บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 74 ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างความคิด
ตอนที่ 74 ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างความคิด
ผ่านไปสักพัก เยวี่ยเทียนเหอก็สงบลงเล็กน้อย
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขากวักมือเรียกคนใช้มาบางส่วนก่อนสั่งว่า “คนหนึ่งไปจวนเจ้าเมือง คนหนึ่งไปจวนตระกูลหลี่ และคนหนึ่งไปจวนตระกูลหวง แค่บอกกับพวกเขาว่าคุณหนูเล็กจากตระกูลหยวน หยวนลั่วซี กับนายน้อยตระกูลจาง จางเยวี่ยนซิง ตอนนี้พวกเขาล้วนเป็นแขกของพวกเราภัตตาคารรวมเซียน ไม่ต้องพูดมากไปกว่านี้”
“แค่นี้ล่ะ เร่งออกไปได้แล้ว!”
เหล่าข้ารับใช้รีบออกไป
“ด้วยการทำเช่นนี้ ฟู่ซาน หลี่เทียนหานและหวงอวิ๋นชงจะต้องพึงพอใจในตัวข้า และข้ายังสามารถใช้ชื่อเสียงของตระกูลหยวนกับตระกูลจางเพื่อทำให้ป้ายภัตตาคารรวมเซียนดังกระฉ่อน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว…”
ยิ่งเยวี่ยเทียนเหอคิดเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกสบายใจมากขึ้นเท่านั้น
เขารู้ดีว่าไม่ว่าจะฟู่ซาน หลี่เทียนหานหรือหวงอวิ๋นชง ต่างก็ย่อมรู้สึกยินดีที่จะได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับลูกหลานของตระกูลหยวนและตระกูลจาง
หรือต่อให้ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ได้ อย่างน้อยแค่ได้พบเห็นหน้ากันก็ถือเป็นเรื่องดี
ทว่าเขาไม่ได้ส่งใครไปบอกเหวินฉางจิ้ง ผู้นำตระกูลเหวิน
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เท่าที่เขารู้มา บุคคลที่ตระกูลเหวินรังเกียจเหยียดหยันที่สุดก็คือซูอี้ผู้เป็นลูกเขยนั่นเอง
ขืนให้ตระกูลเหวินมาเข้าร่วมด้วย งานเลี้ยงอาจกลับกลายเป็นงานศพ และหลังจากนั้น ผู้ที่จะเดือดร้อนลำดับต่อมาก็คือเขาผู้ที่เรียกทุกคนมาที่นี่
…
ภายในห้องส่วนตัวชั้นสอง
หลังจากจางเยวี่ยนซิงขอโทษแล้ว ไม่ว่าซูอี้จะยอมรับหรือไม่ เขาก็ไม่สนอะไรอีก หัวสมองทั้งหมดถูกย้ายไปทุ่มเทให้หยวนลั่วซี
ถึงแม้หยวนลั่วซีจะหงุดหงิด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ นางกลับกังวลว่าโทสะจะทำลายภาพลักษณ์ตนเองเข้า ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงหักห้ามมันเอาไว้
ถ้าเป็นยามปกติ นางคงลุกออกจากโต๊ะไปนานแล้ว
เฉิงอู้หย่งนั่งดื่มและสนทนากับซูอี้แล้ว แต่คนที่พูดก็มีเพียงเขาเท่านั้น ซูอี้แทบไม่พูดเลย
อาสงเห็นฉากนี้จนอดที่จะสงสัยไม่ได้
ต่อให้ซูอี้คนนี้จะช่วยตระกูลหยวนบนสันเขามารดาภูตผี แต่การที่เฉิงอู้หย่งปฏิบัติด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้มันออกจะดูเกินไปมาก
ซูอี้ชนแก้วดื่มกับกัวปิ่งเป็นครั้งคราวขณะสนทนาอย่างสบาย ๆ
ซูอี้มองออกว่าถึงแม้คนเก็บสมุนไพรรุ่นอาวุโสผู้นี้จะดูมีความสุขมาก แต่มันก็เป็นเพียงแค่การแสดงออกภายนอก ภายในใจของกัวปิ่งตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา และไม่กล้าปล่อยตัวตามสบาย
