บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 742 เสมือนเทพเซียนแห่งปวงดาบ ตะลุยทั่วหล้าไร้เทียมทาน
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 742 เสมือนเทพเซียนแห่งปวงดาบ ตะลุยทั่วหล้าไร้เทียมทาน
ตอนที่ 742: เสมือนเทพเซียนแห่งปวงดาบ ตะลุยทั่วหล้าไร้เทียมทาน
ตอนที่ 742: เสมือนเทพเซียนแห่งปวงดาบ ตะลุยทั่วหล้าไร้เทียมทาน
ตั้งแต่โบราณกาล เมื่อใดที่ผู้ฝึกตนต้องผ่านมหาภัยพิบัติ ล้วนอันตรายถึงชีวิตกันทั้งสิ้น ต้องประสบความลำบากยากเข็ญเสี่ยงตายนานัปการภายใต้ทัณฑ์อสนีบาตอันดุดัน ต่อสู้จนได้โอกาสรอดมาในท้ายที่สุด และผ่านมหาภัยพิบัติบรรลุวิถี
สำหรับเหล่ามหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณที่อยู่ในที่นี้ พวกเขาล้วนจำความอันตรายและความลำบากเมื่อครั้งผ่านมหาภัยพิบัติได้ขึ้นใจ
ทว่า เมื่อได้เห็นภาพที่ซูอี้ผ่านมหาภัยพิบัติในครานี้ ทุกคนล้วนตกตะลึง
ดาบเดียวเท่านั้น ทลายเมฆทัณฑ์นับหมื่นจั้งได้ ทลายมหาภัยพิบัติบันลือโลกลง!!
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
กระทั่งทุกคนยังรู้สึกเหมือนฝันไป
อย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้ผู้ใดก็รู้สึกได้ว่ามหาภัยพิบัติขอบเขตสยายวิญญาณที่ซูอี้ต้องเผชิญในครั้งนี้น่ากลัวผิดปกติ กระทั่งเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายพิศวงราวกับเป็นแรงต้องห้าม
มหาภัยพิบัติทัณฑ์สวรรค์ระดับนี้ ส่งผลให้ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณในที่นี้สิ้นหวังหวาดกลัวกันหมด ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ
และเพราะเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกหวนซั่งหลิน พวกเซี่ยจือเป่ย หรือพวกหวังจงหยาง ต่างเชื่อสนิทใจว่าภายใต้การแทรกแซงของพวกเขา ซูอี้ย่อมไม่มีทางรอด และต้องจบชีวิตลงอย่างแน่นอน!
แต่ใครเล่าจะคิด…
ซูอี้เปรียบดั่งเทพเซียน หนึ่งดาบทลายผืนฟ้า สลายมหาภัยพิบัติต้องห้ามที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์!
พวกเขาต่างทึ่งตะลึง และยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม
ราวกับได้ประจักษ์อภินิหาร!
“นี่… นี่เขาจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”
บางคนใจสั่นสะท้าน พึมพำด้วยความตะลึง
“หนึ่งดาบทลายมหาภัยพิบัติสวรรค์ เขามีพลังวิถีน่ากลัวปานนี้ได้ด้วยวิธีใดกัน?”
บางคนเสียงหลงด้วยความทึ่ง
“สมกับเป็นคนระดับเทพเซียน ช่างหาได้ยากในโลกมนุษย์…”
ผูเจวี๋ยอุทาน
ชั่วเวลานี้ ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสูงแห่งภูมินภาจรัสผู้นี้ก็ทึ่งกับฝีมือที่ซูอี้แสดงให้เห็นเช่นกัน
เมื่อหันไปมองเฒ่าบอด เหวินซินจ้าว และคนอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนมีสีหน้าตกอยู่ในภวังค์
ภาพเช่นนี้ พลิกผันความเข้าใจที่พวกเขามีต่อการผ่านมหาภัยพิบัติไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน!
ใต้ท้องนภา
แสงมหาภัยพิบัตินับพันหมื่นแตกตัวอันตรธาน ราวกับมีสิ่งใดชักจูง ถูกร่างสูงใหญ่ของซูอี้กลืนกินไปประหนึ่งคลื่นน้ำก็มิปาน
ร่างของเขาเปล่งแสง พลังทั้งร่างทวีซัดสาด เสมือนผิวน้ำลำธารหลังฝนตก!
