บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 749 ไม่น่ามอง
ตอนที่ 749: ไม่น่ามอง
ตอนที่ 749: ไม่น่ามอง
หุบเขาสิ้นวีรชนตั้งอยู่ในแคว้นเสวี่ย หนึ่งในสิบสามแคว้นแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย
แต่เดิม หุบเขาแห่งนี้ธรรมดามาก มันโด่งดังขึ้นมาเนื่องจากต้นท้อที่ยืนต้นเต็มไปหมด
เมื่อวสันตฤดูมาเยือน ดอกท้อบนหุบเขาเบ่งบานเต็มที่ กลีบบุปผาปลิดปลิวตระการสีสัน งดงามน่ามองอย่างยิ่ง
ด้วยการมาของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง มันในยามนี้จึงกลายมาเป็นหุบเขาอันโด่งดัง และพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในโลกา
กระทั่งต้นท้อบนเขายังมีการเปลี่ยนแปลง มันเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณอันเกินกล่าวขาน ผลที่ก่อเกิดเรียกได้ว่าเป็นสมบัติวิญญาณอันบรรจุปราณวิญญาณหนาแน่น
เมื่อแสงแรกอรุณสาดส่องสู่หล้า หุบเขาสิ้นวีรชนก็อาบไล้ด้วยแสงสว่างไสว ดอกท้ออันเบ่งบานเต็มกิ่งดูราวเปลวเพลิง
กลางหุบเขา ข้างลำธารแห่งหนึ่ง
เยี่ยเซียวในชุดเสื้อผ้าเรียบ ๆ นั่งอยู่บนโขดหินปูนใต้ต้นท้อ ใช้มือข้างหนึ่งเท้าแก้ม ในขณะที่อีกมือถือม้วนกระดาษ ใบหน้าบรรจงสรรค์สร้างของเขาจดจ่อนิ่งงัน
ไม่ห่างไปนัก กระแสลำธารรินไหล ขนนกหลากสีพร่างพรายจากบนอากาศ ฝูงสกุณาขับขานใต้นภา
สายลมวสันต์อันอบอุ่นพัดพาท่ามกลางแสงอรุณ ทัศนียภาพช่างเหมือนภาพวาด
สตรีในอาภรณ์ขนนกผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างไปนัก นางมองเยี่ยเซียวเป็นครั้งคราวด้วยสีหน้าชื่นชมยำเกรงโดยไม่อาจปิดบัง
ในภูมิคังเสวียน เยี่ยเซียวคือคนคลั่งสังหารผู้ทำให้สรรพชีวิตทั่วโลกหวาดกลัว และผู้นำคนรุ่นเยาว์ในตระกูลเยี่ย
และยังเป็นตัวตนในวิถีวิญญาณอันแทบไร้เทียมทานอีกด้วย!
ตำนานของเขาถูกสลักในประวัติศาสตร์ภูมิคังเสวียนมานานนมจากการสังหารผู้คนนับไม่ถ้วน
กระทั่งผู้ที่เกลียดเขาเข้ากระดูกยังต้องยอมรับว่าในหมู่ผู้อยู่ในวิถีวิญญาณ ณ ภูมิคังเสวียน เยี่ยเซียวควรได้รับเกียรติ!
ในสายตาสตรีในอาภรณ์ขนนก เมื่อเทียบกับเกียรติภูมิของเยี่ยเซียวแล้ว คนที่เพิ่งเรืองอำนาจเหนือมหาทวีปคังชิงแค่ปีสองปีอย่างซูอี้ถือได้แค่เป็นเรื่องเล็กน้อย
ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นก็ปรากฏขึ้นที่ตีนเขา
สตรีในอาภรณ์ขนนกขมวดคิ้วเล็กน้อย เผยความไม่พอใจ
พวกนั้นไม่รู้หรือไรว่านายน้อยกำลังอ่านหนังสือ!?
เรื่องอันใดอีกเล่า!
