขาวประดุจหยกสวมชุดยาวสีม่วง สะพายดาบโบราณ กลิ่นอายแห่งพลังมีความรุนแรงสะท้านฟ้าดิน!
“ผู้แข็งแกร่งจากหอดาบโคจรสวรรค์ สำนักวิญญาณมิติกว้าง กับสำนักมารแปรดารา!”
“ไม่นึกเลยว่า สามขุมกำลังต่างภูมินี้จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย…”
“คนจิตใจละโมบคิดหวังแต่จะแย่งชิง ซูอี้ใกล้จะผ่านมหาภัยพิบัติ อยู่ในสภาพอันตราย เวลานี้ เป็นโอกาสอันดีที่จะแย่งเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง ขุมกำลังใดบ้างจะยอมพลาดโอกาสนี้?”
เสียงวิจารณ์ดังไปทั่ว เกิดความระส่ำระสายขึ้นอีกครั้ง
ฟู่ชิงอวิ๋นพูดแนะนำให้ซูอี้รู้จักอีกครั้ง
ทว่า ครั้งนี้เขาเพียงแนะนำว่าฝ่ายตรงข้ามมาจากขุมกำลังใด และขอบเขตระดับการฝึกเท่านั้น โดยที่เว้นชื่อไว้ไม่พูดถึง
เห็นได้ชัดว่าเขารู้แล้วว่าซูอี้ไม่ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้
“เมล็ดพันธุ์คังชิง ไม่ใช่สิ่งที่พวกชั่วอย่างพวกเจ้าจะสามารถมีได้”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
พวกชั่ว!
ได้ยินคำสบประมาทเช่นนี้แล้ว ผู้แข็งแกร่งสิบคนที่มาจากสามขุมกำลังต่างภูมิสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที
“ช่างเถิด อย่าได้ถือสาคนที่ใกล้จะตายเลย”
ผู้ชายผู้เป็นหัวหน้าสะพายดาบสวมชุดยาวสีม่วงส่ายหน้าพลางพูด
เซี่ยจือเป่ย
ผู้แข็งแกร่งแห่งหอดาบโคจรสวรรค์ และก็เป็นผู้นำในการปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
“ยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ของพวกเราในวันนี้ ไม่ใช่คนสกุลซู”
เซี่ยจือเป่ยผู้สะพายดาบสวมชุดสีม่วงชายตามองดูพวกของหวนซั่งหลินที่อยู่ห่างออกไป
เห็นได้ชัดว่าหวนซั่งหลินรู้สึกได้ถึงสายตา เขาจึงอดร้องฮึออกมาไม่ได้ และกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “เพียงแค่พวกเจ้า แย่งเมล็ดพันธุ์คังชิงไปไม่ได้แน่ จงฟังคำเตือนของข้า พวกเจ้ารีบไปจากที่นี่โดยเร็วจะดีกว่า”
เซี่ยจือเป่ยหัวเราะพลางกล่าว “ไม่ลองดูสักหน่อย ใครจะรู้ว่าเมล็ดพันธุ์คังชิงจะตกเป็นของใคร?”
อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะในสายตาผู้แข็งแกร่งจากขุมกำลังโบราณ หรือในสายตาของสามขุมกำลังต่างภูมิ ซูอี้ในเวลานี้ไม่ต่างไปจากเนื้อปลาบนเขียงที่รอการเชือด
และไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจด้วย
คู่ต่อสู้แท้จริงที่พวกเขามองคือพวกเขาสองฝ่าย!
เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว แม้แต่พวกผูซู่หรงกับผูเจวี๋ยที่มาคอยดูเหตุการณ์ก็ยังอดหนักใจแทนซูอี้ไม่ได้
ประเดี๋ยวก็ต้องผ่านมหาภัยพิบัติแล้ว ทว่าบริเวณนี้กลับมีศัตรูล้อมรอบ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้ควรจะเอาตัวรอดเช่นใด?
และในเวลานี้ ซูอี้กลับไม่รู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
เขาหยิบน้ำเต้าขึ้นมาจิบสุราดื่มสบายอารมณ์ จากนั้นกวาดตามองไปไกล ๆ และกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
“ในเมื่อมาแล้ว ก็ออกมาเถิด อย่าให้ข้าซูผู้นี้ดูแคลนพวกเจ้า”
คำพูดบางเบาเพียงประโยคเดียวดังก้องไปทั่วปฐพีอย่างชัดเจน
คนทั้งหลายในเหตุการณ์ต่างก็ตะลึง
ฉับพลันก็ได้ยินเสียงหัวเราะสบายอารมณ์เสียงหนึ่งดังขึ้น
“สหายเต๋าซูเชื้อเชิญ พวกข้าไม่อาจผัดผ่อนได้”
เสียงยังคงดังกึกก้อง ร่างคนสามคนปรากฏขึ้นแต่ไกล ๆ
คนที่เป็นหัวหน้าคือผู้ชายวัยกลางคนสวมชุดสีเขียวมืด ผมดำขลับประดุจน้ำหมึก สีหน้าอิ่มเอิบ
ข้างหลังเขาคือผู้เฒ่าสูงอายุกับผู้หญิงชุดสีดำท่าทีเย็นชาประดุจเกล็ดหิมะ
บนตัวพวกเขาทั้งสามมีกลิ่นอายแห่งขอบเขตวงล้อวิญญาณคุกรุ่น แข็งแกร่งยิ่งนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้า เวลาที่เดิน จังหวะวิถีสีทองกลายเป็นภาพลายเต๋าปรากฏที่ใต้ฝ่าเท้าราวกับมหาวิถีกำลังพยุงฝีเท้าของเขา
ทว่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตื่นตะลึง รู้สึกไม่คุ้นหน้า ไม่รู้ว่าผู้ที่มาเป็นเทพเซียนจากที่ใด
และในชั่วขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกของหวนซั่งหลินหรือว่าพวกของเซี่ยจือเป่ยต่างก็ตื่นตระหนกขึ้นในใจ สีหน้าระวังตัวปรากฏขึ้น
ข้างกายผู้ชายวัยกลางคน ถึงแม้จะมีผู้ติดตามเพียงสองคนเท่านั้น ทว่ากลิ่นอายแห่งพลังบนตัวของพวกเขากลับแข็งแกร่งมาก!
อย่างเช่นผู้ชายวัยกลางคนคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลาย!
ขณะนี้เอง สายตาของฟู่ชิงอวิ๋นเกิดประกาย กล่าวเสียงเข้ม “สหายเต๋าซู สามท่านนี้มาจาก…”
ไม่รอให้เขาแนะนำ ผู้ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นห้ามพลางกล่าว “ไม่ต้องรบกวนสหายเต๋า ข้าแนะนำตัวเองได้”
พูดจบ สายตาของผู้ชายวัยกลางคนมองไปที่ซูอี้ ยิ้มพลางผงกศรีษะและกล่าว “ผู้น้อยหวังจงหยาง มาจากหอดาบศีตอุดรแห่งภูมิชลสินธุ์สวรรค์ ขอคารวะสหายเต๋าซู”