บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 748 หุบเขาสิ้นวีรชน
ตอนที่ 748: หุบเขาสิ้นวีรชน
ตอนที่ 748: หุบเขาสิ้นวีรชน
ตระกูลเยี่ยแห่งคุนอู๋!
ซูอี้ขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็จำบางสิ่งได้
เยี่ยอวิ๋นหลันผู้ถือได้ว่าเป็นลุงของเขาในชาตินี้จากลำดับอาวุโส ไม่ได้กลับมานับแต่จากไป!
“เข้ามา”
ซูอี้กล่าวให้พวกเหวินซินจ้าวเข้ามาหลบภัย
เหวินซินจ้าว ชิงหว่านและคนอื่น ๆ ต่างจากไปอย่างชาญฉลาด
เหลือเพียงชายชราตาบอดที่อยู่ข้างกายเขา
ไม่นานนัก ประตูสวนถูกผลักเปิด สตรีชุดเทาผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มงดงาม แต่กลับมีร่างองอาจผิดปกติก้าวเข้ามา
ผมยาวของนางถูกรวบเป็นมวย ถือดาบหยกดำปลายมน ดวงตาคู่นั้นงดงาม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางคือเยี่ยจิ่นจือ
“คารวะสหายเต๋าซู”
เยี่ยจิ่นจือก้าวมาเบื้องหน้า ค้อมหัวเล็กน้อยทักทาย มารยาทของนางเป็นเพียงการทำอย่างขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด และสีหน้าก็เจือความเย็นชา
ดูวางตนเหนือกว่าโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา
“ตระกูลเยี่ยของพวกเจ้ามาหาข้าเพื่ออันใด?”
ซูอี้ถาม
เขาไม่เคยชอบการพบปะไร้สาระ
เยี่ยจิ่นจือไพล่มือไว้เบื้องหลัง เหลือบตามองไปรอบ ๆ สวนและกล่าวว่า “สหายเต๋าซูไม่ชวนข้าดื่มชาสักหน่อยหรือ? นี่ไม่ใช่วิธีรับแขกเลย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็หันไปยิ้มให้ซูอี้ “ยิ่งกว่านั้น หากอิงตามลำดับสายเลือด ข้าอยู่ในรุ่นเดียวกับแม่เจ้าเยี่ยอวี่เฟย และเจ้า… ต้องเรียกข้าเป็นป้า”
ชายชราตาบอด “…”
สตรีผู้นี้เกรงว่าคงบ้า ถึงกล้าปฏิบัติกับคุณชายซูอย่างหยิ่งผยอง อ้างความเป็นผู้อาวุโส!
ซูอี้กลอกตาเหลือบแลเยี่ยจิ่นจือ กล่าวรวบรัด “หากยังพูดจาไร้สาระอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
วาจานั้นเรียบง่ายและเฉยเมย
ทว่าท่าทีอหังการซึ่งเผยอยู่ในวาจาทำให้สีหน้าของเยี่ยจิ่นจือเปลี่ยนผัน ใบหน้าปรากฏเงามืดดำ
ทันใดนั้นนางก็ยิ้มอย่างหวานชื่น พลางกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอันแสนเรียบง่าย นั่นคือบอกเจ้าว่าในสามวัน ข้าจะนำเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงไปยังหุบเขาสิ้นวีรชน หากเจ้าไม่ไปล่ะก็ เยี่ยอวิ๋นหลันตายแน่”
ซูอี้ถอนหายใจ ว่าแล้วเชียวว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับลุงของเขา
ในคราแรก เขารบเร้าไม่ให้ผู้เป็นลุงไปสืบข่าวเกี่ยวกับตระกูลเยี่ย ทว่าอีกฝ่ายดูจะรั้นยิ่งโนเวลพีดีเอฟ
ผลคืออีกฝ่ายถูกตระกูลเยี่ยจับเป็นตัวประกัน
ทว่าซูอี้ก็มิได้กังวล
เยี่ยอวิ๋นหลันน่าจะยังไม่ตาย หาไม่ อีกฝ่ายจะใช้สิ่งใดมาข่มขู่เขา?
“ข้าก็คิดอยู่ว่าเยี่ยเซียวผู้นี้จะเก่งกล้าเพียงไร แต่ปรากฏว่าก็แค่หนูตัวหนึ่ง”
ซูอี้หัวเราะหึพลางส่ายหน้า
ชายชราตาบอดอดฉีกยิ้มไม่ได้ “จริงขอรับ การจับตัวประกันมาข่มขู่ก็นับว่าเป็นการแสดงตนว่าด้อยกว่าอีกฝ่ายมากแล้ว คุณชายซูจะเรียกเขาเป็นหนูก็สมควร”
เยี่ยจิ่นจือ “…”
นางคิดว่าหลังจากทราบเรื่องนี้ ซูอี้จะระเบิดโทสะอย่างเสียสติ มันต้องน่าตื่นเต้นมากแน่
…ไม่คาดว่าปฏิกิริยาของซูอี้จะต่างกับสิ่งที่นางคิดโดยสิ้นเชิง!