กัวปิ่งเป็นเพียงคนเก็บสมุนไพรที่ต่ำต้อย ครั้งนี้ถือเป็นวาสนาสูงสุดที่ได้มีโอกาสนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับคนชนชั้นสูงเช่นนี้ มันจึงให้ความรู้สึกเหมือนกับความฝันที่ไม่เป็นจริง
แต่อย่างไรเสีย สถานะของกัวปิ่งก็ต่ำเกินไป เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ดังนั้นมันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกกดดันและรู้สึกถูกทอดทิ้งเพราะไม่มีใครสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีเพียงซูอี้ที่เต็มใจสนทนาและดื่มด้วย ซึ่งช่วยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่น
ทันใดนั้น เสียงอันถ่อมตนและอบอุ่นของเยวี่ยเทียนเหอก็ดังขึ้นนอกห้องส่วนตัว
“แขกที่เคารพ ฟู่ซาน เจ้าเมืองกว่างหลิงและเนี่ยเป่ยหู่ ผู้บังคับบัญชากองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมืองมาเยือนที่นี่แล้ว”
ซูอี้ชำเลืองมองหยวนลั่วซีและจางเยวี่ยนซิง พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าฟู่ซานน่าจะมาที่นี่เพราะพวกเขา
“เหตุใดฟู่ซานถึงมาที่นี่?”
จางเยวี่ยนซิงขมวดคิ้ว เขาฉวยโอกาสเข้าใกล้หยวนลั่วซีผ่านการสนทนาได้แล้วแท้ ๆ แต่สุดท้ายกลับถูกขัดจังหวะ ดังนั้นย่อมไม่พอใจ
แต่แล้ว ซูอี้กลับลุกขึ้นแสดงท่าทีราวกับกำลังรอต้อนรับฟู่ซาน
หยวนลั่วซีซึ่งจดจ่ออยู่แต่กับซูอี้หรี่ตาลง นางลุกขึ้นทันทีเพื่อเป็นฝ่ายไปเปิดประตูก่อน
เมื่อเห็นฟู่ซานที่อยู่นอกห้อง เด็กสาวในชุดเครื่องแบบทหารพลันยิ้มอ่อนหวานก่อนกล่าวว่า “เจ้าเมืองฟู่ ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะมาที่นี่วันนี้ เชิญเข้ามาได้เลย”
ฟู่ซานตกตะลึงต่อการต้อนรับขับสู้ที่ดีเกินคาดนี้ เขาอึ้งไปชั่วครู่ก่อนประสานมือคารวะทันที เขายิ้มให้แล้วกล่าวว่า “ขอเพียงคุณหนูหยวนไม่ถือโทษผู้แซ่ฟู่ที่มาหาโดยไม่ได้รับเชิญก็มากเกินพอแล้ว”
เขาและเนี่ยเป่ยหู่เดินเข้าห้องพร้อมกัน
เมื่อพวกเขาเห็นซูอี้กำลังนั่งอยู่ พวกเขาจึงประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะแลกสายตากันเอง สายตาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ทว่า อย่างไรเสีย พวกเขาสองคนก็เคยพบฉากแบบนี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงหักห้ามความสงสัยอย่างรวดเร็วก่อนเผยรอยยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “นายน้อยซูก็อยู่ที่นี่ด้วยสินะ”
ซูอี้พยักหน้าก่อนยิ้มให้
ทว่าสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คืองานเลี้ยงในวันนี้ช่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก
หลังจากฟู่ซานและเนี่ยเป่ยหู่มาถึง หวงอวิ๋นชงก็มาถึงพร้อมลูกชายของเขา หวงเฉียนจวิน
เหมือนกับฟู่ซาน เมื่อพวกเขาเห็นซูอี้นั่งอยู่ หวงอวิ๋นชงกับลูกชายของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ในใจสั่นสะท้าน
พ่อลูกรู้อยู่แล้วว่าผู้ดูแลเขตปกครองหลิงเหยาหนุนหลังซูอี้อยู่ แต่คาดไม่ถึงว่า แม้แต่บุตรีคนสุดท้องของตระกูลหยวนกับนายน้อยตระกูลจางจะปฏิบัติต่อซูอี้ในฐานะแขกด้วย!
