บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 746 ความลับในจี้หยก
ตอนที่ 746: ความลับในจี้หยก
ตอนที่ 746: ความลับในจี้หยก
หลังจากเสียงเคาะประตูดังขึ้น เสียงของเฒ่าชราดังตามมา
“นักบวชลำดับเก้าแห่งห้องโถงหลงลืมรุ่ยหยางพร้อมกับอารักษ์เสวี่ยเย่ และศิษย์สายตรงชุยจิ๋งเหยี่ยนขอเยี่ยมสหายเต๋าซู!”
ชายตาบอดชราขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยว่า “คุณชายซู คนเหล่านี้ที่มามีประสงค์ไม่ดีแน่!”
ซูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “หาได้เป็นแบบที่เจ้าคิดไม่ พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา เจ้าจงไปเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามาเสีย”
แม้เฒ่าบอดจะงุนงง แต่เขาก็ยังลุกขึ้นไปเปิดประตู
ซูอี้หมดความสนใจในการรับประทานอาหารเช้าไป
เขาเดินไปที่ริมสระแล้วนอนบนเก้าอี้หวายเช่นเดิม
เช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ ลมพัดเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส
พืชพรรณเขียวชอุ่มและมีชีวิตชีวาทุกที่
ซูอี้นอนอยู่บนเก้าอี้หวายและอดคิดไม่ได้เรื่องหนึ่ง
เมื่อคืนจักรพรรดิเซี่ยและเวิงจิ่วมาพร้อมกับสินสงครามที่ริบได้มาจากการต่อสู้เมื่อวาน สมบัติมากมายเหลือคณาและมูลค่าของมันก็มีนับไม่ถ้วน
มีวัตถุวิญญาณบางอย่างสามารถใช้ปรับแต่งเก้าอี้หวายได้…
ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายชราตาบอดเข้ามาพร้อมกับนักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยาง ชุยจิ๋งเหยี่ยน และเสวี่ยเย่
“เฒ่ารุ่ยหยางผู้นี้ขอแสดงความยินดีกับสหายเต๋าซูที่สำเร็จมหาภัยพิบัติและสังหารศัตรูจนสิ้นทั้งทศทิศ!”
นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางยิ้มและก้าวมาข้างหน้าเพื่อทักทาย
ซูอี้นั่งบนเก้าอี้หวายโดยไม่ขยับกาย เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำทักทายให้วุ่นวาย แค่นั่งลงตามใจชอบ”
หญิงสาวสวมชุดสีม่วงรูปร่างหน้าตางดงามราวกับเทพธิดาแต่กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างของนางนั้นน่าสะพรึงราวกับปีศาจเป็นผู้นั่งคนแรกเมื่อได้ยินคำของซูอี้
นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางและเสวี่ยเย่ต่างมองหน้ากันก่อนจะนั่งลง
“บรรพบุรุษของเจ้าหาได้กล้าเท่ากับเจ้าไม่” ซูอี้หัวเราะ
หญิงสาวจากตระกูลชุยผู้นี้เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าหยิ่งผยองไม่เคยไว้หน้าผู้ใด
ชุยจิ๋งเหยี่ยนนิ่งชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถามกลับโดยไม่รู้ตัว “เจ้า… รู้จักบรรพบุรุษของข้าอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้ยิ้มทว่าไม่ตอบ แต่เบนสายตาไปยังนักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางและเสวี่ยเย่ก่อนจะกล่าวว่า “พวกเจ้ามาที่นี่วันนี้เพราะเรื่องข้าใช่หรือไม่?”
นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “ไม่อาจซ่อนสิ่งใดจากสายตาของสหายเต๋าได้เลยจริง ๆ! เนื่องจากพวกเรารู้ว่าสหายเต๋ามีต้นกำเนิดไม่ธรรมดา พวกเราจึงได้มีความคิดมาเยี่ยมเยียนสหายเต๋า”
ซูอี้เลิกคิ้วถามกลับด้วยความสนใจ “ต้นกำเนิดไม่ธรรมดา? เจ้าแน่ใจได้อย่างไร?”
นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางทำจิตใจให้สงบและพูดหลังจากไตร่ตรอง “สหายเต๋ารู้เกี่ยวกับมรดกของโถงหลงลืมเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีผู้สืบทอดโคมไฟผีเก็บโลงศพอยู่ข้างกาย ทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าแม้สหายเต๋าจะไม่ใช่ผู้ที่มาจากภูมิมืดมิด แต่ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับภูมิมืดมิดอย่างแน่นอน”
ซูอี้ถามอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “ยังมีอีกหรือไม่?”
“สิ่งสำคัญคือสหายเต๋าสามารถจดจำจี้หยกและที่มาของสาวน้อยผู้นี้ได้ในพริบตา ซึ่งทำให้เราทุกคนแน่ใจว่าสหายเต๋าไม่ธรรมดาอย่างแน่แท้”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าวิเคราะห์ได้ดี!”