ส่วนอารามวิญญาณมหาวิถีในตัวเขาราวกับได้พบจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ส่งเสียงครืนคราน พลังวิถีดุดันหลอมรวมเป็นร่างขั้นต้นของอวตารอันแสนเร้นลับ
ส่วนผลการฝึกของซูอี้ได้ก้าวสู่ขอบเขตสยายวิญญาณแล้ว!
ชั่วอึดใจนี้ สามารถสัมผัสการเปลี่ยนแปลงชนิดกลับตาลปัตรทั้งภายในภายนอก สัมผัสถึงการเพิ่มพูนอันน่าตกใจของพลังวิถีและจิตวิญญาณ ทำให้ซูอี้รู้สึกอิ่มใจขึ้นมา
ขอบเขตสยายวิญญาณ!
ขอบเขตใหญ่อันดับสองแห่งเส้นทางวิถีวิญญาณ เมื่อบรรลุขอบเขตนี้ จะสามารถหลอมอวตารมหาวิถี รู้แจ้งความลับเอกภพ อายุขัยเพิ่มพูน พลังชีวิตยืนยาว ท่องทั่วแดนได้ตามใจนึก กลืนกินสุริยันจันทราเสาะหาความเร้นลับ!
เมื่ออวตารถูกสร้างขึ้น บ่งบอกว่าการควบคุมในมหาวิถีได้ก้าวสู่อีกขั้นหนึ่งแล้ว ในการฝึกฝนหลังจากนี้ ความลับมหาวิถีและเคล็ดวิชาลับต่าง ๆ ล้วนสลักลงในอวตารได้!
เมฆทัณฑ์ที่กระจายอยู่เต็มฟ้ามลายหาย ฟ้าดินกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
แสงสายัณห์ถูกแทนที่ด้วยรัตติกาล บนท้องนภา พระจันทร์สีเงินยวงเจิดจรัสร่วมกับดวงดารา
ส่วนใต้นภา ลมปราณของซูอี้ยังเพิ่มพูนทวีไม่หยุดหย่อน!
เจ็ดวันก่อน เขาเคยได้รับแสงฝนมหาวิถีที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย เมื่อได้ทลายมหาภัยพิบัติสวรรค์วันนี้ จึงกลืนกินพลังชีวิตมหาศาลในทัณฑ์อสนีบาตจนสิ้น
เมื่อพลังสองกระแสนี้ผสานเข้าด้วยกัน จึงเป็นการสร้างรากฐานมหาวิถีขอบเขตสยายวิญญาณให้กับซูอี้!
คาดการณ์ได้เลยว่า เมื่อขอบเขตของซูอี้มั่นคงแล้วจริง ๆ รากฐานมหาวิถีของเขาย่อมต้องแกร่งกล้าถึงขั้นที่จินตนาการไม่ออก
“เร็วเข้า ฉวยโอกาสที่ขอบเขตยังไม่มั่นคง ฆ่าเขาซะ!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้นสนั่น จนทุกคนในที่นี้สะดุ้งตื่นจากภวังค์
หวนซั่งหลินนำทัพตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณอีกสิบเอ็ดคนบุกลงมือพร้อมกัน กระโจนไปฆ่าซูอี้
จิตสังหารอบอวลไปทั่วสถานที่
“ดี ถ้าอย่างนั้นขอฆ่าเจ้าคนแซ่ซูก่อน แล้วค่อยแย่งเมล็ดพันธุ์คังชิง!”
เซี่ยจือเป่ยกัดฟัน จากนั้นร่วมเหินฟ้ากับขอบเขตวงล้อวิญญาณอีกเก้าคนเข้ารุมสังหารซูอี้
“พวกเราก็ไปด้วย!”
หวังจงหยางตัดสินใจ
เขารู้ดีว่าหากรอจนขอบเขตของซูอี้มั่นคง ย่อมต้องน่ากลัวชนิดไร้สิ่งใดทัดเทียม เมื่อถึงครานั้น คนในที่นี้น่ากลัวว่าไม่มีผู้ใดเป็นคู่มือของซูอี้!