ไม่นานหลังจากนั้น หลี่เทียนหาน ผู้นำตระกูลหลี่ ก็มาถึงเช่นกัน
เมื่อเห็นสถานการณ์ในห้องหรูหรา หลี่เทียนหานก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้
มีคนใหญ่โตมากมายเช่นนี้ แต่ซูอี้กลับนั่งอยู่หัวโต๊ะ น…นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
ถึงแม้จะเปี่ยมด้วยประสบการณ์และความรู้ แต่เขาก็อดที่จะสับสนไม่ได้
จนถึงตอนนี้ นอกจากผู้นำตระกูลเหวิน เหวินฉางจิ้ง บุคคลใหญ่โตทั้งหมดในเมืองกว่างหลิงล้วนอยู่ที่นี่
พวกเขาทุกคนคือคนใหญ่โตที่มีอำนาจมากพอจะทำให้เมืองกว่างหลิงสั่นสะเทือนถึงสามครั้ง!
ตอนนี้หลี่เทียนหานเหลือเพียงเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่อยู่ไกลสุดให้ได้นั่งเท่านั้น
นี่นับว่าน่าสนใจมาก
ซูอี้อยู่หัวโต๊ะ หยวนลั่วซีและจางเยวี่ยนซิงนั่งขนาบข้าง เฉิงอู้หย่ง สงป๋อหู่และกัวปิ่งนั่งอยู่ถัดไป
เมื่อพวกฟู่ซานมาถึง พวกเขาจึงทำได้เพียงนั่งเก้าอี้ที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
บรรยากาศในห้องส่วนตัวขณะนี้หนักอึ้งอย่างแปลกประหลาด ถึงแม้จะสนทนากันอย่างเป็นมิตร แต่ทุกคนต่างก็มีความคิดเป้าหมายที่แตกต่างกัน
หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้ซูอี้สนทนาและดื่มมากกว่านี้โดยที่ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในภูเขามารดาภูติผีเพื่อให้สนิทกันมากยิ่งขึ้น
ส่วนจางเยวี่ยนซิงเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หยวนลั่วซี
ฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่และหวงอวิ๋นชงครุ่นคิดถึงเรื่องที่ซูอี้ได้นั่งหัวโต๊ะนั้น มันจะต้องเป็นผลจากความเคารพของหยวนลั่วซีและจางเยวี่ยนซิงแน่ ๆ
หลี่เทียนหาก็คิดแบบเดียวกัน และเขาเริ่มคิดทบทวนแล้วว่าควรจะห้ามไม่ให้ลูกชายของของตนเองไปยุ่งวุ่นวายกับซูอี้และภรรยาดีหรือไม่…
กัวปิ่งยิ่งอยู่นานยิ่งกดดันและไม่สบายใจมากขึ้น
ราวกับมดที่อยู่ในงานเลี้ยงของมังกร ทุกคนในงานคือคนที่เขาทำได้เพียงเงยหน้ามองเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการถึงความวิตกในใจของเขาได้
มีเพียงซูอี้เท่านั้นที่สงบที่สุด
หัวใจของเขาเหมือนกับกระจก ราบเรียบไม่ไหวติง เขาสามารถคาดเดาความคิดของทุกคนได้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเอง
นี่คือวิถีชีวิตของผู้บ่มเพาะที่อยู่ในโลกนี้ เขาคงไม่สามารถหลีกหนีจากวังวนอำนาจ ชื่อเสียง และการผูกสัมพันธ์ใด ๆ ได้
ในเวลาเดียวกัน
นอกภัตตาคารรวมเซียน เหวินเจวี๋ยหยวนรีบเข้ามาพร้อมกับกลุ่มผู้คุ้มกันตระกูลเหวิน
“แน่ใจหรือว่าคนที่ชื่อซูอี้อยู่ในภัตตาคารรวมเซียนนี้?”
