บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 75 ไม่พบสามวัน กลายเป็นคำเชยชม
ตอนที่ 75 ไม่พบสามวัน กลายเป็นคำเชยชม
หลังจากเหวินเจวี๋ยหยวนพูดจบ เขาอดที่จะรู้สึกวิตกกังวลไม่ได้
บรรยากาศในห้องส่วนตัวเงียบสงัดยิ่งเช่นกัน ทุกคนไม่เชื่อว่าเหวินเจวี๋ยหยวนจะรีบมาเพียงเพื่อพาซูอี้กลับบ้าน
ถ้าเป็นเช่นนี้ แค่ส่งคนใช้มาแจ้งก็พอแล้ว ทำไมถึงต้องพยายามมากขนาดนี้?
“ผู้นำตระกูลของเจ้าเรียกนายน้อยซูไปด้วยเหตุใดกัน?”
หยวนลั่วซีสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดจนอดที่จะถามไม่ได้
“เรื่องนี้…” เหวินเจวี๋ยหยวนพูดไม่ออก
ซูอี้กล่าวอย่างสงบว่า “อืม เจ้าจงกลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจะตามกลับไปทีหลัง”
เหวินเจวี๋ยหยวนหันสายตามามองหยวนลั่วซี
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนว่าซูอี้จะพูดอะไร แต่สนสิ่งที่หยวนลั่วซีพูดมากกว่า!
ฟู่ซานและหวงอวิ๋นชงล้วนลอบส่ายหน้า
สายตาของเหวินเจวี๋ยหยวนตื้นเขินจริง ๆ เขามองไม่เห็นหรืออย่างไรว่าขณะนี้ซูอี้นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ และนั่นมันหมายความว่าเช่นไร?
หยวนลั่วซีครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ครั้งตอนอยู่ที่ภูเขามารดาภูตผี คุณชายซูและเหล่ากัวช่วยข้าเอาไว้มาก งานเลี้ยงนี้ถูกเตรียมขึ้นเพื่อคุณชายซูและเหล่ากัวโดยเฉพาะ หากตระกูลเหวินของเจ้าต้องการคำอธิบายเพิ่ม ก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ!”
นางโบกมือ “ไปซะ!”
เหวินเจวี๋ยหยวนรีบออกไปราวกับได้รับการอภัยโทษ
อย่างไรก็ตาม ด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้ ซูอี้จึงไม่มีกะจิตกะใจจะกินต่ออีก ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวลาหลังจากผ่านไปสักพัก
หยวนลั่วซี ฟู่ซาน หวงอวิ๋นชงและคนอื่นต่างรีบลุกขึ้นเพื่อไปส่งเขา
จางเยวี่ยนซิงเป็นคนเดียวที่รู้สึกไม่ยินดีอยู่ในใจ อีกฝ่ายอยากจะไปก็ไปสิ เหตุใดต้องให้ทุกคนออกไปส่งที่นอกภัตตาคารรวมเซียนด้วย?