แม้ว่าตอนนี้ซูอี้จะผ่านมหาภัยพิบัติสำเร็จ กระนั้นก็ยังมีจุดอ่อนถึงตายอยู่ประการหนึ่ง
นั่นคือขอบเขตของเขายังไม่มั่นคง พลังทั้งหมดกำลังอยู่ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง เป็นผลให้ชายหนุ่มไม่อาจควบคุมพลังใหม่เอี่ยมนี้ได้ดั่งใจนึก!
ซึ่งสิ่งนี้เป็นโอกาสดีงามให้พวกเขาได้สังหารซูอี้!
ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน รัตติกาลต้องกับแสงเทวะจนส่องแสงเจิดจ้า
ขอบเขตวงล้อวิญญาณยี่สิบคนร่วมแรงโจมตี เป็นภาพที่สะพรึงเสียนี่กระไร?
ดาบวิถี ระฆังทองแดง หลาว ประกาศิตเทวะ แส้ปัด ดาบปลายมนสีหยก… สมบัติวิญญาณคู่ชีพนานาชนิดพร้อมด้วยประกายเจิดจ้า ฉีกกระชากมิติ เฉิดฉายอยู่ในโลกหล้า
วิชาวิถีและเคล็ดวิชาลับแกร่งกล้าเกินหยั่งต่าง ๆ ก่อให้เกิดอสนีบาต เพลิงวิญญาณ พายุ ทะเลเลือด และคลื่นพลังทำลายล้างอื่น ๆ ถาโถมปกคลุมไปหาซูอี้คนเดียว
ฟ้าดินผืนนั้นตกอยู่ในความปั่นป่วนครั้งใหญ่ ภูเขาลำธาร ต้นไม้ใบหญ้า ล้วนกลายเป็นผุยผงไปทั้งสิ้น กระทั่งท้องฟ้ายังคล้ายจะรับไม่ไหว ส่งเสียงกู่ร้องไม่หยุดหย่อน
น่ากลัวสุด ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย!
ก่อนหน้านี้ขณะที่ซูอี้กำลังผ่านมหาภัยพิบัติ ขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านี้เคยร่วมมือโจมตีพร้อมกัน ทว่า ครานั้นพวกเขาทำเพื่อสกัดและปั่นป่วนจิตใจของซูอี้ บวกกับเกรงกลัวว่าจะโดนพลังของมหาภัยพิบัติตีกลับ วิชาวิถีและสมบัติลับที่ใช้จึงไม่แข็งแกร่งเท่าใด
แต่เวลานี้ไม่เหมือนกัน ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านี้ทุ่มเทกำลังทั้งหมด โดยเรียกสมบัติวิญญาณคู่ชีพและแสดงวิชาวิถีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
เพื่อฆ่าซูอี้ได้ในคราเดียว!
พลานุภาพนั้นย่อมแตกต่างจากก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ติด
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณผูเจวี๋ย ซึ่งติดห้าอันดับแรกในภูมินภาจรัสยังรู้สึกหวาดหวั่น และได้แต่แอบถามใจดู ว่าถ้าเป็นตนเองคงมีเพียงทางเลือกเดียว…
หนี!
หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
มิฉะนั้น มีหวังโดนถล่มจนไม่เหลือแม้กระดูกแน่!
และในตอนนั้น เมื่อพบกับการโจมตีที่รุมล้อมเข้ามาจากทั่วสารทิศ ซูอี้กลับกล่าวเย้ยหยันออกมา
“ลงมือตอนนี้ ต่างสิ่งใดจากแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ?”
เสียงราบเรียบนั้นยังสะท้อนอยู่ ซูอี้ก้าวเดินบนอากาศ ชายเสื้อพลิ้วไหว
ตู้ม!
