บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 740 ราวกับผู้เป็นเทพจับมังกรผงาดฟ้า
ตอนที่ 740: ราวกับผู้เป็นเทพจับมังกรผงาดฟ้า
ตอนที่ 740: ราวกับผู้เป็นเทพจับมังกรผงาดฟ้า
หอดาบศีตอุดรแห่งภูมิชลสินธุ์สวรรค์?
ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ยินชื่อขุมกำลังและโลกภูมินี้เป็นครั้งแรก ต่างก็แสดงท่าทีงุนงงสงสัย
ทว่าชายชราตาบอดกลับขมวดคิ้ว ตบหน้าผากตัวเองราวกับนึกอะไรขึ้นได้
ภูมิชลสินธุ์สวรรค์เป็นหนึ่งในสามสิบสามภูมิของมหาแดนดินเฉกเช่นเดียวกับภูมินภาจรัส
และหอดาบศีตอุดรก็เป็นขุมกำลังผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่งของภูมิชลสินธุ์สวรรค์!
“ที่แท้ก็เป็นพวกเขา!”
ผูเจวี๋ย ผูซู่หรง และคนอื่น ๆ ต่างก็นึกขึ้นได้
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกบุหลันม่วงของภูมินภาจรัส พวกเขารู้จักหอดาบศีตอุดรแห่งภูมิชลสินธุ์สวรรค์เป็นธรรมดา
เพียงแต่ว่า พวกเขาไม่คิดว่าหอดาบศีตอุดรรู้เรื่องช่องทางมิติที่มาสู่มหาทวีปคังชิง และยังเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนี้ด้วย!
“หอดาบศีตอุดร ภูมิชลสินธุ์สวรรค์…”
สายตาของซูอี้เกิดประกายย้อนรอยความทรงจำ
หลังจากนั้นสักครู่ใหญ่ ๆ ในที่สุดเขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
บรมจารย์ผู้ก่อตั้งหอดาบศีตอุดรคือบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิของ ‘อารามหมื่นคัมภีร์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในหกอารามใหญ่ในมหาแดนดิน
ด้วยเหตุนี้ จึงถือได้ว่าหอดาบศีตอุดรมีความสัมพันธ์กับอารามหมื่นคัมภีร์ด้วยเช่นกัน
และก่อนที่ซูอี้จะกลับชาติมาเกิดใหม่ อารามหมื่นคัมภีร์ก็เป็นหนึ่งในขุมกำลังที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา
เช่นนี้เริ่มสนุกขึ้นแล้ว!
หอดาบศีตอุดรก่อตั้งโดยจักรพรรดิของอารามหมื่นคัมภีร์ และอารามหมื่นคัมภีร์ก็เคยเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา
หากไล่ย้อนถึงต้นกำเนิด บรมจารย์ผู้บุกเบิกหอดาบศีตอุดรก็เป็นเพียงแค่คนรุ่นหลังของเขาเมื่อในอดีตชาติเท่านั้น ไม่มีคุณค่าให้เขาต้องเอ่ยถึง
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดซูอี้ครุ่นคิดอยู่นานจึงนึกออก
เมื่อในอดีตชาติ เขาไหนเลยจะใส่ใจกับขุมกำลังที่แทบไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน?