เมื่อเห็นซูอี้ยอมรับง่าย ๆ เช่นนี้ นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางก็ตกตะลึง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมมากขึ้น เขาประสานมือและก้มศีรษะก่อนจะพูดว่า
“โปรดอภัยให้แก่ความหยาบคายของชายชราผู้นี้ที่ขอบังอาจถามว่าองค์เหนือหัวคือผู้ใด?”
ณ เวลานี้สายตาของชุยจิ๋งเหยี่ยนและเสวี่ยเย่จับจ้องที่ซูอี้เขม็ง
แม้แต่ชายชราตาบอดก็อดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟัง
ทั้งหมดที่เขารู้ในตอนนี้คือซูอี้เป็นเจ้าหนี้ของเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ และสงสัยว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผีเฒ่าแบกโลงซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเขา
แต่ชายชราตาบอดไม่สามารถคาดเดาที่มาของซูอี้ได้
“ข้าหาใช่องค์เหนือหัวใด ๆ ไม่”
ดวงตาของซูอี้เผยแววอธิบายไม่ถูกก่อนจะถอนหายใจ “อย่างดีที่สุดข้าเป็นเพียงผู้ฝึกปรือวิถีดาบผู้ชอบเตร็ดเตร่ไปทั่วทุกแดนดิน”
เหตุการณ์ในชาติก่อนของเขาเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เพราะไม่กล้าพูดหรือรังเกียจที่จะพูด แต่เมื่อเขาพูดไปมันมีความเป็นไปได้สูงที่เรื่องในอดีตเหล่านั้นจะกระทบกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ผลที่ตามมานั้นตอนนี้เขายังแบกรับไม่ไหว
“ผู้ฝึกปรือวิถีดาบเท่านั้น?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนรู้สึกผิดหวังอย่างเด่นชัด ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของนางกระตุกก่อนจะเอ่ยออก “อายุของเจ้าเพียงเท่านี้กลับกล้าที่จะแสร้งทำตัวลึกลับดั่งคนเฒ่าชรา แถมยังกล่าวอ้างว่ารู้จักบรรพบุรุษของข้า!”
นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางและเสวี่ยเย่สับสนเล็กน้อย
ทว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าซูอี้ย่อมไม่ให้คำตอบแท้จริงง่าย ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ผิดหวัง
“บรรพบุรุษของเจ้ามักเอื้อนเอ่ยอยากเป็นดั่งเช่นเมฆาและภูผา เพราะเขาไม่อยากทำให้ฟ้าดินขุ่นเคือง เขาเพียงต้องการเฝ้ามองสรรพสิ่งเป็นไปไม่ต้องการทำร้ายสรรพชีวิตแม้แต่หนึ่ง เขาเพียงต้องการอยู่อย่างสันโดษสงบตลอดชีวิต ไม่รู้เลยว่าฟ้าถล่มครั้งไหนถึงได้ทำให้สมองของเขากลวงโบ๋ได้ถึงขนาดนั้น”
ซูอี้ล้อเลียน “เขากับข้าช่างต่างกันยิ่งนัก”
นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางและเสวี่ยเย่สูดลมหายใจลึก ใบหน้าตะลึงค้าง
ในแดนภูมิมืดมิดใครกันบ้างจะกล้าเยาะเย้ยท่านยมราชพิพากษาเช่นนี้?!
ทว่าสีหน้าของซูอี้ขณะนี้ดูไม่ต่างจากกำลังพูดหัวเราะเยาะเกี่ยวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ชุยจิ๋งเหยี่ยนตกตะลึงมากยิ่งกว่าทุกคนจนตวาดว่า “ซูอี้! บรรพบุรุษข้าหาใช่สิ่งที่คนรุ่นเยาว์เช่นเจ้านำมาพูดหยอกล้อได้ตามใจ!”
นางมีโทสะ และรู้สึกว่าซูอี้ไร้ยางอายยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับคนที่ไร้ยางอายถึงขนาดนำบรรพบุรุษของนางมาล้อเลียน
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าพูดผิดอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้ถามด้วยรอยยิ้ม
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเปิดปากอยากจะหักล้าง แต่น่าเสียดายที่นางนึกคำที่จะหักล้างไม่ออก
เพราะทุกสิ่งเป็นเช่นที่ซูอี้พูด บรรพบุรุษเฒ่าของนางแทบไม่สนใจสิ่งใดในโลก เขามักจะพูดเสมอว่าในฐานะสมาชิกตระกูลชุย เมื่อใดที่เขาหลุดพ้นจากกรงแห่งโลกและแยกตนออกจากสรรพสิ่งได้ เขาจะสามารถรู้แจ้งในความสุขของตนได้อย่างแท้จริง
หลังจากอดกลั้นอยู่ครู่หนึ่ง ชุยจิ๋งเหยี่ยนมองเขม็งที่ซูอี้และกล่าวว่า “ที่ข้าอยากจะกล่าวคือทัศนคติของเจ้ามันผิดปกติยิ่ง!”