เมื่อเห็นว่าทุกคนเดินออกจากห้องหรูหรา จางเยวี่ยนซิงลอบถอนหายใจก่อนลุกขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องรักษาท่าทางเอาไว้บ้าง
นอกภัตตาคารรวมเซียน
“นายน้อยซู พวกเราจะจากไปวันนี้ หากท่านไปเยือนมหานครอวิ๋นเหอในอนาคต โปรดให้โอกาสตระกูลหยวนเราได้สร้างความบันเทิงด้วย”
หยวนลั่วซีกล่าวอย่างจริงจัง
“ถูกต้องแล้ว ในมหานครอวิ๋นเหอ ตระกูลหยวนของเรานับว่ามีอิทธิพลอยู่บ้าง หากนายน้อยซูต้องการ พวกเราสามารถอำนวยความสะดวกให้ได้ไม่มากก็น้อย”
เฉิงอู้หย่งประสานมือคารวะด้วยความยำเกรง
“ให้โชคชะตานำพาก็แล้วกัน”
ซูอี้โบกมือ ถือดาบสุดแดนดินซึ่งอยู่ในฝักไม้ไผ่เดินไกลออกไป
จนกระทั่งร่างของเขาหายไปแล้ว หยวนลั่วซีจึงถอนสายตากลับก่อนถามว่า “อาหย่ง พวกเราเองก็ควรเตรียมตัวออกเดินทาง”
“ทราบแล้ว” เฉิงอู้หย่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
จางเยวี่ยนซิงรีบกล่าวว่า “ลั่วซี ข้าบังเอิญจะกลับมหานครอวิ๋นเหอวันนี้เช่นกัน พวกเราสามารถเป็นสหายเดินทางกลับร่วมกันได้”
“ไม่ต้องการ”
เมื่อไม่มีซูอี้ หยวนลั่วซีพลันกลับมาแสดงท่าทางอวดดีหยิ่งทะนงก่อนหันหลังแล้วจากไป
จางเยวี่ยนซิงเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาจึงเร่งรีบก้าวเดินคิดจะตามรั้งนางต่อ แต่หยวนลั่วซีพลันหันกลับมาเล็งเตะเข้าที่เป้าเขาอย่างฉับพลัน
โชคดีที่เขาไหวตัวทันจึงหลบเลี่ยงได้อย่างฉิวเฉียด
เหงื่อเย็นหลั่งออกมาจากหน้าผาก
ถ้าลูกเตะนี้เข้าเป้า ‘กล่องดวงใจ’ คงถึงจุดจบเป็นแน่!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอดทนกับเจ้ามากเพียงใดในงานเลี้ยงเมื่อครู่? จงเลิกติดตามข้าบัดเดี๋ยวนี้!”
หยวนลั่วซีพ่นลมออกจมูกเย็นชาก่อนเดินจากไป
สีหน้าของจางเยวี่ยนซิงแปรเปลี่ยน ทั้งละอายและโกรธเกรี้ยว
ไม่ไกลกันนั้น ฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่และคนอื่นเห็นฉากนี้เข้า ใบหน้าพวกเขาก็แปลกประหลาดขึ้นมา แต่ไม่มีใครกล้าหัวเราะด้วยเกรงว่าจะทำให้จางเยวี่ยนซิงจะโกรธายิ่งกว่าเดิม
อาสงก้าวมาข้างหน้าก่อนถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “นายน้อย ในที่สุดท่านก็รู้แล้วว่าตอนนี้หยวนลั่วซีหัวรั้นเพียงใดใช่หรือไม่? ในความเห็นของข้า ท่านเลิกติดต่อกับนางจะดีกว่า หากผู้หญิงคนนี้ลงมือเอาจริงขึ้นมา ท่านไม่มีทางรับมือได้แน่”
“ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมท่าทีของนางถึงเปลี่ยนไปไวเพียงนี้ นางไม่เหมือนกับตอนอยู่ในงานเลี้ยงเมื่อครู่เลย”
จางเอวี่ยนซิงกล่าวอย่างหดหู่
“เพราะซูอี้ไปแล้ว นางจึงไม่ปกปิดอีกต่อไปอย่างไรเล่านายน้อย”
อาสงอายุไม่น้อย เขาย่อมเคยเห็นอะไรมามากมาย ถึงแม้จะไม่สามารถคาดเดาความจริงได้สมบูรณ์ แต่ก็พูดถูกไม่ต่ำกว่าเจ็ดส่วน
“เพราะซูอี้หรือ?”
ใบหน้าของจางเยวี่ยนซิงหมองหม่นขึ้นมา เขานึกถึงทุกสิ่งตั้งแต่ได้พบหยวนลั่วซีนอกเมืองจนกระทั่งไปทานอาหารที่ภัตตาคารรวมเซียนอย่างระมัดระวัง
ดังคาด สีหน้าของหยวนลั่วซีแตกต่างไปมากทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับซูอี้ มีร่องรอยความนับถือและความเคารพ แม้กระทั่งท่วงท่าของนางก็สงบเสงี่ยมเจียมตัว
อีกด้าน ยามหยวนลั่วซีปฏิบัติกับเขา นางกลับเถรตรงและเต็มไปด้วยความหยาบกระด้าง…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางเยวี่ยนซิงก็กำหมัดเงียบ ๆ ความอิจฉาและความโกรธที่ไม่อาจควบคุมได้ก่อตัวขึ้นในใจ
ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เขาตัดสินใจว่า “อาสง คืนนี้ ข้าจะขอให้ซูอี้ออกมาพบ ข้าอยากถามเขาเพื่อให้เข้าใจ!”
