บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 744 เป็นที่ครหา
ตอนที่ 744: เป็นที่ครหา
แม้จะเป็นเวลากลางคืน ทว่าแสงสว่างจากค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนกลับปลดปล่อยขับไล่รัตติกาลออกไป
กลิ่นเลือดคาวคลุ้งอยู่ในฟ้าดิน เศษซากสมบัติและศพทั้งหลายกระจัดกระจายบนพื้นดินอันแตกระแหง กลายเป็นภาพแห่งความตายน่าผวา
ผู้ชมการต่อสู้จากระยะไกลต่างนิ่งค้าง สะท้านจนพูดสิ่งใดไม่ออก
ผ่านไปเพียงครู่เดียว ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากทั้งสามกองกำลัง รวมยี่สิบห้าคนโดนซูอี้คนเดียวสังหารจนสิ้น!
หากเป็นเมื่อก่อน ผู้ใดจะคาดคิด…
ต่อให้แสงสว่างแห่งโลกกว้างกำลังจะมาถึง แต่ในมหาทวีปคังชิงแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณนับเป็นตัวตนที่อยู่ในขั้นสูงสุด!
เพียงหนึ่งคนก็มีพลังเป็นใหญ่ได้ในทั่วหล้า เรียกฟ้าเรียกฝน ทรงพลังน่าเกรงขาม!
ในใจผู้ฝึกตนของโลกนี้ ขอบเขตวงล้อวิญญาณยิ่งถือเป็นการดำรงอยู่ระดับผู้พิพากษา ที่ทำได้เพียงแหงนมองและเคารพยำเกรง
ทว่าในวันนี้ นอกนครหลวงจิ๋วติ่ง มีภาพน่าตื่นตกใจที่บรรดาผู้แข็งแกร่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณต่างล้มตายเป็นแถบดั่งสายฝนให้เห็น!
และผู้ที่ฆ่าพวกเขา คือชายหนุ่มที่เพิ่งผ่านมหาภัยพิบัติเข้าสู่ขอบเขตสยายวิญญาณ…
ทั้งหมดนี้… ชวนทึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!!
“ซูอี้ เจ้าไม่กลัวกรรมตามสนองรึ!?”
ทันใดนั้น เสียงแหบแห้งนั้นดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความเคียดแค้น สะท้อนอยู่ในท้องฟ้ารัตติกาล
เขาคือผู้เฒ่าคนหนึ่งแห่งหอดาบโคจรสวรรค์ ซึ่งได้ปริปากขอความเมตตาก่อนหน้านี้ หมายให้ซูอี้ปล่อยเซี่ยจือเป่ยไป
แต่ซูอี้หาได้เมตตาไม่
“ผู้เป็นศัตรูข้าต่างหาก ที่ควรกังวลในเวรกรรมที่ตามสนอง”
ซูอี้จิบสุรา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “มิหนำซ้ำ เรื่องในวันนี้ไม่จบลงเท่านี้แน่”
ประโยคเรียบ ๆ ทำให้ทุกคนในที่นี้สะดุ้งกันหมด
ฟู่ชิงอวิ๋น ผู้นำหอเมฆาเขียวพลันนึกถึงตอนก่อนซูอี้ผ่านมหาภัยพิบัติ เคยขอให้เขาอธิบายภูมิหลังของคู่ต่อสู้เหล่านั้นโดยเฉพาะ เพื่อล้างแค้นเหล่าข้าศึกในภายหลัง
ตอนนั้น ฟู่ชิงอวิ๋นเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง อย่างไรสถานการณ์ตอนนั้นก็อันตรายเกินไป เขายังแคลงใจอยู่เลยว่าซูอี้จะรอดจากเคราะห์ใหญ่นี้ได้หรือไม่
ทว่าบัดนี้ ยามหวนนึกถึงคำพูดซูอี้อีกครั้ง หัวใจของฟู่ชิงอวิ๋นดั่งคลื่นซัดสาด เนิ่นนานไม่อาจข่มให้สงบลง
วันนี้ ซูอี้ผ่านมหาภัยพิบัติสะท้านโลกา กำจัดกลุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณ ทั้งใต้หล้านี้ผู้ใดเทียบเทียมได้บ้าง?
