บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 750 กระบี่ระอาสวรรค์
ตอนที่ 750: กระบี่ระอาสวรรค์
ตอนที่ 750: กระบี่ระอาสวรรค์
‘ขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลาย… ดูเหมือนหลังการมาของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง การฝึกฝนของคนผู้นี้ก็ดีขึ้นเช่นกัน…’
ซูอี้ครุ่นคิด
เมื่อครั้งที่เยี่ยอวิ๋นหลันคุยกับเขาเรื่องเยี่ยเซียว เขาเคยกล่าวว่าคนผู้นี้ฝึกฝนอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นกลาง และเคยเอาชนะตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งหมดในภูมิคังเสวียน มีคู่มือเพียงน้อยนิด
ยิ่งกว่านั้น วงล้อวิญญาณมหาวิถีซึ่งเยี่ยเซียวสร้างขึ้นยังมีคุณภาพยอดเยี่ยม มีนามว่า ‘นรกภูมิสังหาร’
และยามนี้ อีกฝ่ายก็เข้าสู่ขั้นปลายของขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้ว!
“ซูอี้ ต่อให้เจ้าส่งเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมาแต่โดยดีเสียยามนี้ ก็ยังสายไปแล้ว”
เยี่ยจิ่นจืออดกล่าวด้วยสีหน้าเจือความเวทนาไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าจะตายแน่นอน”
ซูอี้กวาดสายตาไปทางยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมองเยี่ยเซียวผู้ยืนท่ามกลางหมู่เมฆ “รอดูเถอะ”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น สตรีในอาภรณ์ขนนกก็กลับมาพร้อมเยี่ยอวิ๋นหลัน
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่? เจ้าทึ่ม!”
เยี่ยอวิ๋นหลันสีหน้าเปลี่ยนกะทันหันยามพบซูอี้ยืนอยู่บนที่ราบจันทร์เพ็ญ
“เจ้านี่ทึ่มจริง ๆ” ซูอี้ถอนหายใจ
เยี่ยอวิ๋นหลันไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าเขากลับดูหดหู่หม่นหมองอย่างยิ่ง อ่อนเพลียกระเซอะกระเซิง การฝึกฝนถูกผนึก ไม่ต่างอันใดกับคนธรรมดาไร้ทางสู้
“พอข้าฆ่าเยี่ยเซียวเสร็จ ข้าจะพาเจ้าไป”
ก่อนเยี่ยอวิ๋นหลันจะทันได้พูดอีก ซูอี้ก็ตอบเช่นนี้แล้วทะยานสู่เวหา หยุดยืนเหนือทะเลเมฆา
“โอหัง!”
เมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยเหล่านั้นก็พลันกล่าวโต้ตอบ
“พี่ชายร่วมตระกูล ช่วงนี้เจ้าถูกขังอยู่ในหุบเขาสิ้นวีรชน คงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอันใดบ้าง หากกล่าวให้กระชับก็คือ หลานชายเจ้าช่างเหนือธรรมดา สามารถสังหารตัวตนอันแข็งแกร่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้ถึงยี่สิบห้าคน โด่งดังไปทั่วโลกา”
เยี่ยจิ่นจือกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “กระทั่งนายน้อยยังกล่าวว่ามีเพียงซูอี้ผู้โดดเด่นในโลกหล้าทุกวันนี้”
เยี่ยอวิ๋นหลันอดประหลาดใจไม่ได้
ซูอี้ทุกวันนี้ร้ายกาจขนาดนั้นเลยหรือ?