แต่ตอนนี้ บุคคลขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งสามของหอดาบศีตอุดรกลับมาเพื่อแย่งโชคในตัวของเขา เรื่องนี้ทำให้สายตาของซูอี้เปลี่ยนไป
‘ยังดีที่มีสัมพันธ์ไม่ลึกซึ้งมากนัก มิเช่นนั้น พวกเขากระทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการทรยศหักหลังอาจารย์แล้ว…’
ซูอี้ลอบคิด
“สองท่านนี้ ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งแห่งหอดาบศีตอุดรของข้า”
ชายวัยกลางคนผู้ที่แจ้งนามตนเองว่าหวังจงหยางยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวแนะนำให้ซูอี้ได้รู้จัก จากนั้นกล่าวต่อ “แน่นอน ไม่ว่าสหายเต๋าจะเคยได้ยินชื่อหอดาบศีตอุดรของข้ามาก่อนหรือไม่ อันที่จริงเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญนัก ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ สำหรับสหายเต๋าแล้ว เมล็ดพันธุ์คังชิงเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งเคราะห์ร้ายแก่ชีวิต!”โนเวลพีดีเอฟ
พูดถึงตรงนี้ เขาผงกศีรษะแสดงความคารวะ และกล่าวจริงจัง “หวังผู้นี้ไร้ความสามารถ แต่ยินดีจะช่วยสหายเต๋าแบกรับเคราะห์ร้ายนี้”
คนทั้งหลาย “…”
พูดเสียไพเราะ แต่มีใครบ้างที่ฟังความหมายของหวังจงหยางไม่ออก
การปรากฏตัวพวกของหวังจงหยางทำให้สถานการณ์ในวันนี้เกิดความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
“เหตุต้นผลกรรมของเมล็ดพันธุ์คังชิงนั้นร้ายแรงเหลือเกิน แต่น่าเสียดาย ตัวตนผู้มีแขนขาลีบเล็กอย่างพวกเจ้าไม่อาจแบกรับไว้ได้”
ขณะที่ซูอี้พูด เขากวาดตามองไปรอบด้าน “ยังมีใครจะก้าวออกมาอีกหรือไม่?”
ทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็พากันตะลึง
ตอนนี้เป็นเวลาไหนกันแล้ว ซูอี้กลับยังรู้สึกว่าศัตรูมากันไม่พอจำนวน!?
แม้กระทั่งฟู่ชิงอวิ๋นผู้มาเป็นพยานก็ยังมุมปากกระตุก
เห็นว่าไม่มีใครตอบ ซูอี้จึงได้แต่ถอนหายใจ
หลุมที่ขุดในครั้งนี้แลดูเด่นชัดจนเกินไป ทำให้ศัตรูที่ยังไม่ได้แสดงตัวออกมาไม่ยอมกระโดดลงหลุมแต่โดยดี
แน่นอนว่าพวกของหวนซั่งหลิน พวกของเซี่ยจือเป่ย กับพวกของหวังจงหยาง เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพวกคนโง่
ในเมื่อพวกเขากล้าแสดงตัวออกมา นั่นก็เพราะตัวเองเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว
ยิ่งกว่านั้นอาจจะมีคนคอยประสานงานกับพวกเขาอยู่ลับ ๆ ก็เป็นไปได้
ทว่าซูอี้คร้านจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้
หากว่าศัตรูเหล่านั้นไม่ฉวยโอกาสในวันนี้ให้ดี วันข้างหน้าหลังจากนี้ไป พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสอีก!
เมฆทัณฑ์บนท้องฟ้าก่อตัวแน่นหนา ดำครึ้มหนักหน่วง
ฟ้าดินตกอยู่ในสภาวะกดดันอึมครึม เงียบสงบราวกับป่าช้า กลิ่นอายแห่งมหาภัยพิบัติเคราะห์ราวกับวันสุดท้ายของโลกกระจายไปทั่วทุกพื้นผิวอากาศ
ทุกคนสามารถรู้สึกได้ว่าเมื่อมหาภัยพิบัติใหญ่ครั้งนี้มาถึง ซูอี้จะต้องได้รับการจู่โจมที่น่ากลัวมากอย่างแน่นอน และอาจถึงกับผ่านมหาภัยพิบัติล้มเหลวจนร่างแตกวิญญาณดับเป็นจุดจบ
เพราะอย่างไรเสียก็ดี ศัตรูเหล่านั้นกำลังจับจ้องเหยื่ออย่างไม่กะพริบตา!