และตัวตนระดับนี้ หากคิดล้างแค้นกลุ่มขุมกำลังซึ่งเป็นศัตรู ย่อมกลายเป็นความนองเลือดที่ไม่อาจคาดเดา!
“เหอะ ๆ อย่างนั้นหรือ? แต่ข้าดูแล้ว เมื่อครอบครองเมล็ดพันธุ์คังชิง ชีวิตหลังจากนี้ของสหายเต๋าซูย่อมกลายเป็นเป้าหมายในการไล่ล่าของทุกคนในใต้หล้า!”
เสียงแหบแห้งของผู้เฒ่าแห่งหอดาบโคจรสวรรค์ดังขึ้นในฟ้าดินอีกครา
“ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง บางทีสหายเต๋าซูคงมีพลังกล้าแกร่งลึกล้ำ จึงไม่เกรงกลัวสิ่งใด กระนั้นเจ้าแน่ใจได้หรือว่า บรรดาคนที่วางแผนช่วงชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจะไม่มีแผนการอื่น”
เจตนาข่มขู่ฉายชัดในถ้อยคำนี้อย่างไม่ปิดบัง!
ผู้ชมการต่อสู้ทุกคนในที่นี้หัวใจเย็นเยียบกันหมด
ซูอี้กลับคลี่ยิ้ม เอ่ยเรียบ ๆ “หากเรื่องของข้าผู้นี้ทำให้คนรอบข้างพลอยโดนหางเลขไปด้วย ข้าไม่รังเกียจการบดขยี้กลุ่มขุมกำลังอันเป็นปรปักษ์ทั้งปวงในโลกนี้ ถึงครานั้น ข้าอยากรู้นัก ผู้ใดบังอาจเห่าหอนพล่อย ๆ อีก”
ทุกคนสะท้าน และสูดปากไปตาม ๆ กัน
ความแข็งกร้าวของซูอี้แสดงให้เห็นอย่างหมดจดในวาจานี้!
“เช่นนั้นก็คอยดูกันไปแล้วกัน!”
เสียงของผู้เฒ่าหอดาบโคจรสวรรค์หายไปหลังจากนั้น
ซูอี้บิดขี้เกียจครู่ใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตามองทั่วทั้งพื้นที่ “ผู้ใดต้องการสู้กับข้าอีกหรือไม่?”
ฟ้าดินสงัด ผู้คนล้วนดับวาจา
“เวิงจิ่ว รบกวนช่วยเก็บของกำนัลจากสงครามให้ข้าด้วย”
ซูอี้พูดประโยคนี้จบ เขาก็เหินฟ้าออกไปโดยไม่ชักช้า
กระทั่งร่างของเขาหายลับเข้าไปในนครหลวงจิ๋วติ่ง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขวางกั้น
“ไป เรากลับกันเถิด”
เหวินซินจ้าวเป็นคนแรกที่อดกลั้นไม่ไหว รีบร้อนเดินทางกลับด้วยหัวใจเบิกบาน
เฒ่าบอดและชิงหยาตามหลังไปติด ๆ
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยและเวิงจิ่วอยู่เก็บกวาด
ในตอนนั้น นอกนครหลวงจิ๋วติ่งเดือดพล่านราวกับกระทะน้ำมัน ราตรีอันสงบถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
“เทพเซียนซูโหดเกินไปแล้ว! พวกเจ้าว่าแต่นี้ต่อไป โลกนี้มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเทพเซียนซูได้อีกหรือ”
ใครบางคนอุทานด้วยความตะลึง
“พูดยาก อย่างไรเสียในโลกนี้ยังมีตัวตนที่มีภูมิหลังลึกลับ แปลกหน้า ซ้ำยังสุดแสนน่ากลัว ดั่งเช่นหอดาบศีตอุดรแห่งภูมิชลสินธุ์สวรรค์ที่เพิ่งปรากฏขึ้นวันนี้ เมื่อก่อนข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
ใครบางคนวิเคราะห์อย่างใช้ความคิด
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เทพเซียนซูคือผู้มีอำนาจสูงสุดในใต้หล้านี้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเขา ควรต้องพินิจพิเคราะห์ผลที่ตามมาให้ดี!”