อาสงเงียบสักพัก จากนั้นจึงพยักหน้า
เขาเองก็มีความสงสัยอยู่ในใจมากมายเช่นกัน แน่นอนว่าเขาอยากรู้ความจริงจากซูอี้
ยกตัวอย่างเช่น เกิดอะไรขึ้นที่ภูเขามารดาภูตผีจนทำให้หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งให้ความเคารพซูอี้?
…
ระหว่างทางกลับจวนตระกูลเหวิน
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวังริบหรี่ในใจ
หลิงเสวี่ยหายไปกว่าครึ่งเดือน เขาจึงไม่ได้พบกับนางมานานจนดูเหมือนมีบางสิ่งขาดหายไป
วันนี้หากได้พบนาง อันดับแรกต้องดูก่อนว่าการบ่มเพาะของนางรุดหน้าไปถึงระดับใดแล้ว
ก่อนออกจากเมืองกว่างหลิง ต้องเตรียมสมุนไพรวิญญาณและศิลาวิญญาณให้นาง นางจะได้ไม่ต้องห่วงพะวงเรื่องการฝึกฝนในระยะสั้น
อีกอย่าง นางได้รับเงินจากตระกูลเพียงไม่กี่ร้อยตำลึงต่อเดือน ดังนั้นต้องทิ้งเงินไว้ให้กับนางด้วย
จะว่าไปแล้ว ต้องเตรียมสมบัติคุ้มกายไว้ให้นางอีกสักอย่างสองอย่าง เผื่อเกิดอันตรายขึ้นมา ต่อให้เขาไม่อยู่เคียงข้าง นางจะได้รอดพ้นจากอันตรายได้
รวมไปถึง… นับจากนี้เขาคงต้องขอให้ฟู่ซานให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของหลิงเสวี่ย…
เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูอี้ก็เดินเข้าไปในจวนตระกูลเหวินก่อนเดินตรงไปยังจวนที่เหวินฉางไท่และภรรยาอาศัยอยู่
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นซูอี้ปรากฏตัว สาวใช้สองคนที่กำลังทำความสะอาดลานบ้านก็ตกตะลึงก่อนทักทายด้วยความเคารพ
ตอนนี้ในตระกูลเหวิน ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าซูอี้คืออันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร
เพราะความรู้ดังกล่าวจึงทำให้ท่าทีของเหล่าคนใช้ของตระกูลเหวินที่มีต่อซูอี้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก
“หลิงเสวี่ยอยู่ในห้องหรือไม่?” ซูอี้ถาม
ก่อนจะทันได้รอฟังคำตอบ เสียงฉุนเฉียวของฉินชิ่งดังมาจากโถงหลัก “เจ้าคนเลี้ยงเสียข้าวสุก รู้วิธีกลับบ้านแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ก่อนจะทันพูดจบ ฉินชิ่งก็เดินออกมาอย่างร้อนรน
หลังจากไม่ได้เห็นนางมาหลายวัน บุคลิกของฉินชิ่งก็เปลี่ยนไป ใบหน้าสดใสและเปี่ยมไปด้วยพลังงาน แม้แต่การแต่งหน้าก็ยังหรูหรางามงด ระหว่างมือและเท้าเต็มไปด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ
นางมองซูอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา “อย่าคิดว่าเจ้าได้อันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกรแล้วจะยกหางได้เชียว เทียบกับสถานะและชื่อเสียงตอนนี้ของหลิงเจาแล้ว เจ้ายังห่างชั้นอีกมากนัก!”