เขากระทั่งปรามาสเยี่ยเซียวเป็นหนูอย่างไร้มารยาท!
“เจ้า… ไม่สนความเป็นความตายของลุงเจ้าเลยหรือไร?”
เยี่ยจิ่นจือขมวดคิ้ว
ชายชราตาบอดอดกล่าวอย่างดูแคลนไม่ได้ว่า “หากเขาตาย พวกเจ้าจะเอาอันใดมาข่มขู่คุณชายซูล่ะ? นังโง่!”
สีหน้าของเยี่ยจิ่นจือเปลี่ยนเป็นสีขาวเขียวยามถูกปรามาส โทสะในใจพลุ่งพล่าน
ทว่าเมื่อคิดถึงความสามารถในการต่อสู้อันร้ายกาจของซูอี้ ในที่สุดนางก็ยั้งมือและแค่นเสียงอย่างเย็นชา “นายน้อยของข้าเป็นหนูหรืออันใด สุดแล้วแต่เจ้าจะคิด!”
ซูอี้ย่อมไม่ใส่ใจคนเดินสาส์นเช่นนี้ และกล่าวว่า “เยี่ยเซียวมาจากตระกูลสาขา ยามใดกันที่เขากลายเป็นนายน้อยตระกูลเยี่ยของเจ้า?”
เยี่ยจิ่นจือสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ข้าคิดว่าเยี่ยอวิ๋นหลันคงบอกเรื่องในตระกูลเราให้เจ้าฟังบ้างแล้ว ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้เช่นกันว่าตระกูลสายหลักยามนี้แห้งเหี่ยว ยากจะหาผู้ใดมารับผิดชอบเรื่องสำคัญ”
“หลายปีก่อน เหล่าผู้อาวุโสได้ลงมติเลือกเยี่ยเซียวเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติรับตำแหน่งผู้นำตระกูล!”
น้ำเสียงช่วงท้ายของเยี่ยจิ่นจือเผยความภาคภูมิ “ถึงยามนั้น เราชาวตระกูลสาขาย่อมได้เป็นสมาชิกหลักตระกูลเยี่ยในภายหน้า!”
ซูอี้ไม่แปลกใจ
ศึกภายในตระกูลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในแทบทุกขุมอำนาจ
การจะได้พบเห็น ‘ศึกชิงบัลลังก์’ ในตระกูลเยี่ยเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องทั่วไป
“น่าเสียดายที่พวกเจ้ามาล่วงเกินคุณชายซูเข้า คนตระกูลเยี่ยของเจ้าย่อมไม่อาจรอได้ถึงวันนั้น”
ชายชราตาบอดถอนหายใจ ใบหน้าเจือความสงสาร
สีหน้าและน้ำเสียงของเขาทำให้เยี่ยจิ่นจือตะลึงและไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่แล้วก็อดแค่นยิ้มไม่ได้ “เจ้าตาบอด ช่างน่าขันที่ยังกล้าพูดเพ้อเจ้อ!”
ชายชราตาบอดถอนหายใจ สีหน้าของเขายิ่งดูสงสารหนักข้อ “เจ้าดูมีตาทว่าไร้แวว แม่สาวผู้นี้น่าสงสารและน่าสมเพชเสียยิ่งกว่าคนตาบอดเช่นข้า หากข้าเป็นเจ้า คงไม่อาจหัวเราะได้เลย”
เยี่ยจิ่นจือ “…”
นางเมินชายชราตาบอดไปทันที ด้วยกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงไม่อาจกลั้นต่อแรงกระตุ้นและลงมือต่อสู้ด้วยโทสะเป็นแน่
“ซูอี้ ข้าจะพูดอีกครั้ง สามวันจากนี้ หากเจ้าไม่ไปที่หุบเขาสิ้นวีรชน ลุงเจ้าตายแน่ ไปล่ะ!”
เยี่ยจิ่นจือกล่าวเสียงแข็ง และเมื่อพูดจบ นางก็กำลังจะจากไป
“ช้าก่อน”
ซูอี้กล่าว
เยี่ยจิ่นจือขมวดคิ้วพูด “กระไรเล่า อยากทำอันใดอีก? ข้าไม่กลัวจะบอกเจ้าหรอกนะ ต่อให้เจ้าจับข้าเป็นตัวประกัน มันก็ไม่อาจเปลี่ยนชีวิตลุงเจ้าได้!”