ทันใด เสียงฟ้าร้องกึกก้องเสียงหนึ่งก็ระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าที่ห่างไกล สายฟ้าฟาดสว่างเจิดจ้า เมื่อเมฆทัณฑ์อันหนักหน่วงปรากฏขึ้น ทั่วทั้งปฐพีถูกส่องจนสว่าง
ทุก ๆ คนต่างก็ตื่นตระหนกตกใจสีหน้าเปลี่ยน
เมฆทัณฑ์ที่ไกลออกไปปรากฏเป็นเกลียวคลื่นอัสนีอันมีลักษณะคล้ายกับกรวยซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เวลาที่เกลียวคลื่นหมุน ทำให้เมฆทัณฑ์อันหนักหน่วงเกิดความเดือดดาลขึ้นมา เกิดเป็นเสียงดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
ลึกเข้าไปในเกลียวคลื่นอัสนี มหาภัยพิบัติแสงอันเจิดจ้าสุกสว่างหลากสี กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาราวกับมหาภัยพิบัติเคราะห์วันสุดท้ายของโลก
มองดูไกล ๆ จิตกับวิญญาณรู้สึกได้ถึงความสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“มหาภัยพิบัติเคราะห์น่ากลัวมาก หากไม่ได้มาเห็นกับตา ข้าไม่มีทางคาดเดาได้ว่านี่เป็นมหาภัยพิบัติใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ…”
หวังจงหยางบ่นพึมพำ สีหน้าแฝงด้วยความหวาดกลัว
ทว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาพบเห็นมหาภัยพิบัติฟ้าต้องห้ามประหลาดเช่นนี้
“มหาภัยพิบัติใหญ่เช่นนี้ แทบจะเท่ากับมหาภัยพิบัติแห่งวงล้อวิญญาณที่ข้าเคยผ่านเมื่อครั้งนั้น! อีกทั้งยังมีกลิ่นอายต้องห้ามประหลาดเพิ่มขึ้นมาก…”
ผูเจวี๋ยสีหน้าสับสนตื่นตะลึง
เขามั่นใจว่าต่อให้อยู่ที่ภูมินภาจรัส ก็ยังไม่เคยมีตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณคนใดผ่านมหาภัยพิบัติใหญ่น่ากลัวเหมือนดังที่ซูอี้เจอเช่นนี้มาก่อน!
ซูอี้มีสีหน้าราบเรียบ ไม่แสดงความยินดีหรือโศกเศร้า
มหาภัยพิบัติใหญ่เช่นนี้ เดิมทีก็อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว เขาจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
“สหายเต๋าซู ไม่รู้ว่าต่อสู้กันตรงนี้จะเป็นการทำลายภาวะจิตของเจ้าหรือไม่?”
ฉับพลันหวังจงหยางก็ยิ้มขึ้นมา
วูบ!
ขณะที่พูด เขาสะบัดแขนเสื้อ ระฆังสีดำใบหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ผิวนอกของระฆังสลักลายฝูงปีศาจเต้นรำไปตามการดีดนิ้วของหวังจงหยาง
ติ๊ง…!
เสียงระฆังแหลมบาดหูดังก้องไปทั่ว
ระฆังปีศาจปลิดวิญญาณ
สมบัติล้ำค่าวิถีวิญญาณที่ใช้สำหรับโจมตีและสร้างความหวาดกลัวต่อจิตใจ!
ผู้ที่คอยดูการต่อสู้อยู่ห่าง ๆ ต่างก็รู้สึกว่าดวงจิตเจ็บรวดร้าว และรู้สึกกระวนกระวายใจ เลือดลมเดือดพล่าน จนต้องหรี่ตาลง
บนระฆังสีดำใบนั้น คลื่นเสียงสีดำที่แผ่กระจายออกมาเป็นระลอกกลายเป็นเงาของฝูงปีศาจแผดร้องพุ่งเข้าหาซูอี้
‘ชั่วช้า!’
พวกของจักรพรรดิเซี่ยกับเหวินซินจ้าวต่างก็ลอบร้องด่าในใจ
ใครบ้างที่มองไม่ออกว่าการกระทำเช่นนี้ของหวังจงหยางเป็นการกระทำที่เลวร้ายเพียงใด?