เยี่ยจิ่นจือเม้มปาก จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น อย่าใส่ใจเลย แม้เขาจะต้องตายอยู่ดี แต่ในเมื่อตายด้วยมือนายน้อย เขาก็ตายตาหลับได้”
สีหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลันพลันเปลี่ยนเป็นมืดหม่น
…
ทะเลเมฆากู่คำราม ท้องนภาสว่างไสว
เยี่ยเซียวมองซูอี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ แสวงหาวิถีแห่งการฆ่าฟันทำลาย และได้ยินว่าเจ้าเป็นนักดาบ ดังนั้นมาวัดดูเถิดว่าระหว่างดาบเจ้าหรือกระบี่ข้า สิ่งใดจะคมกว่ากัน”
กล่าวจบ ร่างของเขาก็ระเบิดปราณออกมา
ตู้ม!
มวลเมฆาในรัศมีหลายพันจั้งถล่มสลาย คลื่นคลั่งปั่นป่วน
ปราณทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นพวยพุ่งดั่งเพลิงออกจากร่างของเยี่ยเซียว กระหน่ำซัดราวคลื่นยักษ์ถล่ม
เส้นผมยาวของเขาสะบัดโบก ดวงตาเย็นชา บรรยากาศแข็งแกร่งอหังการสะท้านทั่วหล้า!
พลังเช่นนี้ แม้จะเทียบกับผู้อาวุโสในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลายเยี่ยงหวังจงหยางแห่งหอศีตอุดร ยังนับว่าเหลือล้ำกว่ามากนัก!
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาเฉยเมย “คมดาบไร้ตา ในเมื่อต้องแบ่งแยกเป็นตาย ก็ไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำทำเพลง ชักกระบี่เจ้าออกมา ให้ข้าดูซิว่าคนคลั่งสังหารแห่งภูมิคังเสวียนที่ว่าจะแข็งแกร่งสักเพียงไร”
“ย่อมได้”
เยี่ยเซียวฉีกยิ้ม เผยซี่ฟันเรียงขาว
เสียงยังไม่ทันจาง เขาก็พลิกฝ่ามือ ปรากฏกระบี่คมซึ่งมีใบแคบขึ้นเล่มหนึ่ง
ใบกระบี่ยาวสามจั้งเรืองแสงสีแดงจาง ๆ หยอกนภา ดูประหนึ่งมีนรกภูมิสีโลหิตสะท้อนอยู่ในใบดาบ ภูเขาซากศพกระเพื่อมขึ้นลงท่ามกลางโลหิตสมุทร แผ่บรรยากาศฆ่าฟันคาวเลือด
สิ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษคือด้ามจับของกระบี่มีแถบผ้าสีดำเปรอะโลหิตพันอยู่โดยรอบ เรืองแสงสีดำพิศวง อากาศที่ล้อมรอบอยู่ถูกย้อมดำดั่งหมึก
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
นี่คือกระบี่สังหารซึ่งประหารชีวิตมานับไม่ถ้วน!
และแถบผ้าสีดำที่ด้ามจับก็คงสร้างจากหนังของตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ!
“นามของกระบี่นี้คือ ‘ระอาสวรรค์’ สมบัติวิญญาณคู่ชีพที่ร่วมรบกับข้าจวบยามนี้ ประหารหัวศัตรูนับร้อยพันในวิถีวิญญาณ”
เยี่ยเซียวกวัดแกว่งกระบี่ในมือ บรรยากาศรอบกายดุร้ายอหังการ แววตาน่าหวาดหวั่นประหนึ่งขุมนรกลึกล้ำ เหมือนคนคลั่งสังหารจากนรก
ท้องนภาซึ่งแต่เดิมกระจ่างใสพลันเปลี่ยนเป็นมืดดำหดหู่ อากาศรอบข้างสั่นสะเทือนปกคลุมด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยซึ่งมองจากไกล ๆ ตัวสั่นด้วยความกลัว
หัวใจของเยี่ยอวิ๋นหลันหล่นวูบอย่างช่วยไม่ได้ เขามาจากตระกูลเยี่ย และย่อมรู้ว่าเยี่ยเซียวแข็งแกร่งเพียงไร
“ระอาสวรรค์รังเกียจภูตผี? นามกระบี่นี้หยาบคายจริง ๆ”
ซูอี้ส่ายหน้าอยู่ครู่หนึ่ง
“หยาบคายหรือไม่ไม่สำคัญ ขอแค่ถูกจริตข้าก็พอ”
เยี่ยเซียวกล่าวพลางก้าวสู่อากาศ กระบี่ถูกกำในมือขวา พลางเดินเข้าหาซูอี้ “ดาบเจ้าเล่า? ไฉนจึงไม่ชักออก?”