บางคนรู้สึกสะท้อนใจ
“ศึกนี้ เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ คาดการณ์ได้เลยว่าหลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป ปฐพีผืนนี้ย่อมต้องสะเทือน!”
“คนตายไปมากขนาดนี้ กลุ่มขุมกำลังใหญ่ ๆ จะยอมรามือง่าย ๆ เชียวหรือ?”
“รามือง่าย ๆ อะไรกันเล่า สิ่งที่ขุมกำลังเหล่านั้นควรกังวลจริง ๆ คือเทพเซียนซูจะไปคิดบัญชีกับพวกเขาหรือเปล่า!”
…เสียงเซ็งแซ่ดังไปทั่วบริเวณ
ท่ามกลางรัตติกาลที่ห่างออกไปแสนไกล ตัวละครที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมากมายต่างทยอยเผยร่องรอยออกมาในเวลานี้
“ใช้การผ่านมหาภัยพิบัติเป็นเหยื่อล่อ ขุดหลุมพรางลวงผู้อื่น ซูอี้ผู้นี้… ใจกล้ามากไปแล้ว!”
ใครบางคนพึมพำ
“เดิมคิดว่าวันนี้ได้ปฏิบัติการตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง*[1]เสียอีก ไม่คิดเลย กลับเป็นซูอี้ที่วางกับดักรอ ลวงให้ผู้อื่นเข้ามาติด ดีที่พวกเราไม่เข้าไปแทรกแซงตั้งแต่แรก”
ใครสักคนลอบดีใจ
“ด้วยพลังรบของซูอี้ในวันนี้ การชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจากมือเขาหลังจากนี้มีแต่จะยากขึ้นเรื่อย ๆ”
ใครบางคนถอนหายใจ
“เหอะ ๆ พวกเจ้าคิดว่าซูอี้ไร้เทียมทานจริง ๆ หรือ? ผิดแล้ว! แสงสว่างแห่งโลกกว้างเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น นอกเสียจากเขาจะยอมยกเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงให้ มิฉะนั้น ในช่วงเวลาหลังจากนี้ย่อมต้องพานพบภยันตรายอีกมากมายนับไม่ถ้วนแน่!”
ใครบางคนยิ้มเย็น
เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมาตลอดทยอยจากไป
“สมกับเป็นคนที่ท่านบรรพบุรุษของเราจับตาดู ซูอี้ผู้นี้ดุดันยิ่ง โตขนาดนี้แล้ว เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบคนที่สะท้านฟ้าปานนี้”
ใต้ท้องฟ้าราตรี ริมฝีปากแดงของชุยจิ๋งเหยี่ยนเอื้อนเอ่ยเบา ๆ พลางส่งเสียงชื่นชม
“แค่เจ้าที่ไหนกัน ข้ายังไม่อยากเชื่อเลย ว่ามีใครสามารถทลายมหาภัยพิบัติสวรรค์ด้วยดาบเดียว แล้วยังเข่นฆ่าเหล่าขอบเขตวงล้อวิญญาณจนพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ทั้งที่เพิ่งบรรลุขอบเขตสยายวิญญาณเท่านั้น…”
เสวี่ยเย่สายตาล่องลอย รอยยิ้มเจื่อนระบายอยู่บนใบหน้า
นักบวชลำดับเก้าที่เงียบมาตลอดเวลานี้ก็อดอุทานขึ้นมาไม่ได้ “ซูอี้ผู้นี้ มีภูมิหลังไม่ธรรมดาแน่!”