ซูอี้หัวเราะกล่าว “หากข้าอยากฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้าทันที มันช่างง่ายนัก รอเดี๋ยว ข้าจะไปหุบเขาสิ้นวีรชนกับเจ้าในทันที”
เยี่ยจิ่นจืออึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด นางไม่คาดว่าซูอี้จะกระทำการอย่างเฉียบขาดเพียงนี้
“ซินจ้าว”
ซูอี้เรียกเหวินซินจ้าวมาตรงหน้าเขา “จำคำข้าไว้ เมื่อได้แผนที่จากเวิงจิ่ว ให้เจ้าไปพบข้าที่หุบเขาสิ้นวีรชนทันที”
เหวินซินจ้าวพยักหน้ารับ “ได้!”
ซูอี้หยุดพูดพล่าม เขามองเยี่ยจิ่นจือและกล่าวว่า “ไปกันเถิด”
จากนั้น เขาก็ก้าวออกไปจากสวน
เขาเดินจากไปอย่างรวดเร็วและมั่นคงเยี่ยงนั้น
นี่ทำให้เยี่ยจิ่นจืองุนงงในชีวิตเล็กน้อย คนผู้นี้… เหตุใดจึงไร้ความกลัวนัก?
เขาคิดหรือว่าการเดินทางไปยังหุบเขาสิ้นวีรชนครานี้คือการท่องเที่ยวป่าเขา?
ชายชราตาบอดถอนใจ “เฮ้อ ช่างน่าเสียดายที่ตาเฒ่าผู้นี้มีเรื่องสำคัญต้องทำ หาไม่ ข้าล่ะอยากไปหุบเขาสิ้นวีรชนกับคุณชายซูเพื่อดูว่าเจ้าหนูเยี่ยเซียวนั่นจะตายเยี่ยงไรจริงแท้”
เยี่ยจิ่นจือโกรธเสียจนเกือบพ่นควันจากองคาพยพบนใบหน้า นางอยากยกมือขึ้นสับชายชราตาบอดผู้นี้ให้ตายนัก
ทว่าสุดท้ายนางก็ยั้งมือ หันหลังกลับและก้าวตามซูอี้ไป
…
ใต้รัตติกาล ดวงจันทราส่องสว่างเดียวดาย
ซูอี้ยืนเหยียบบนดาบนิลกาลบริสุทธิ์ ทะยานล่องเมฆาบนนภาราตรี อาภรณ์สีเขียวของเขาสะบัดไหว แขนเสื้อลู่ตามลมดุจเทพเซียนจุติโลกา กิริยาท่าทางเจิดจรัสยิ่ง
ความเร็วในการเหินไม่ได้รวดเร็ว ดุจดั่งว่ายน้ำในขุนเขาลำธาร นาน ๆ ครั้ง ซูอี้ก็จะยกน้ำเต้าสุราขึ้นดื่ม ผ่อนคลายสบายใจอย่างยิ่ง
เยี่ยจิ่นจือตามติดเบื้องหลัง มองภาพนี้ด้วยสายตาครุ่นคิดซับซ้อน
ชายผู้นี้ไม่กังวลเลยจริง ๆ หรือ?
“เยี่ยอวิ๋นหลันเคยบอกเจ้าเกี่ยวกับนายน้อยตระกูลเราหรือไม่?”
เยี่ยจิ่นจืออดถามไม่ได้
“เคย”
ซูอี้ตอบกลับห้วน ๆ
เยี่ยจิ่นจือว่า “งั้นเจ้าก็น่าจะเข้าใจดีว่านายน้อยของข้าต่างจากตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณที่เจ้าฆ่าไปเมื่อวานนี้อย่างไม่อาจเทียบ หากต้องการช่วยชีวิตลุงเจ้าจริง ๆ ข้าแนะให้เจ้าไปยังหุบเขาสิ้นวีรชนและมอบเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมาก่อน”
“แม้นายน้อยตระกูลเราจะพิสูจน์วิถีจากการฆ่า แต่เขาเมตตาต่อคนของเขาเองมาก เจ้ามีสายเลือดของเยี่ยอวี่เฟย ขอเพียงเจ้าก้มหัวศิโรราบ นายน้อยจะไม่ทำให้เจ้าอับอายเป็นแน่”
นางพูดพล่ามยืดยาว ทว่ากลับพบว่าซูอี้ดูจะทำหูทวนลม ไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย จึงอดขมวดคิ้วกล่าวไม่ได้ “ซูอี้ เจ้าได้ยินชัดเจนหรือไม่?”