ซูอี้ยิ้ม
สตรีผู้นี้แม้ในยามมีโทสะ แต่ความงามของนางกลับไม่บั่นทอนลงเลย
ทันใดนั้นเขาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามาที่ทวีปคังชิงครั้งนี้มันควรเป็นเพราะจากคำสั่งบรรพบุรุษของเจ้าใช่หรือไม่?”
“ข้า…”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนกำลังจะปฏิเสธ แต่ซูอี้พูดขัดขึ้นก่อนว่า “ตามกฎของตระชุย ในฐานะทายาทสายตรงเว้นแต่จะมีเรื่องสำคัญยิ่ง เจ้าย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากภูมิมืดมิด”
“เรื่องนี้ไม่มีข้อยกเว้น มันหาใช่ขึ้นอยู่กับระดับการฝึกฝนหรือความแข็งแกร่งใด ๆ ไม่ว่าจะอย่างไรหากไม่ได้รับอนุญาตจากตระกูล แม้แต่ประมุขแห่งโถงหลงลืมก็ไม่มีสิทธิ์สั่งให้เจ้าออกมา”
หลังจากรับฟังประโยคนี้ชุยจิ๋งเหยี่ยนก็พูดไม่ออก ในหัวสับสนและมึนงง
ทางด้านของนักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางและเสวี่ยเย่ต่างก็ปั่นป่วนสับสนเช่นกัน!
แค่เจอกันสั้น ๆ ซูอี้กลับสามารถมองทุกอย่างออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มันเป็นความจริงที่หากท่านยมราชพิพากษาไม่อนุญาต ชุยจิ๋งเหยี่ยนจะไม่มีวันสามารถมาที่ทวีปคังชิงได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดว่าซูอี้รู้เรื่องราวของตระกูลชุยเป็นอย่างดี!
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย!
ซูอี้เพิกเฉยต่อสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของกลุ่มคนตรงหน้า
เขาแหงนมองท้องฟ้า ฝ่ามือลูบพนักแขนของเก้าอี้หวายเบา ๆ แล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า
“บรรพบุรุษของเจ้าใช้เศษชิ้นไม้ของพฤกษาหมื่นวิถีซึ่งเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์และใช้วิชาไขว่นภาคว้าดาวเพื่อสร้างจี้หยกที่เจ้าสวมขึ้นมา สิ่งนี้คือการ ‘ล่อ’ ให้ข้าสังเกตเห็นมันอย่างชัดเจน”
พูดถึงเรื่องนี้ซูอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับว่าเขาตระหนักรู้อะไรบางอย่างส่งผลให้ตกอยู่ในห้วงความคิดลึก
บรรยากาศกลายเป็นอึมครึมและเงียบงัน
ชุยจิ๋งเหยี่ยนจ้องมองที่ซูอี้ด้วยดวงตาที่งดงามของนาง คิ้วของนางเต็มไปด้วยความสับสนอันควบคุมไม่ได้
ชายผู้นี้รู้จัก ‘วิชาไขว่นภาคว้าดาว’ ด้วยหรือ!?
นี่คือเคล็ดวิชาลับของตระกูลชุย มีเพียงบรรพบุรุษเฒ่าของนางเท่านั้นที่ฝึกฝน ไม่มีทางที่คนภายนอกจะรู้จักวิชานี้ได้!
“ล่อให้เห็น… ปรากฏว่าซูอี้เดาความคิดของท่านยมราชพิพากษาได้แล้วหรือ?”
ในขณะเดียวกัน นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางและเสวี่ยเย่ต่างไม่สามารถสงบลงได้
ก่อนหน้านี้หลังจากครุ่นคิดอย่างหนักมาเป็นเวลานาน พวกเขาสรุปได้อย่างชัดเจนว่าเหตุผลที่ตระกูลชุยปล่อยให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนมาที่ทวีปคังชิงในครั้งนี้เป็นไปได้มากที่สุดเพราะยมราชพิพากษาต้องการดึงดูดความสนใจของใครบางคน
ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่า ‘ใครบางคน’ ผู้นั้นคือซูอี้!
ในเวลานี้นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางและเสวี่ยเย่จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าคนที่ยมราชพิพากษากำลังมองหาต้องเป็นซูอี้?
สิ่งนี้ยิ่งย้ำชัดว่าระหว่างซูอี้และยมราชพิพากษามีความสัมพันธ์กันบางอย่าง!