“ซูอี้มาแล้ว”
เยี่ยเซียวโพล่งกล่าวขึ้นมา
ดวงตาจับจ้องม้วนกระดาษ ศีรษะส่ายเล็กน้อย “ข้าคิดว่าเขาจะมาถึงในสามวัน แต่ดูเหมือนเขาจะใจร้อนเอาเรื่อง”
สตรีในอาภรณ์ขนนกกล่าวด้วยแววตาวูบไหว “นายน้อย ท่านต้องเตรียมการใด ๆ หรือไม่?”
เยี่ยเซียวตอบ “เจ้าแค่ดูก็พอ”
กล่าวถึงตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เบนสายตาจากม้วนกระดาษ จ้องมองท้องนภาแสนไกลด้วยแววตาว่างเปล่า และกล่าวกับตนเองว่า “ในหมู่ตัวตนในวิถีวิญญาณ ณ ภูมิคังเสวียน ข้าช่างหาคู่มือได้ยากยิ่ง และยามนี้ ในที่สุดข้าก็ได้พานพบผู้แข็งแกร่ง ข้าย่อมต้องถนอมไว้เป็นธรรมดา”
ว่าแล้วเขาก็แย้มยิ้ม คว้ากลีบดอกท้อที่ล่องลอยในอากาศมาถือไว้ตรงหน้า “บนที่สูงช่างเหน็บหนาว คำโบราณว่าไม่ได้ลวงหลอกข้าจริง ๆ”
สตรีในอาภรณ์ขนนกอดรู้สึกถึงอารมณ์อันหลากหลายไม่ได้
นางไม่เข้าใจสภาพจิตใจเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกได้ชัดเจนว่านายน้อยของนางดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดยามรับรู้ถึงการมาของซูอี้
นี่คงเป็นความรู้สึกจากการได้พบคู่มือที่แข็งแกร่งกระมัง?
“นายน้อย ซูอี้อยู่นี่แล้วขอรับ”
ไกลออกไปบนเส้นทางขึ้นภูเขา ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยกลุ่มหนึ่งปรากฏกาย เมื่อพวกเขาเข้าสู่บริเวณใกล้เคียง พวกเขาก็ก้มหัวลง การเคลื่อนไหวระมัดระวังมากขึ้น
ราวหวั่นเกรงจะไปทำให้เยี่ยเซียวขุ่นเคือง
“ขุนเขาอันเต็มไปด้วยดอกท้อทนรับการทำลายล้างปานนั้นไม่ได้หรอก ดังนั้น ให้เขาไปพบข้าที่ ‘ที่ราบจันทร์เพ็ญ’ บนยอดเขาแล้วกัน”
เยี่ยเซียวลุกจากโขดหินปูน ปัดฝุ่นจากอาภรณ์ ด้วยการขยับเคลื่อนเพียงหนึ่งก้าว กลีบดอกท้อก็หายวับไปราวไม่เคยมี
…
บนยอดเขา
หมู่เมฆาเคลื่อนคล้อยบนนภาคราม ที่ราบว่างเปล่าไร้ผู้คน
บนที่ราบจันทร์เพ็ญมีแท่นหยกสูงเก้าจั้งอยู่แท่นหนึ่ง
ในช่วงเวลานี้ ยามใดก็ตามที่เข้าสู่รัตติกาล เยี่ยเซียวมักชอบมาร่ำสุราชมจันทร์เดียวดายบนแท่นหยกนี้
ขณะนี้ แสงอรุณกำลังเฉิดฉายบนฟากฟ้า ขุนเขาสายลมสงบเงียบ และเยี่ยเซียวก็กลับมานั่งบนแท่นหยกสูงอีกครั้ง
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยคนอื่น ๆ กระจัดกระจายไปในบริเวณรอบ ๆ ที่ราบจันทร์เพ็ญ
มีทั้งชายหญิงมากกว่าสิบคน
เมื่อซูอี้มาถึงที่ราบจันทร์เพ็ญภายใต้การนำทางของเยี่ยจิ่นจือ นี่ก็คือภาพที่เขาเห็น
ควับ!