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ทุกการก้าวเดิน บริเวณโดยรอบพลันถล่มสลายภายใต้สุรเสียงกัมปนาท ปราณดุร้ายเจือจิตสังหารพลุ่งพล่านออกจากร่างของเขามากขึ้นหลายส่วน
เหมือนเช่นยามจอมปีศาจเยื้องย่าง ถล่มนภาสิ้นสูญ
อำนาจร้ายกาจนี้มากพอจะสะเทือนต่อจิตใจผู้คนในขอบเขตเดียวกันอย่างง่ายดาย!
“แค่อิงจากความแข็งแกร่งที่เจ้าแสดงยามนี้ เจ้าไร้คุณสมบัติให้ข้าต้องชักดาบ”
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง สีหน้าเยือกเย็นนับแต่ต้นจนจบ
“ประโยคนี้นับเป็นวาจาสุดท้ายของเจ้าแล้วกัน!”
เยี่ยเซียวหัวเราะลั่น และเท้าของเขาก็หยุดลงเฉียบพลัน
เป็นก้าวที่เก้าพอดิบพอดี
ด้วยเก้าเยื้องย่าง ปราณของเขาก็ทะยานสู่จุดสูงสุด จิตสังหารเข้มข้นน่าขนลุกดูจะควบแน่นเป็นสสาร ทำให้กระบี่ในมือเขาคำรามอย่างตื่นเต้น
ภูมิคังเสวียนเรียกเขาเป็นคนคลั่งสังหาร
นั่นเป็นเพราะทั่วโลกหล้าไม่เข้าใจมหาวิถีการฆ่าฟันของเขาแม้แต่น้อย
การฆ่าคืออันใด?
ลืมชีวิตและความตายของตน ทันทีที่ขยับร่าง จะมีเพียงการใฝ่หาพลังแห่งการทำลายล้าง ไร้ช่องว่างให้คิดเรื่องอื่นใด!
ไม่ว่าจะเป็นเทพเทวาเหนือนภาหรือมารปีศาจใต้พิภพ ล้วนยากจะหยุดเขาไม่ให้ฆ่าสังหาร!
ตู้ม!
เมื่อเยี่ยเซียวหยุดฝีเท้า แขนขวาของเขาก็ยกขึ้นอย่างกะทันหัน และฟาดฟันกระบี่ออกมา
ทั่วหล้าฟ้าดินเป็นดั่งผืนผ้าใบอันแตกร้าว ณ ใจกลาง
อำนาจฆ่าฟันดุร้ายเหม็นเลือดอัดแน่นอยู่ในปราณกระบี่ แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำอันทำให้โลกหล้าหม่นหมอง
การวาดกระบี่ครั้งนี้ช่างเรียบง่าย แต่ก็ยังบีบอัดถึงขั้นสุดกู่ ผนวกรวมการฝึกฝนในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นปลาย ปราณและพลังของเยี่ยเซียว
ไร้ความเปลี่ยนแปลง มันเป็นเพียงการตวัดกระบี่ตามใจผู้ถือ ดังนั้นมันจึงอหังการสุดขีดเช่นกัน!
เมื่อเห็นกระบี่นี้ ทุกสายตาของยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยบนที่ราบจันทร์เพ็ญก็เจ็บแปลบ จิตใจประหนึ่งถูกฉีกกระชาก
ทุกคนต่างตกตะลึงจังงัง
การตวัดกระบี่เยี่ยงนี้เพียงพอจะทำให้ทั้งเทพและปีศาจตกตะลึง!!