เหวินเจวี๋ยหยวนหักห้ามความตื่นเต้นข้างในเอาไว้ขณะถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
เมื่อวานเย็น พ่อของเขา เหวินฉางจิ้ง ได้กลับมาจากตำหนักเทียนหยวน และนำพาข่าวดีที่ทำให้ตระกูลเหวินตื่นเต้นมาด้วย
พอตกดึก เหวินฉางจิ้งได้จัดการประชุมตระกูลจนทราบว่าซูอี้ได้รางวัลอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร เขาจึงถ่ายทอดคำสั่งให้เรียกซูอี้มาเข้าพบที่โถงตระกูล
แต่ซูอี้ไม่ได้อยู่ที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงในตอนนั้น
จนกระทั่งช่วงเช้าตรู่นี้ที่เหวินเจวี๋ยหยวนได้รับข่าวจากลูกน้องว่าพบร่องรอยของซูอี้ ดังนั้นเขาจึงรีบมาที่ภัตตาคารรวมเซียนทันที
“นายน้อย เมื่อไม่เกินชั่วระยะเวลาธูปดับ ข้าน้อยบังเอิญผ่านภัตตาคารรวมเซียนจนไปพบซูอี้เข้า”
คนแซ่ซูผู้นั้นเดินเข้าไปในภัตตาคารรวมเซียนนี้พร้อมกับกลุ่มคน ไม่ใช่การเข้าใจผิดแน่นอน!
คนใช้รีบกล่าวขณะสาบานในสิ่งที่พูด
“ดี!”
เหวินเจวี๋ยหยวนไม่ลังเลอีกต่อไปก่อนนำคนเข้าไปในภัตตาคารรวมเซียน
“นายน้อยเหวิน?”
เถ้าแก่เยวี่ยเทียนเหอประหลาดใจ “ท่านมาทำอะไร?”
เหวินเจวี๋ยหยวนถามอย่างเย็นชาว่า “ซูอี้อยู่ที่ใด?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นห้องส่วนตัวห้องแรกบนชั้นสอง…”
ทันทีที่เยวี่ยเทียนเหอตอบเช่นนี้ เขาก็ตกตะลึงที่เห็นว่าเหวินเจวี๋ยหยวนนำคนไปชั้นสอง จึงกล่าวว่า “คือว่า นายน้อยเหวิน เดี๋ยวก่อน ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
เหวินเจวี๋ยหยวนไม่สนใจ
เขาหมกมุ่นกับการนำซูอี้กลับตระกูลเหวินก่อนส่งตัวให้เหวินฉางจิ้งผู้เป็นพ่อ จากนั้นค่อยจัดการด้วยกัน!
เมื่อมาถึงนอกห้องส่วนตัวบนชั้นสอง เหวินเจวี๋ยหยวนก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันเลือนรางมาจากห้องส่วนตัว เขาอดที่จะเย้ยหยันในใจไม่ได้ว่า เดี๋ยวได้รู้กันว่าซูอี้จะยังกล้าหัวเราะอีกหรือไม่!
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เอามือไพล่หลังก่อนขยิบตาให้ทหารยามสองคนที่อยู่ด้านข้าง
ปัง!
ผู้คุ้มกันสองคนก้าวไปข้างหน้าก่อนกระแทกเปิดประตูห้องหรูหรานั้น
ห้องเงียบสักพัก สายตาทั้งหมดจับจ้องมาที่ประตู
“ซู…”
เหวินเจวี๋ยหยวนกระแอมลำคอ กำลังจะสั่งให้ซูอี้ออกมา
แต่เมื่อเห็นร่างที่กำลังนั่งอยู่ในห้องส่วนตัว ลำคอของเขาคล้ายกับถูกปิดกั้น ดวงตาพลันเบิกกว้าง ทั่วร่างราวกับถูกสายฟ้าฟาด ขาใต้ชุดคลุมสั่นสะท้าน และแผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็นออกมา
นี่มันช่างน่าประหลาดยิ่งนัก
“เหวินเจวี๋ยหยวน เจ้ากำลังทำอะไร!”