มีเค้าลางโทสะในน้ำเสียงของนาง
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “อย่าพูดมาก ในสายตาเจ้า เยี่ยเซียวแข็งแกร่งล้ำเลิศจนปิดตาเดินได้ทั่วโลกหล้า ทว่าในสายตาข้า เขาก็แค่คนใกล้ตาย วิสัยทัศน์ของเราต่างกัน พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
เยี่ยจิ่นจือเกือบหัวเราะอย่างกรุ่นโกรธ นัยน์ตาทั้งคู่เปลี่ยนเป็นเย็นชา กล่าวว่า “โบราณว่าทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป ซูอี้… เจ้าไปตามทางของเจ้าแล้วกัน!”
นางคร้านเกินกว่าจะกล่าวสิ่งอื่นใดมากกว่านี้
ทว่าซูอี้กลับขมวดคิ้วพูดว่า “ในฐานะผู้ส่งสาส์น ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องนำทางหรือ? ข้าไม่รู้หรอกนะว่าหุบเขาสิ้นวีรชนอยู่หนใด หากเจ้าทำเรื่องชักช้ายืดยาด จะรับบทลงทัณฑ์ไหวหรือ?”
เยี่ยจิ่นจือ “…”
นางกล้ำกลืนโทสะในใจ และทะยานนำทางให้ซูอี้
“หลังไปถึงหุบเขาสิ้นวีรชน ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าเจ้าเด็กบ้านี่จะตายเยี่ยงไร!”
เยี่ยจิ่นจือลอบกัดฟัน
ซูอี้จะสนใจสิ่งที่นางคิดด้วยหรือไร
เขายืนบนดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ มองลงไปยังทิวทัศน์ระหว่างทางด้วยแสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องทาง นับว่าผ่อนคลายทีเดียว
ว่าไป นับแต่คราก่อนที่เขากลับมายังนครหลวงจิ๋วติ่ง เขาก็ไม่ได้ออกเดินทางไกลมานานแล้ว
ยามนี้เมื่อทะยานเหนือนภาราตรี สิ่งที่เขาเห็นตลอดทางคือการฟื้นฟูปราณวิญญาณทั่วหล้าฟ้าดิน แต่ความรู้สึกในใจของเขาก็ต่างออกไป
“น่าเสียดายที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างไม่น่าดึงดูดสำหรับข้าแล้ว หลังจากสะสางบุญคุณความแค้นในมหาทวีปคังชิงเสร็จ ข้าจะไปยังภูมิมืดมิด”
ซูอี้ลอบคิด
เขาจะลืมความขุ่นข้องคับแค้นจากอดีตชาติได้เช่นไร?
เขาจะลืมสมบัติที่ตนทิ้งไว้ในภูมิมืดมิดก่อนเวียนวัฏสงสารมาฝึกฝนใหม่ได้เช่นไร?
ยามนี้ การฝึกฝนของเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตสยายวิญญาณแล้ว เหลือเพียงหนึ่งขอบเขตใหญ่คือวงล้อวิญญาณก่อนที่จะค้นหาโอกาสพิสูจน์วิถี เข้าสู่วิถีจักรพรรดิ
และโอกาสเช่นนั้นย่อมไม่ปรากฏในมหาทวีปคังชิง
กล่าวอีกนัยก็คือ แม้ว่ามหาทวีปคังชิงจะก่อให้เกิดแสงสว่างแห่งโลกกว้างอันไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ที่มาแห่งโลกก็พังทลายลงแล้ว มันจะเบ่งบานและเสื่อมถอยในภายหน้าแน่นอน
อย่างมากที่สุด ผู้คนจะสามารถเสริมรากฐานและพลังให้เข้าสู่วิถีจักรพรรดิในแสงสว่างแห่งโลกกว้างได้ ทว่ากลับไร้หวังในการก้าวสู่เส้นทางแห่งจักรพรรดิโดยแท้จริง
นี่ยังเป็นเหตุผลด้วยว่าเหตุใดโลกหล้าทุกวันนี้จึงถือตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณเป็นราชา ผงาดเชิดคอสูงสุดในโลกหล้า!
หากไม่มีตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ ก็ต้องนับถือผู้อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
รัตติกาลจางหายทีละน้อย ตะวันเริ่มฉายวันใหม่
ภายใต้การนำทางของเยี่ยจิ่นจือ ซูอี้ก็ได้เห็นหุบเขาสิ้นวีรชนจากไกล ๆ