คนหนุ่มเพียงคนเดียวกลับรู้จักเคล็ดวิชาของพวกเขาโถงหลงลืมเป็นอย่างดี ทั้งยังจำจี้หยกที่ยมราชผู้พิพากษาหล่อหลอมขึ้นได้ในปราดเดียว ทายาทเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพยอมติดตามข้างกาย…
คนหนุ่มคนเดียวกันนี้ ได้ผ่านมหาภัยพิบัติใหญ่ที่น่าสะพรึงในวันนี้ และปลิดชีพบรรดายอดฝีมือขอบเขตวงล้อวิญญาณด้วยขอบเขตสยายวิญญาณที่เพิ่งบรรลุ
ทั้งหมดนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน!
จนทำให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ผ่านมรสุมมามากอย่างพวกนักบวชลำดับเก้ายังห่อเหี่ยวใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ คนหนุ่มผู้นี้… เป็นคนอย่างไรกันแน่?
“นักบวชลำดับเก้า พวกเรายังต้องไปพบซูอี้อยู่หรือไม่”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกะพริบตาคู่สวยพลางถาม
“เหตุใดต้องไม่ไปพบด้วย?”
นักบวชลำดับเก้าสูดหายใจเข้าลึก “พวกเจ้าไม่ใคร่รู้ความลับในตัวเขาบ้างหรือ?”
เสวี่ยเย่ตาไหวระริก “ข้าสนใจเมล็ดพันธุ์คังชิงมากกว่า”
นักบวชลำดับเก้าสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนตำหนิเสียงเข้ม “เสวี่ยเย่ ห้ามกล่าวถึงเรื่องนี้อีก ต่อให้เจ็บใจเพียงใด เวลานี้พวกเราก็ไม่อาจตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับคนอันตรายอย่างซูอี้ได้! อีกอย่าง ที่ปรึกษาไม่เคยบอกว่าพวกเราจำต้องนำเมล็ดพันธุ์คังชิงกลับไป”
เสวี่ยเย่ถอนหายใจเบา ๆ “ข้าทราบ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “การเจ็บใจเป็นเรื่องปกติ เป็นข้าก็เจ็บใจ หากเป็นไปได้ ข้าอยากจัดการเจ้าคนแซ่ซูให้หนัก ๆ เลยล่ะ”
นักบวชลำดับเก้ามุมปากกระตุก และเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “จิ๋งเหยี่ยน เจ้าหยุดสร้างความวุ่นวายได้แล้ว เจ้าล่วงเกินซูอี้ แต่มีจี้หยกของท่านยมราชพิพากษาอยู่ ซูอี้ย่อมไม่ถือสาหาความเจ้า แต่พวกเราต่างจากเจ้า หากล่วงเกินซูอี้ ผลที่ตามมานั้นยากจะคาดเดา!”
ช่วงเวลานี้ เสวี่ยเย่สัมผัสได้ด้วยปฏิภาณว่าความปรารถนาในการแย่งชิงเมล็ดพันธุ์คังชิงของนักบวชลำดับเก้าได้มอดดับไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ถ้อยคำของเขาเจือแววยำเกรงต่อซูอี้โดยไม่ตั้งใจ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “นักบวชลำดับเก้าโปรดวางใจ ข้าย่อมไม่ทำเสียเรื่องในเรื่องนี้แน่ บอกตามตรง ข้าเองก็ใคร่รู้ยิ่งว่าซูอี้ผู้นี้มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่”
นักบวชลำดับเก้าตัดสินใจก่อนจะยิ้มออกมา “ดึกแล้ว พรุ่งนี้เราไปเข้าพบเทพเซียนซูผู้นี้ด้วยกัน!”
…..