คิ้วของหยวนลั่วซียืนขึ้น ดวงตางดงามของนางเต็มไปด้วยความโกรธ
“ข้า…”
เหวินเจวี๋ยหยวนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากก่อนตอบว่า “ข้าไม่คิดว่าแม่นางลั่วซีจะอยู่ที่นี่ด้วย…”
ดวงตาของเขากวาดมอง เมื่อรับรู้ถึงตัวตนของทุกคนที่นี่แล้ว ดวงตาของเขามืดมนสักพัก
ฟู่ซานผู้เป็นเจ้าเมือง เนี่ยเป่ยหู่ผู้เป็นผู้บังคับบัญชากองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมือง หวงอวิ๋นชงผู้เป็นหัวหน้าตระกูลหวง หลี่เทียนหานผู้เป็นหัวหน้าตระกูลหลี่ หยวนลั่วซีผู้เป็นบุตรีคนสุดท้องของตระกูลหยวนแห่งมหานครอวิ๋นเหอ…
ถึงแม้จะไม่รู้จักจางเยวี่ยนซิงและอาสง แต่เหวินเจวี๋ยหยวนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าใครบางคนที่สามารถนั่งในงานเลี้ยงเช่นนี้ได้ย่อมต้องเป็นคนไม่ธรรมดา
“ไอ้คนป่าเถื่อนผู้นี้เป็นใคร!?”
ใบหน้าของจางเยวี่ยนซิงหมองหม่น สายตาไม่สู้ดีนัก
“เขามีนามว่าเหวินเจวี๋ยหยวน เป็นลูกชายของหัวหน้าตระกูลเหวิน”
หวงเฉียนจวินยิ้มเจ้าเล่ห์ ขณะเอ่ยคำตอบที่ทำให้เหวินเจวี๋ยหยวนรู้สึกเสียววาบราวกับถูกมีดทิ่มแทงเข้าทรวงอก “ไม่คิดเลยว่าผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวินจะป่าเถื่อนเพียงนี้”
“เจ้า…”
เหวินเจวี๋ยหยวนทั้งตื่นตระหนกและโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อสังเกตเห็นสายตาเย็นชาและไม่แยแสของหวงอวิ๋นชง ร่างกายของเขาก็สั่นเทา
“ลูกไม้ช่างหล่นไกลต้นนัก พ่อของเจ้า เหวินฉางจิ้ง ไม่เคยแม้สักครั้งที่จะแสดงกิริยาไร้ความเกรงใจเช่นนี้!”
เจ้าเมืองฟู่ซานกล่าวอย่างไร้อารมณ์
ทางด้านของเนี่ยเป่ยหู่ หลี่เทียนหานและคนอื่น ต่างก็แสดงสีหน้าไม่ยินดีอย่างเด่นชัด
เหวินเจวี๋ยหยวนพลันรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนเคว้งตรงหน้า หัวใจของเขากำลังจะพังทลาย
เขาจะจินตนาการได้อย่างไรว่าจะมีคนใหญ่โตจำนวนมากรวมตัวในห้องหรูหราแห่งนี้?
“ไสหัวไป!!” จางเยวี่ยนซิงตวาด
สามคำนี้เต็มไปด้วยการดูหมิ่น แต่เหวินเจวี๋ยหยวนคล้ายกับได้รับอภัยโทษและรีบกุลีกุจอพาคนออกไป
แต่หยวนลั่วซีกล่าวอย่างเย็นชาขัดขึ้นก่อน “ช้าก่อน! เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด!”
เหวินเจวี๋ยหยวนแข็งทื่อขณะมองกลุ่มคนใหญ่โต จากนั้นก็มองซูอี้ผู้นั่งรวมอยู่กับพวกเขา ริมฝีปากของเขาสั่นสะท้าน ศีรษะก้มลงก่อนตอบอย่างขมขื่นว่า
“รายงานคุณหนูลั่วซี เมื่อวาน หลังจากพ่อของข้ากลับจากตำหนักเทียนหยวน เขาได้ออกคำสั่งเรียกตัวซูอี้ไปพบ แต่ตอนนั้นซูอี้ไม่อยู่ จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ ข้าได้ยินมาว่าเขามาภัตตาคารรวมเซียนแห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจมาตามเพื่ออยากให้เขากลับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…”