ซูอี้ยืนอยู่ที่เดิม มือไพล่หลัง ไม่ขยับเขยื้อนราวกับไม่รู้สึกอันใดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนี้
ทว่า เมื่อเงาปีศาจที่กลายร่างมาจากคลื่นเสียงสีดำพุ่งตัวออกไปจนอยู่ห่างจากเขาในระยะสามจั้ง จู่ ๆ ก็แตกสลายไปในพริบตา เหลือแต่ความว่างเปล่า
“วิถีอันเล็กน้อย ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
“ขอเพียงสามารถกระทบภาวะจิตของสหายเต๋าได้ ย่อมเพียงพอแล้ว”
หวังจงหยางหัวเราะพลางพูด
เขาดีดนิ้วเคาะติด ๆ กันหลายครั้ง
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
เสียงระฆังแหลมเล็กดังขึ้นติดต่อกัน ระฆังปีศาจปลิดวิญญาณสั่นสะเทือน คลื่นเสียงที่แผ่กระจายออกมาเป็นวง ๆ เปรียบดั่งคลื่นลูกใหญ่อันน่าหวาดกลัว จากนั้นกลายเป็นเงาปีศาจครอบคลุมไปทั่วฟ้าดินพุ่งตรงเข้าหาซูอี้
และในเวลาเดียวกันนี้เอง บนท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไป เมฆทัณฑ์เดือดพล่าน เกลียวคลื่นอัสนีฟาดไม่หยุด ทำท่าราวกับใกล้จะระเบิด
ไม่ว่าใครเห็นสภาพเช่นนั้นแล้วล้วนสีหน้าเปลี่ยน
จำเป็นต้องยอมรับว่าช่วงเวลาที่หวังจงหยางลงมือนั้นช่างแม่นยำยิ่งนัก ตอนที่มหาภัยพิบัติใหญ่กำลังจะมาถึงเขาโจมตีจิตใจของซูอี้อย่างเต็มกำลัง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อซูอี้ถูกโจมตี เวลาที่เขาผ่านมหาภัยพิบัติจะต้องได้รับอันตรายที่น่ากลัวอย่างที่สุดจนเป็นผลก่อให้เกิดผลร้ายต่อตัวเองและวิถี!
แต่ทว่า…
ซูอี้ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่น้อย ราวกับเป็นก้อนหินใหญ่ที่ตั้งขึ้นมาแต่บรรพกาล เมื่อเงาปีศาจที่แผ่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดินพุ่งเข้ามาหา ล้วนถูกกันให้ห่างออกไปสามจั้ง จากนั้นก็แตกสลายตัวไป
ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดสามารถรุกล้ำเข้าใกล้ได้!
ทุกคนถึงกับตาค้าง
และซูอี้มีแต่เงยหน้ามองดูฟ้าอยู่ตลอด ไม่ใส่ใจที่จะมองหวังจงหยางเลยแม้แต่ปลายหางตา
รอยยิ้มที่มักจะผุดขึ้นบนใบหน้าของหวังจงหยางกระด้างลงไปทีละน้อย สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดขึ้น
แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่คาดคิดมาก่อนว่าอานุภาพของระฆังปีศาจปลิดวิญญาณกลับไม่อาจทำอะไรซูอี้ได้แม้แต่น้อย!
“ลงมือพร้อมกัน จะปล่อยให้แซ่ซูคนนี้ผ่านมหาภัยพิบัติจนสำเร็จไม่ได้เด็ดขาด!”
ทันใด หวนซั่งหลินก็เอ่ยขึ้น
ขณะที่พูด เขาง้างมือขึ้น
ท่ามกลางประกายแสง กระดิ่งสีเงินวาววับพวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เสียงกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นเป็นระยะราวกับคลื่นเสียงจากสรวงสวรรค์
กระดิ่งเด็ดหัวใจ!
นี่เป็นสมบัติวิญญาณที่มีความพิเศษมากชิ้นหนึ่งเช่นกัน ผู้ใดก็ตามที่ถูกเสียงกระดิ่งทำให้เคลิบเคลิ้ม จิตวิญญาณราวกับถูกเด็ด มีแต่ร่างที่คล้ายกับหุ่นเชิด!
และในขณะเดียวกันนี้เอง ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างกายหวนซั่งหลินต่างก็แสดงฝีมือของแต่ละคนออกมา
มีทั้งลิ้นสะเทือนสายฟ้า ส่งเสียงวิถีที่ซับซ้อนออกมาราวกับเสียงคำรามของสิงโต
บ้างก็ผลักดันสมบัติล้ำค่าซัดไปที่ซูอี้โดยตรง
ตัวตนในขอบเขตวงล้อสวรรค์นับสิบคนลงมือพร้อมกัน อานุภาพเช่นนั้นจะธรรมดาได้เช่นใด?