กล่าวได้ว่าเยี่ยเซียวมีฝีมือควรค่าให้ภาคภูมิ
หากคนเช่นนี้ไปปรากฏในเก้ามหาแดนดิน เขาจะสามารถต่อกรทัดเทียมกับวีรชนผู้ถือครองวิถีเต๋าระดับสูงสุดได้
ดูเหมือนกระบี่ของเขาจะแสดงอำนาจและวิถีเต๋าของเขาได้อย่างถึงขีดสุด
ทว่าในสายตาซูอี้ทุกวันนี้ เยี่ยเซียว… ไม่ควรค่าอย่างแท้จริง!
ซูอี้ยืนนิ่ง แขนเสื้อขวาของเขาพลิ้วสะบัด ฝ่ามือและห้านิ้วกำเข้าหากันเบา ๆ บนอากาศ
แม้จะกล่าวว่าเหมือนเทพเซียนสัมผัสบรรพตลำธาร สรรพสิ่งดำเนินตามครรลองแห่งตะวันจันทรา ก็ยังเหมือนเป็นการกล่าวลดทอนความจริง ทว่าวิถีเต๋าของซูอี้ก็ถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่ในการโจมตีนี้
ตู้ม!!
รอบประทับฝ่ามือปรากฏบนผืนนภาราวพร้อมขยี้ทุกสิ่งสู่สุญญะ ที่ใดก็ตามที่มันผ่านล้วนว่างโล่งราวเปิดทาง
ตู้ม!!
ลำแสงกระบี่สีดำของเยี่ยเซียวกระแทกเข้ากับรอยประทับฝ่ามือ สะท้านสะเทือนรุนแรง และระเบิดเสียงดังลั่นหาใดเปรียบ
พิรุณแสงทะลักโปรย เกิดรอยร้าวขึ้นบนลำแสงกระบี่
แล้วมันก็แหลกสลาย
ด้วยปราณทำลายล้างอันบ้าคลั่งขยายวง รอยประทับฝ่ามือของซูอี้ก็ฟาดเข้าใส่เยี่ยเซียวหมายสังหารในพริบตา
ดวงตาของเยี่ยเซียวหรี่ลงเล็กน้อย
แทนที่จะประหลาดใจ เขากลับลิงโลดปรีดา ร่างของเขาดูราวเกิดเปลวเพลิงปะทุ เสียงผิวปากยาว ๆ ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปาก และเขาก็ฟันกระบี่ออกไปในพริบตา
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เยี่ยเซียวตวัดกระบี่ดั่งสายฟ้า ส่งคลื่นพายุจิตสังหารทำลายล้าง
ทว่าสิ่งที่เกิดกลับเหนือความคาดหมาย
รอยประทับฝ่ามือของซูอี้น่าหวาดหวั่นยิ่ง มันไม่สลายไปจนกระทั่งทำลายสิบสามปราณกระบี่สำเร็จ
เมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของเหล่ายอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยต่างแปรเปลี่ยน พวกเขาตะลึงจังงัง ไม่เคยแม้แต่จะคิดต่อให้สมองพวกเขาจะระเบิดแหลกว่าผู้แข็งแกร่งเช่นเยี่ยเซียวจะถูกบีบให้ต้องโจมตีรอยประทับฝ่ามือนี้ซ้ำ ๆ!
นี่ย่อมหมายความว่าซูอี้ผู้ซึ่งพวกตนดูแคลนเมื่อยามก่อนแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดไว้มากนัก!
แววตาของเยี่ยอวิ๋นหลันทอประกาย ทั้งตื่นเต้นระคนร้อนรน
เขาไม่เคยคาดฝันว่าหลังจากย่างสู่ขอบเขตสยายวิญญาณ ซูอี้จะแข็งแกร่งเพียงนี้!
โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นคิดมากนัก ซูอี้ผู้อยู่บนเวหาก้าวมาเบื้องหน้า ขยับกำปั้นแล้วโจมตีอีกครั้ง
ดุจเทพเซียนยุรยาตร
ทว่าเมื่อเขาโจมตีออกไปครานี้ มันดูราวกับเขาถอนบรรพตศักดิ์สิทธิ์อันเก่าแก่โบราณขึ้นมาทุ่มสู่โลกหล้า
สุญญะรายล้อมถล่มสลายในพริบตา มวลเมฆปลิวกระจายมลายสูญ
รอยประทับหมัดอันเจิดจ้าน่าสะพรึงกลัวทำให้ผู้คนไม่อาจลืมตาขึ้นมอง
“ยอดจริง ๆ ซูอี้! มันทำให้ข้าประหลาดใจได้จริง ๆ!”
แววตาของเยี่ยเซียวทอประกาย หัวเราะดังลั่น
แทนที่จะล่าถอย เขากลับก้าวมาข้างหน้า ตวัดกระบี่ระอาสวรรค์หมายสังหาร เกิดเป็นเสียงกรีดร้องหวีดหวิว ก่อปราณกระบี่เป็นคลื่นคลั่งปิดนภาบังตะวัน
ทว่า ในพริบตาถัดมา…
ตู้ม!
จากการปะทะสนั่นหล้า แม้เยี่ยเซียวจะใช้กระบี่ แต่เขาก็ถูกดีดกระเด็นไปไกลโข บีบให้ร่างผอมบางถอยหลบ ราวกับถูกอำนาจมหาศาลกดทับ ดังนั้นทุกก้าวที่เขาเยื้องย่างจึงทำลายอากาศส่วนที่ยืนเหยียบดังโครมคราม
ในขณะเดียวกัน ใบหน้าวิจิตรของเยี่ยเซียวก็ซีดเซียวเจือสีเขียว
เขาอับอายเล็กน้อย
“นี่…”
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง หนังหัวชายิบด้วยความตกใจ ไม่อาจสงบจิตได้เลย
หากจะกล่าวว่าในช่วงเริ่มศึก การที่เยี่ยเซียวดูถูกคู่ต่อสู้ถูกซูอี้นำมาใช้เป็นข้อได้เปรียบ
ขณะนี้ เขาก็ต้องสะเทือนใจอีกครั้ง แต่ไม่อาจอธิบายได้ว่าเป็นความเลินเล่อแม้แต่น้อย!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งเยี่ยเซียวและพวกเขาทั้งหมดต่างประเมินความน่ากลัวของซูอี้ต่ำไป
มีเพียงเหตุผลเดียวที่สามารถใช้อธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ได้ นั่นคือในมหาสงครามนอกนครหลวงจิ๋วติ่งเมื่อวานซืน แม้เขาจะสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณไปถึงยี่สิบห้าคน แต่ซูอี้ไม่เคยลงแรงสุดกำลัง!
กล่าวอีกนัยก็คือ หากใช้มาตรฐานจากสงครามเมื่อวันก่อนมาประเมินพลังต่อสู้ของซูอี้ ผู้ทำเช่นนั้นย่อมเข้าใจผิดอย่างมหาศาล ซึ่งจะส่งผลให้พวกตนดูถูกความแข็งแกร่งของซูอี้โดยไม่รู้ตัว!
แค่ว่า… ซูอี้ในวันนี้แข็งแกร่งเพียงไร?
ชั่วขณะนั้น ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยต่างจนปัญญา
ส่วนเยี่ยอวิ๋นหลัน เขาตื่นเต้นเสียจนกำมือแน่น อกกระเพื่อมขึ้นลง โลหิตสูบฉีดหนักหน่วงไปทั่วกาย หวังเหลือเกินว่าตนจะตีกลองทองส่งกำลังใจไปหาซูอี้ได้!