ซูอี้ยิ้ม ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
แม่ยายของเขาก็เป็นแบบนี้เสมอ ฉุนเฉียว หยาบคาย แต่จิตใจไม่ได้เลวร้ายอะไร
ในช่วงที่เขาเข้ามาอยู่ตระกูลเหวิน ถึงแม้ฉินชิ่งจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจและมองลูกเขยอย่างเขาด้วยสายตาดูถูก แต่นางไม่เคยจงใจสร้างปัญหาให้กับเขาแม้แต่ครั้งเดียว
นี่คือเหตุผลที่ทำไมซูอี้ถึงมองข้ามวาจาที่รุนแรงของนาง
“มากับข้า!”
เมื่อเห็นว่าซูอี้ยังคงสีหน้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีความเห็นแย้งกับตน ฉินชิ่งจึงโล่งอกอย่างอธิบายไม่ถูก สีหน้าของนางอ่อนลงเล็กน้อย
นางมาถึงบ้านเมื่อวานก่อนจึงได้ทราบถึงการแสดงอันน่าทึ่งของซูอี้ที่งานประลองประตูมังกร
โชคดีที่ซูอี้ไม่ใช่บุตรเขยไร้ค่าอีกต่อไป
แต่ที่น่ากังวลก็คือหลังจากซูอี้ได้อันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร นางกับเหวินฉางไท่จะโดนเมินหรือไม่
ตอนนี้ดูท่าซูอี้จะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ยังคงเหมือนเมื่อก่อน เขาไม่สนใจการถากถางและคำตำหนิของนางแม้แต่นิดเดียว
ขณะเดินเข้าไปในโถงหลัก เหวินฉางไท่กำลังดื่มชาอยู่ หลังจากเห็นซูอี้ เขาก็ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มก่อนกล่าวว่า “ไม่คิดเลยว่าตอนนี้เจ้าจะประสบความสำเร็จแล้ว ดีจริง ๆ”
ซูอี้อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
พ่อตาคนนี้น่าสนใจที่สุด เป็นคนที่ซื่อสัตย์ธรรมดา ไม่มีความทะเยอทะยาน ทำให้ถูกผู้คนมากมายในตระกูลเหวินดูถูก
แต่ในมุมมองของซูอี้ เหวินฉางไท่มีข้อได้เปรียบอยู่ นั่นก็คือพ่อตาของผู้นี้มีเมตตาธรรม
แม้กระทั่งยามที่เขาเป็นลูกเขยไร้ค่า ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ไม่เคยพูดจาเย็นชาใส่
ความเมตตาอันบริสุทธิ์ในใจของเหวินหลิงเสวี่ยคล้ายจะสืบทอดมาจากเหวินฉางไท่
“ซูอี้ ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้การบ่มเพาะของเจ้าได้กลับฟื้นคืนมาแล้ว ในฐานะที่พวกข้าคือครอบครัว ย่อมต้องยินดีกับเจ้าด้วยเช่นกัน”
ฉินชิ่งเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงและกล่าวต่อ “ในอดีต พ่อตาของเจ้ากับข้าอาจจะทำไม่ดีกับเจ้าเอาไว้ พวกข้าจะพยายามชดใช้ให้ในอนาคต แต่เจ้าจงรู้เอาไว้ด้วยว่าด้วยนิสัยของหลิงเจา จึงไม่มีทางที่นางจะยอมรับเจ้าอย่างแน่นอน ข้าเพียงแค่หวังว่าเจ้าจะไม่มีความขุ่นเคืองหลงเหลืออยู่ในใจ”
ซูอี้รู้ดีว่าทัศนคติของฉินชิ่งที่มีต่อเขานั้นเปลี่ยนไปแล้ว
เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยสนใจเลยว่าเหวินหลิงเจาจะยอมรับข้าหรือไม่”