“เจ้า… รู้จักบรรพบุรุษของข้าจริง ๆ หรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดไม่ได้ที่จะถาม
ซูอี้ถามกลับ “ก่อนเจ้าถูกส่งมา เขาได้พูดถึงสิ่งที่เขาต้องการให้เจ้าทำในทวีปคังชิงหรือไม่?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนส่ายหัว
ซูอี้กล่าวต่อ “เช่นนั้นนำจี้หยกมาให้ข้าดู”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังถอดจี้หยกออกจากเอวแล้วยื่นให้
ขณะเดียวกันหญิงสาวยังไม่ลืมจะเอ่ยเตือน “เจ้าอย่าได้เล่นมันมั่วซั่ว ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าขณะนี้หากบุ่มบ่ามทำสิ่งใดแก่มันเจ้าอาจจะได้รับผลสะท้อนกลับร้าย…”
ทว่ายังไม่ทันจะเอ่ยจบ ดวงตางดงามของนางก็เบิกกว้างตะลึงค้าง
ซูอี้เพียงแตะจี้หยกเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว ทันใดนั้นประกายแสงสีม่วงพลันปะทุออกจากจี้หยกก่อนจะค่อย ๆ ควบแน่นเป็นอักขระลึกลับหลายตัวทว่างดงามดึงดูดสายตาของผู้คนทั้งหมดให้ชะงักงัน
ขนาดของอักขระทุกตัวบนจี้หยกนั้นเล็กพอ ๆ กับเมล็ดข้าว มันลึกลับและซับซ้อน บิดเบี้ยวและแปลกประหลาด มันคล้ายดั่งจิตวิญญาณที่ริบหรี่สามารถดับหายได้ทุกเมื่อ
ดวงตาของชุยจิ๋งเหยี่ยนเหม่อมองพลางพึมพำกับตนเอง “เป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดข้าจึงไม่รู้เลยว่าจี้หยกนี้มีความลึกลับซ่อนอยู่ภายใน… ”
นักบวชลำดับเก้ารุ่ยหยางและเสวี่ยเย่ต่างก็นิ่งเงียบ หัวใจของพวกเขาปั่นป่วนไม่รู้จบ
ตั้งแต่เข้ามาในลานนี้มาจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่รู้ว่าตกใจไปกี่ครั้งแล้ว
ขณะนี้เมื่อพวกเขาเห็นจี้หยกที่ถูกสร้างโดยยมราชพิพากษาบังเกิดความเปลี่ยนแปลงในมือของซูอี้ มันกลับทำให้พวกเขาทั้งตะลึงและโง่งม
พวกเขาเค้นสมองจนแทบระเบิด ก็ยังไม่อาจเดาได้แม้แต่น้อยว่าซูอี้มีที่มาอย่างไรถึงได้รู้ว่าวิธีการน่าทึ่งมากมายขนาดนี้!
“เจ้าทำได้อย่างไร?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม หญิงสาวเต็มไปด้วยความตกใจ และรู้สึกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางคล้ายนั้นคล้ายถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาตลอด เขามีความลับที่นางไม่รู้จักมากเกินไป
ทว่าซูอี้หาได้สนใจกับคำถามของนาง
เขาจ้องไปที่อักขระแปลกประหลาดและบิดเบี้ยวบนจี้หยก สีหน้าของเขาดูไม่แน่ใจ
นี่เป็นอักขระเต๋าประเภทหนึ่งซึ่งสร้างโดย ‘วิชาไขว่นภาคว้าดาว’ แม้ว่าอักขระนี้จะถูกพบเห็นโดยจักรพรรดิผู้อื่น แต่มันก็ยากที่จักรพรรดิหน้าไหนจะถอดรหัสความหมายของมันได้
ทว่าซูอี้นั้นเป็นข้อยกเว้นเพราะอักขระอักษรเหล่านี้คือสิ่งที่ยมราชพิพากษาจงใจแสดงให้ซูอี้ได้เห็น!
อักขระข้อความนี้มีความหมายว่า…
‘เฒ่าซู อีกไม่นานจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิมืดมิด ข้าจำเป็นต้องไปที่ส่วนลึกของทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต ทว่าไม่รู้ว่าจะได้กลับมาทั้งยังมีชีวิตหรือไม่’
‘ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวต่อสิ่งใดในสวรรค์หรือโลกหล้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรถ้าเจ้ากลับมาที่ภูมิมืดมิดในภายภาคหน้า จงอย่าได้เปิดเผยตัวตนของเจ้าให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด ภูมิมืดมิดหาใช่เช่นเดิมแล้ว’
‘ชีวิตของข้าไม่มีสิ่งใดต้องห่วงอีกแล้วยกเว้นเรื่องเดียว ข้าหวังว่าเมื่อใดที่เจ้ากลับมา เจ้าอย่าได้ทำให้เย่จื่อน้อยเสียใจอีกก็พอ!’