รอบ ๆ ร่างสูงใหญ่ของเขา ฉายเงากลมแห่งมหาวิถี ราวกับแผ่นบดที่หมุนไปช้า ๆ จุติลงจากผืนฟ้า เปล่งประกายดุจฝัน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
สมบัติวิญญาณแห่งมหาวิถีและเคล็ดวิชาลับมหาวิถีโถมทับเข้ามา ส่งเสียงครืนคราน อานุภาพอันน่าสะพรึงถาโถมใส่ซูอี้
แต่ไม่ว่าจะเป็นสมบัติหรือเคล็ดวิชายอดเยี่ยมเพียงใด ไม่ทันใดเมื่อเข้าใกล้ซูอี้ พวกมันก็โดนวงล้อมหาวิถีนั้นสกัดในจุดที่ห่างกันหลายจั้ง ไม่อาจรุดหน้าได้แม้แต่คืบเดียว
และคล้อยตามการก้าวเดินของซูอี้ สมบัติเหล่านั้นกระเด็นออกไปด้วยแรงกระเทือน เคล็ดวิชาต่าง ๆ ถูกหักล้าง!
มองจากที่ไกล ๆ ซูอี้ในเวลานี้ไม่ต่างกับภูผาสูงชันที่ไม่อาจทำลายได้ ซึ่งกำลังเคลื่อนย้ายอยู่กลางอากาศ พร้อมบดขยี้การโจมตีทุกรูปแบบ!
เล่าแล้วดูเชื่องช้า แท้จริงแล้วทุกสิ่งเกิดขึ้นในเสี้ยวอึดใจ
ซูอี้ก้าวไปข้างหน้าเพียงหนึ่งก้าว ก็มาถึงเบื้องหน้าผู้ฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านี้ เขาสะบัดแขนเสื้อ
ตู้ม!!!
ปราณดาบกระหน่ำซัดลงจากฟ้า ประหนึ่งสายฝนหนักหน่วงที่ตกลงมา ปกคลุมไปทั่วสารทิศ ปราณดาบคมกล้าไร้ที่เปรียบขูดจนอากาศเกิดรอยร้าวยาวเหยียด
บรรดาผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้ซูอี้ที่สุดขนลุกกันหมด พวกเขาทุ่มกำลังสุดตัวโดยไม่ลังเล ราวกับต้องการหักล้างด้วยชีวิต
เสียงกระแทกกันดังสนั่นปฐพี
ฝนดาบสาดเทลงมา บดขยี้การโจมตีของบรรดาผู้ฝึกตนอย่างไม่อาจหยุดยั้ง หลังจากทำลายสมบัติของพวกเขาได้แล้ว จึงฟาดฟันบนตัวพวกเขา
พรวด! พรวด! พรวด! พรวด! พรวด!
ร่างของพวกเขาแยกออกจากกัน จิตวิญญาณถูกปราณดาบมากมายบดขยี้แหลกลาญ โลหิตกระเซ็นแผ่พุ่ง ย้อมบริเวณโดยรอบเป็นสีแดงชาด
ทุกคนในที่นี้สะท้าน ไม่มีผู้ใดไม่ตกตะลึง
เมื่อตกอยู่ในวงล้อม ไม่เพียงแต่ไม่โดนกำราบ ซ้ำยังทลายการโจมตีด้วยกำลังที่ไม่อาจหยุดยั้ง ปลิดชีพได้ทีเดียวถึงห้าคน!!
ที่ว่าไม่มีผู้ใดทัดเทียม คงเป็นประมาณนี้แล!
เลือดสาดกระจาย เสียงร้องด้วยความตกใจสะท้านฟ้า
หวนซั่งหลิน เซี่ยจือเป่ย หวังจงหยางต่างตะลึงจนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
ในการคาดการณ์ของพวกเขา ซูอี้ผู้เพิ่งบรรลุควรอยู่ในสภาวะอ่อนแอ ด้วยขอบเขตยังไม่มั่นคง
แต่ใครเล่าจะคิด หาใช่อย่างนั้นไม่!
“เร็วเข้า ลงมือด้วยพลังทั้งหมด!”
หวนซั่งหลินแทบคลั่ง ตวาดเสียงดุดัน
ผู้ฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณห้าคนที่ตายไปครั้งนี้ ล้วนมาจากกองกำลังของเขา เจ้าตัวจึงรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังหลั่งเลือด
ไม่ต้องให้เขาเตือน คนอื่น ๆ ในที่นี้ล้วนสัมผัสถึงความคับขัน ไฉนเล่าจะกล้าชะล่าใจ?