เพียงชั่วครู่เดียว เสียงวิถีดังกึกก้อง ประกายแสงจากสมบัติล้ำค่าเปล่งประกาย พื้นที่บริเวณนั้นเกิดความระส่ำระสายอย่างรุนแรง
ผู้ที่มองดูการต่อสู้อยู่ห่าง ๆ ล้วนมีสีหน้าตื่นตะลึงด้วยความหวาดกลัว
หัวใจของพวกจักรพรรดิเซี่ยกับเหวินซินจ้าวแทบจะหลุดออกจากอก ทุกอย่างดูตื่นเต้นขึ้นมา
ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คืออัสนีมหาภัยพิบัติแห่งโลกกว้างที่สั่งสมอานุภาพมาเป็นเวลานานบนท้องฟ้าที่ไกลออกไปก็กำลังระเบิดขึ้นในเวลานี้ ท่ามกลางเกลียวคลื่นสายฟ้ามีแสงมหาภัยพิบัติอันเจิดจ้าร่วงหล่นลงมา
ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งปฐพีถูกส่องสว่างจนกลายเป็นสีขาวเจิดจ้า
กลิ่นอายการทำลายล้างของมหาภัยพิบัติเคราะห์มีความน่ากลัวอย่างไร้ขอบเขต ทำให้ฟ้าดินเกิดความระส่ำระสาย และทำให้ทุก ๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกราวกับร่วงหล่นไปอยู่ในห้องน้ำแข็ง วิญญาณแทบหลุดกระเด็น
เวลานี้พวกของหวังจงหยาง พวกของหวนซั่งหลิน และพวกของเซี่ยจือเป่ย ต่างก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นและรอคอยออกมา
มหาภัยพิบัติฟ้ามาถึงแล้ว การโจมตีทุกรูปแบบพุ่งตรงไปฆ่าซูอี้แล้วเช่นกัน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้ไหนเลยจะมีหนทางรอดได้อีก?
และในเวลานี้เอง…
ซูอี้ที่แหงนหน้ามองดูท้องฟ้าอยู่ตลอดกลับยิ้มขึ้นมา พูดกับตัวเอง “เพื่อผ่านมหาภัยพิบัตินี้ ไม่เสียแรงที่ข้านั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนี้เป็นเวลานานถึงเจ็ดวัน…”
เพิ่งพูดขึ้นมา
ร่างสูงโปร่งของเขาพลันปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมา
กำลังอันร้ายกาจยากจะต้านทานราวกับคมดาบแห่งโลกกว้างที่สงบนิ่งมานานนับหมื่นปี เวลานี้ได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว จากนั้นก็พุ่งออกไป
แขนเสื้อของเขาโบกสะบัดราวกับเซียนยกมือปัดเมฆ
ครืน!
สมบัติล้ำค่าและอาวุธวิถีที่พวกหวนซั่งหลินกับคนอื่น ๆ นับสิบในขอบเขตวงล้อวิญญาณแสดงออกมาปกคลุมไปด้วยอานุภาพและแสงสว่างที่น่ากลัวกำลังพุ่งเข้าไปใกล้ซูอี้เพียงแค่คืบ
ทว่าแสงสว่างเต็มฟ้ากลับแตกระเบิด สมบัติล้ำค่าทั้งหลายต่างก็แตกสลายในชั่วพริบตาพร้อมกับการสะบัดแขนเสื้อของเขา
การโอบล้อมโจมตีที่มีความน่ากลัวก็พังทลายลงไปด้วยเหตุฉะนี้
คนอื่น ๆ ยังไม่ทันที่จะแสดงความตื่นตระหนกออกมา ก็เห็นร่างของซูอี้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก้าวขึ้นสู่อากาศ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปคว้า
มหาภัยพิบัติแสงเจิดจ้าที่ร่วงหล่นลงมาราวกับสายน้ำเช่นนั้นกลับถูกซูอี้คว้าไว้ได้
ราวกับเทพกระโจนขึ้นสู่ฟากฟ้าจับมังกรด้วยมือเปล่า!
ภาพที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกคนต่างก็ครั่นคร้ามตื่นตะลึงจนขาดสติ!!
——————————–