ยามนี้ ทุกสายตาหันมามองซูอี้ด้วยสีหน้าอันหลากหลาย
“คิ้วของเด็กนี่ดูคล้ายเยี่ยอวี่เฟยจริง ๆ ด้วย”
บางผู้กระซิบ
“เฮอะ ถ้าไม่ใช่เพราะสายเลือดตระกูลเยี่ยที่ไหลเวียนในกาย เจ้าเด็กนี่จะบรรลุความสำเร็จในมหาวิถีเช่นทุกวันนี้หรือ?”
บางผู้กล่าวอย่างเย็นชา
ทันทีที่วาจานี้ถูกเอ่ย มันก็สะท้อนในฝูงชนมากมายหลายครั้ง
ในเส้นทางการฝึกตน ความสามารถนั้นสำคัญอย่างยิ่ง
เมื่อเช่นมารดาของซูอี้ เยี่ยอวี่เฟยผู้โดดเด่นในหมู่ชนรุ่นเยาว์แห่งตระกูลเยี่ยเมื่อกาลก่อน นางเจิดจรัสเฉิดฉายอย่างยิ่ง เข้าสู่วิถีวิญญาณได้ตั้งแต่อายุสิบหก
ในสายตายอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยเหล่านี้ เหตุผลที่ซูอี้สามารถบรรลุความสำเร็จได้เช่นทุกวันนี้มาจากพลังสายเลือดของตระกูลเยี่ยในกายเขา!
ซูอี้แค่นเสียงดูแคลนความเห็นเหล่านี้
เขาเองก็รู้ดีว่ายิ่งเป็นตระกูลผู้ฝึกตนระดับสูงเพียงไร พวกเขายิ่งถือเรื่องเกี่ยวกับสายเลือดและต้นกำเนิดมากเท่านั้น
ทว่า เหตุที่คนจากตระกูลเยี่ยเหล่านี้แย่ยิ่งก็เป็นเพราะพวกเขากำลังเอาแต่ดีเข้าตัว เห็นแก่ตัวและไร้ยางอาย
“พวกเจ้าผิดแล้ว แม้ว่าความสามารถจะสำคัญในเส้นทางแห่งการฝึกฝน แต่หากไร้ปัญญา ความกล้าเด็ดเดี่ยว และความอดทน ทุกสิ่งก็ไร้ผล”
เยี่ยเซียวกล่าวยิ้ม ๆ บนแท่นหยกเก้าจั้ง
เขากล่าวพลางมองซูอี้ผู้กำลังเดินขึ้นมาบนที่ราบจันทร์เพ็ญ “ซูอี้ หาที่นั่งเถอะ”
เสียงของเขาอ่อนโยน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
ซูอี้เหลือบมองที่ราบจันทร์เพ็ญ และในที่สุดก็มองไปยังจุดหนึ่ง
มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งเดียวดาย และห่างจากโต๊ะตัวนั้นก็คือแท่นสูงเก้าจั้งซึ่งเยี่ยเซียวพำนัก
บนโต๊ะมีไหและจอกสุรา พร้อมกับแกล้ม
หากนั่งลงที่หน้าโต๊ะ เขาจะทำได้เพียงแหงนหน้ามองเยี่ยเซียวผู้ซึ่งนั่งอยู่บนแท่นหยกสูงเก้าจั้ง
ในขณะเดียวกัน เยี่ยเซียวก็จะมองลงมาจากเบื้องบน
การจัดที่นั่งเช่นนี้กล่าวได้ว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แฝงความดูถูกเหยียดหยามไว้อย่างไม่อาจมองเห็น
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่มีฟูกและที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ!
“ซูอี้ นายน้อยของข้าเชิญให้เจ้านั่ง ไฉนจึงยังไม่นั่ง?”