แต่ละคนงัดฝีมือก้นหีบออกมาโดยไม่ลังเล รุมโจมตีซูอี้อย่างบ้าคลั่งราวกับต้องการแลกด้วยชีวิต
ฟ้าดินผืนนี้อลหม่านอย่างสิ้นเชิง เพียงนิ้วเดียวก็สามารถแผดเผาขุนเขา เหือดแห้งผืนทะเล ทำลายภูมิประเทศให้ราบคาบ
และบัดนี้ ขอบเขตวงล้อวิญญาณจำนวนหนึ่งประสานกำลังสู้ศึก แต่ละคนสู้สุดตัวอย่างบ้าคลั่ง ความองอาจดุดันนั้นไม่อาจหาสิ่งใดเทียบเทียม
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยที่ห่างออกไปไกลจำต้องเร่งพลังค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนเพื่อป้องกัน มิฉะนั้นลำพังคลื่นหลงจากการต่อสู้ก็สามารถสร้างความเสียหายฉกรรจ์แก่นครหลวงได้
ส่วนผู้ฝึกตนที่เฝ้าดูศึกนี้จากไกล ๆ ต่างหลบออกไปในจุดที่ไกลออกไปอีก เกรงกลัวว่าจะโดนลูกหลง
ครืน!
ฟ้าดินหม่นหมอง ขุนเขาลำธารทลาย
ศึกใหญ่ปะทุอย่างสมบูรณ์
และเวลานี้เอง ผู้คนถึงได้ประจักษ์อย่างแท้จริงว่า ซูอี้ที่เพิ่งผ่านมหาภัยพิบัติบรรลุมาได้น่ากลัวปานใด!!
เขาเดินเหินอยู่กลางอากาศประหนึ่งเทพเซียน แขนเสื้อสะบัด ปราณดาบมากมายพาดผ่านอากาศ เปล่งแสงเจิดจ้า ส่องสว่างไปทั่วผืนฟ้ารัตติกาล กรีดผ่านนภา
ไม่มีพลังใดสามารถกีดขวางแรงสังหารของปราณดาบระดับนี้ได้ นภาไม่อาจกั้น ปฐพีไม่อาจยั้ง มหาวิถีก็ไม่อาจสกัดได้เช่นกัน!
ภายใต้การอาละวาดของปราณดาบมากมาย สมบัติแหลกสลาย เคล็ดวิชาวิถีทลาย
ร่างแล้วร่างเล่าถูกเชือดทิ้งเสียตรงนั้นราวกับเป็นเพียงต้นหญ้า เนื้อตัวแยกออกจากกัน เลือดสาดนภาลัย
เสียงกรีดร้องกราดเกรี้ยวระคนตระหนก เสียงคำรามเจ็บใจ เสียงตะโกนสิ้นหวัง เสียงโหยหวนอนาถา… ดังเป็นระลอกอยู่ท่ามกลางศึกใหญ่ใต้ผืนฟ้านี้
ชั่วเวลานี้ ราวกับฟ้าดินได้มาถึงจุดวันสิ้นโลก วาดออกเป็นภาพการตายอันชวนผวาภาพแล้วภาพเล่า!
น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!
คนคนเดียวเท่านั้น กวาดล้างออกไปทั่วทุกทิศ ปลิดชีพขอบเขตวงล้อวิญญาณ พินาศย่อยยับไปอย่างง่ายดาย!
เพียงไม่กี่อึดใจ ก็มีตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณนับสิบที่ตายลง ณ ที่แห่งนี้ด้วยความเจ็บแค้น
สมบัติและซากศพของพวกเขามลายเป็นเศษเถ้า ผสมผสานกับโลหิตสีแดงฉานร่วงหล่นจากฟ้า ย้อมปฐพีผืนนี้เป็นสีชาด
แล้วหันมองไปยังซูอี้ ชุดสีเขียวหยกอันองอาจ ผมยาวพลิ้วไสว บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่แปดเปื้อน ดุจจ้าวเซียนแห่งดาบ ประหารคนแล้วคนเล่า เก่งกาจไร้เทียมทาน!
ผู้ชมศึกไกล ๆ ต่างนิ่งค้างดุจรูปปั้น
ความหวาดกลัวท่วมท้นทั้งกายและใจ!