ฉินชิ่งถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “จะว่าไปแล้ว เจ้ากับหลิงเจาล้วนเป็นเหยื่อจากการแต่งงานในครั้งนี้ ข้าคิดมานานแล้วว่าจะยกเลิกการแต่งงานนี่ แต่นายหญิงเฒ่ากลับไม่ยอม ไม่ว่าในใจข้าจะขุ่นเคืองมากแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าเข้าใจ”
“มีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า”
ฉินชิ่งครุ่นคิด “ครั้งนี้ที่เราไปเยือนตำหนักเทียนหยวน หลิงเจาบอกกล่าวไว้ว่าจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อยุติการแต่งงานในครั้งนี้ อย่าคิดให้มากความเลย ไม่ใช่เจ้าหรอกที่นางเกลียด แต่เป็นการแต่งงานนี้ต่างหาก อย่างไรเสีย เจ้าก็เป็นคนแปลกหน้าในสายตาของนางอยู่แล้ว”
ฉินชิ่งคาดไม่ถึง แทนที่จะโกรธ แต่ซูอี้กลับหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้าจะตั้งตารอวันที่นางสามารถยุติการแต่งงานนี้ได้”
นี่ทำให้ฉินชิ่งรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หรือว่าตั้งแต่กลายเป็นอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร เด็กน้อยผู้นี้คิดว่าตนเองปีกกล้าขาแข็งจนอดใจรอที่จะตัดขาดกับตระกูลเหวินไม่ไหวงั้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงที่งดงามเช่นหลิงเจาแถมยังเป็นผู้สืบทอดของปรมาจารย์ นางเป็นที่ต้องการตัวของชายหนุ่มมากพรสวรรค์นับไม่ถ้วนในตำหนักเทียนหยวน แต่เจ้ากลับไม่เสียดายนางเลยอย่างนั้นหรือ?
หลังจากสงบสติลง ฉินชิ่งกล่าวว่า “ซูอี้ ข้าพูดในสิ่งที่ควรพูดไปแล้ว ผู้นำตระกูลอาจจะเรียกเจ้าไปคุยเป็นการส่วนตัวในภายหลัง ในความเห็นของข้า เขาอาจจะไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อเจ้า ขอให้เตรียมใจเอาไว้ด้วย”
ซูอี้ย่อมไม่สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาเพียงถามว่า “หลิงเสวี่ยอยู่ที่ใด?”
ฉินชิ่งนิ่งสักพัก ในเวลาแบบนี้ เด็กคนนี้ยังคิดถึงน้องภรรยาของตัวเองอีกหรือ?
เหวินฉางไท่ผู้อยู่ด้านข้างตอบอย่างอบอุ่นว่า “หลิงเสวี่ยอยู่ฝึกฝนที่สำนักดาบชิงเหอ ตามที่หลิงเจาว่า นางวางแผนจะให้หลิงเสวี่ยเข้าตำหนักเทียนหยวนเพื่อทำการฝึกฝนในอนาคต ในระยะหนึ่งนับจากนี้ หลิงเสวี่ยอาจจะไม่ได้กลับมาที่เมืองกว่างหลิง”
ซูอี้เงียบสักพัก ความคาดหวังเดิมของเขาไม่ได้รับการเติมเต็ม ส่งผลให้คิ้วขมวดมุ่น
ฉินชิ่งกล่าวเสริม “หลิงเจาทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีต่อน้องสาว ในตอนนั้น นางไม่สามารถช่วยตัวเองได้จนถูกบังคับให้แต่งงาน นางจะปล่อยให้หลิงเสวี่ยผู้เป็นน้องสาวทำผิดพลาดแบบตนซ้ำสองอีกได้อย่างไร? ขืนอยู่ในเมืองกว่างหลิงโดยตลอด วันดีคืนดีนายหญิงเฒ่าตระเตรียมการแต่งงานให้หลิงเสวี่ยอีกขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
หลังจากซูอี้ได้ฟัง เขาก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้คงถูกตระเตรียมโดยเหวินหลิงเจา ไม่ใช่เหวินหลิงเสวี่ยที่เป็นผู้ริเริ่ม