ไม่ห่างไปนัก ชายร่างผอมในชุดดำขมวดคิ้วกล่าวขึ้น
สตรีผู้หนึ่งในชุดหลากสีกล่าว “โอ้ ข้าผิดเอง ข้าลืมเอาเบาะมาวาง”
นางกล่าวจบก็มองซูอี้ด้วยคู่เนตรงาม และกล่าวขออภัย “สหายซู เจ้า… คุกเข่าที่หน้าโต๊ะได้หรือไม่?”
คุกเข่า!
ได้ยินเช่นนี้ ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยทั้งหลายก็อดหัวเราะไม่ได้
สีหน้าของซูอี้เฉยเมยเช่นกาลก่อน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ในฐานะผู้ฝึกตนจากตระกูลเยี่ย ช่างน่าผิดหวังนักที่เล่นลูกไม้ชั้นต่ำเยี่ยงนี้”
เมื่อเยี่ยเซียวได้ยิน แววตาของเขาก็วูบไหว กล่าวขึ้นทันทีด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าซูพูดถูก การกระทำเยี่ยงนี้รังแต่จะทำให้ชื่อเสียงตระกูลเยี่ยมัวหมอง”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ใบหน้างดงามของสตรีในอาภรณ์หลากสีก็ซีดขาว นางกล่าวเสียงสั่น “นายน้อย ข้าก็แค่อยากทำลายเกียรติภูมิของซูอี้ ไม่คาดว่าจะทำให้ท่านโกรธ ข้าไม่กล้าทำอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
ผู้ฟังเงียบสงัด
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยเหล่านั้นต่างเงียบกริบ
เยี่ยเซียวกล่าวเสียงอ่อนโยนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ใช่ว่าข้าโกรธ แต่การกระทำของเจ้าทำให้ตระกูลเราเสียหน้า ดังนั้นจึงต้องถูกลงโทษ”
เสียงยังคงไม่จางหาย ทว่าเขาก็ยกมือขึ้นโบกในอากาศ
ฉับ!
อสนีบาตสีดำฟาดเข้าใส่สตรีในอาภรณ์หลากสีดุจแส้ยาว ทำให้แผ่นหลังของนางฉีก โลหิตสาดกระเซ็น ร่างกลิ้งกระดอนบนพื้น
ทว่านางไม่กล้าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด แต่กลับคลานเข่าเข้ามากล่าวเสียงสั่น “นายน้อยกล่าวถูกแล้ว! ข้ายินดีรับโทษเจ้าค่ะ!”
เยี่ยเซียวโบกมือ “ไปสิ อย่าทำสิ่งใดอวดฉลาดเยี่ยงนี้อีก”
“เจ้าค่ะ!” สตรีในอาภรณ์หลากสีลุกขึ้นและหลีกไปไกลอย่างรวดเร็ว
เยี่ยเซียวมองซูอี้ยิ้ม ๆ กล่าวว่า “กระทำการขายหน้าต่อสหายเต๋าเสียแล้ว มาเตรียมที่นั่งให้สหายเต๋าสิ”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้มาเป็นแขกในวันนี้”
กล่าวจบ เขาก็กวาดตามองเหล่าผู้คนและกล่าวว่า “เยี่ยอวิ๋นหลันอยู่หนใด?”
เยี่ยเซียวดื่มสุราหนึ่งจอกด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยสั่งสตรีในอาภรณ์ขนนกซึ่งอยู่ไม่ไกล “พาเขามานี่”
สตรีในอาภรณ์ขนนกจากไป
เยี่ยเซียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าห่วงเลย ข้าไม่ใส่ใจจะใช้ชีวิตคนตระกูลมาข่มขู่เจ้าหรอก เหตุที่ข้าอยากให้เจ้ามายังหุบเขาสิ้นวีรชนหนนี้มีเพียงหนึ่ง”
“เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง?”
ซูอี้กล่าว
เยี่ยเซียวส่ายหน้า “เปล่า มหาสมบัติแห่งโลกาอันหาได้ยากยิ่งนี้ ในสายตาข้าก็เป็นเพียงน้ำจิ้มสำหรับวันนี้”
กล่าวจบ เขาก็ยิ้มน้อยๆ สีหน้าอบอุ่นดุจสายลมวสันตฤดู “กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ทั่วมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ เจ้าคือผู้เดียวที่สามารถอยู่ในสายตาข้าได้ ซูอี้ ดังนั้น สิ่งเดียวที่ข้าต้องการทำที่สุดในวันนี้คือฆ่าเจ้าซะ”
เขากล่าวเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม ทว่าสิ่งที่พูดกลับชวนให้หนาวเยือก
เสียงสะท้อนไปในที่ราบจันทร์เพ็ญ ทำให้นภายามวสันต์ซึ่งแต่เดิมอ่อนโยนพลันเปลี่ยนเป็นหนาวเยือก บรรยากาศหดหู่เย็นชา
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยในละแวกต่างรู้สึกหนาวเหน็บ
ทว่าซูอี้กลับกล่าวอย่างเฉยเมย “น่าเสียดาย”
“น่าเสียดายอันใด?”
เยี่ยเซียวถามอย่างสนใจนัก
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เท่าที่ข้ารู้ คนเช่นเจ้าไม่ได้อยู่ในสายตาข้าแม้แต่น้อย”
ทันทีที่วาจาถูกเปล่งออกมา เหล่าผู้ฟังก็ส่งเสียงฮือฮา ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยต่างตะลึงอึ้ง ราวกับไม่อยากเชื่อหูตน
ในความเห็นของพวกเขา สิ่งที่เยี่ยเซียวกล่าวคือการยอมรับและคำชมอย่างสูงต่อซูอี้
ทว่า ใครเล่าจะคาดว่าซูอี้กลับบอกว่าเยี่ยเซียวไม่น่ามอง!
ใครเล่าจะไม่ตะลึงกับสิ่งนี้?
“สามหาว!”
บางคนแค่นเสียงเย็นชาอย่างอดไม่ได้
“เป็นแค่คนใกล้ตาย กลับกล้าเห่าเสียงดัง รนหาที่ตายโดยแท้!”
ใครบางคนตวาดลั่น
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยเหล่านี้ถูกกระตุ้นโทสะอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยเซียวเองก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาทันที
“นี่คือครั้งแรกที่ข้าถูกผู้อื่นปฏิบัติด้วยอย่างดูแคลนนับแต่เริ่มฝึกฝน ฮ่า ๆ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริง ๆ!”
เขายกไหสุราขึ้นกระดกดื่ม กิริยาท่าทางอ่อนโยนแต่เดิมกลับกลายเป็นโผงผางขวางโลก
โดยเฉพาะลึก ๆ ในแววตาทั้งคู่ จิตฆ่าฟันกระหายเลือดพลุ่งพล่านบางเบา ปราณรอบกายน่าประหวั่นใจ
“ไปกันเถิด ไปสู้กันเหนือทะเลเมฆา! หากเจ้าชนะ เจ้าก็พาเยี่ยอวิ๋นหลันไปได้ แต่หากแพ้ ก็ทิ้งชีวิตเจ้าไว้!”
วาจายังคงกังวานก้อง ทว่าเยี่ยเซียวยืนขึ้นและก้าวสู่เมฆาแล้ว
ทะเลเมฆาเคลื่อนคล้อย ร่างของเขาผอมบาง เส้นผมยาวพลิ้วไหว ทั่วร่างปรากฏจิตวิญญาณมหาวิถีสีดำพลุ่งพล่านชวนลืมหายใจ แปรเปลี่ยนสะเทือนสั่นบรรยากาศทั่วหล้าฟ้าดิน
หากมองจากไกล ๆ เยี่ยเซียวดูราวเป็นเทพเจ้าผู้ปกครองโลกหล้า!
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยเหล่านั้นต่างเลือดเดือดพล่าน สีหน้าของพวกเขาแสดงความชื่นชมตั้งตารอ
——————————–