ท่ามกลางรัตติกาล
ฟู่ชิงอวิ๋นยืนเงียบอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว
เนิ่นนาน เขานำม้วนไผ่ที่เริ่มเป็นสีเหลืองออกมา จากนั้นสลักด้วยมีดจิตวิญญาณ
‘วันที่สิบเอ็ด เดือนสี่ ยามโพล้เพล้ ซูอี้เข้ารับมหาภัยพิบัติสยายวิญญาณ ณ นอกนครหลวงจิ๋วติ่ง…’
‘มหาภัยพิบัตินี้ไม่เคยอุบัติมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยลมปราณต้องห้าม ช่วงเวลาที่ผ่านพ้นมาจนถึงปัจจุบัน มิอาจพบกรณีที่ทัดเทียมกันได้…’
อักษรงดงามนิ่งงันร้อยเรียงกันอยู่บนม้วนไผ่ ประโยคกระชับ ไม่มีการแต่งเสริมเพิ่มเติม บันทึกเหตุการณ์ในวันนี้ตามจริง
‘…ศึกนี้ ซูอี้ผ่ามหาภัยพิบัติสวรรค์ด้วยดาบเดียว หนึ่งคนสู้สิบศัตรู หนึ่งพลังกำหนดเอกภพ ฝีมือยุทธการล้ำเลิศ ในแสงสว่างแห่งโลกกว้างครานี้ มิมีผู้ใดทัดเทียม’
‘กระนั้น เรื่องในวันนี้ได้ฝังบ่อเกิดแห่งหายนะแก่ซูอี้เช่นกัน ภายภาคหน้า ใต้หล้านี้ย่อมเกิดความโกลาหลรุนแรงอย่างแน่นอน’
เขียนมาถึงนี่ ฟู่ชิงอวิ๋นลังเลเล็กน้อย ท้ายสุดก็เขียนต่อไป
‘ศึกในวันนี้ คือจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบกฎเกณฑ์ของโลกนี้ ส่วนซูอี้ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของโลกใหม่นี้’
‘ความเห็นส่วนตัว ข้าหวังให้ซูอี้กำราบโลกใหม่นี้ด้วยดาบของเขา รวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง เช่นนี้จักสยบความวุ่นวายในแผ่นดินนี้ได้!’
เมื่อเขียนมาถึงนี่ สีหน้าฟู่ชิงอวิ๋นก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครา ท้ายสุด เขาหัวเราะเฝื่อน ๆ และลบถ้อยคำนี้ออกจากม้วนไผ่
ในฐานะผู้ฝึกตน การเขียนบันทึกสีชาดครอบโลกาหนึ่งวิถี ข้อห้ามสูงสุดคือใส่ความรู้สึกส่วนตัวลงไปขณะบันทึกเหตุการณ์ในโลก
นอกจากจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางวิถีของตนแล้ว ยังส่งผลให้ตำราประวัติศาสตร์ที่ตนบันทึกสูญเสียความถ่องแท้ ซ้ำยังอคติอีกด้วย จวบจนประวัติศาสตร์บิดเบี้ยว!
“ความดีความชอบ ชัยชนะและความพ่ายแพ้ ย่อมมีช่วงเวลาที่ถูกตัดสิน ในฐานะผู้ประจักษ์ ได้เห็นเหตุการณ์วันนี้ด้วยตัวเองนับว่าโชคดีมากแล้ว!”
ฟู่ชิงอวิ๋นเก็บม้วนไผ่ที่เริ่มเป็นสีเหลือง ก่อนจะจากไปอย่างเงียบงัน
สวนน้อยนภาเมฆ
โคมไฟสีแดงชาดใต้หลังจากส่องสว่าง แสงจันทร์สะท้อนอยู่ภายในสวนอย่างนุ่มนวลดั่งสายน้ำ เงาไผ่พลิ้วไหวลู่ลม
“ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง คนผู้นั้นพูดไม่ผิด…”
ซูอี้นอนบนเก้าอี้หวายด้วยท่าทางเกียจคร้าน พึมพำในใจ ‘ในอดีต ข้าคร้านจะถือสาหาความหรือล้างแค้น แต่บัดนี้ ด้วยเหตุจากเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง ได้ทำให้ข้าเป็นที่ครหา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจักไม่ปรานีอีกต่อไป’
สำหรับนักดาบ ควรตัดขาดหนี้แค้นบุญคุณอย่างไร?
คำตอบล้วนง่ายดาย…. ตัดขาดในดาบเดียว!
[1] ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง หมายถึงเพราะมัวแต่สนใจสิ่งที่อยู่ด้านหน้า จึงไม่อาจรับรู้ถึงภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง