บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 752 ข้าในขอบเขตสยายวิญญาณ เป็นผู้อยู่เหนือวิถีวิญญาณทั้งมวล
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 752 ข้าในขอบเขตสยายวิญญาณ เป็นผู้อยู่เหนือวิถีวิญญาณทั้งมวล
ตอนที่ 752: ข้าในขอบเขตสยายวิญญาณ เป็นผู้อยู่เหนือวิถีวิญญาณทั้งมวล
ตอนที่ 752: ข้าในขอบเขตสยายวิญญาณ เป็นผู้อยู่เหนือวิถีวิญญาณทั้งมวล
ใต้ผืนนภา
คลื่นพลังทำลายล้างคลุ้มคลั่งไร้การควบคุม
ดวงตาของเยี่ยเซียวเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง
มันดูไม่น่าเชื่อ
ในกระบี่ระอาสวรรค์ของเขามีพลังทำลายล้างระดับจักรพรรดิผนึกไว้ มันถูกหลอมรวมเข้ากับวิถีเต๋าของเขา และความอันตรายถึงตายของมันก็เทียบได้กับการโจมตีของผู้อยู่ในระดับจักรพรรดิ
ทว่ากระบี่นี้กลับแตกสลายใต้ดาบของซูอี้!
นี่… คือพลังที่ตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณสามารถถือครองได้หรือ?
เขาทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?
เยี่ยเซียวหันศีรษะอย่างยากลำบาก ริมฝีปากขยับราวกับจะเอื้อนเอ่ยถาม
ทว่าก่อนที่คลองจักษุจะทันเห็นร่างของซูอี้ชัดถนัดตา มันก็มืดดำลง สิ้นอัตตาโดยสมบูรณ์
ผู้นำกลุ่มชนรุ่นเยาว์แห่งตระกูลเยี่ย ตัวตนผู้เกือบไร้เทียมทานในวิถีวิญญาณแห่งภูมิคังเสวียนดับสูญ!
ร่างของเขาถูกฟันขาดสองท่อน ร่วงลงจากเวหาพร้อมโลหิตโปรยปราย
ใบหน้าวิจิตรปรากฏความไม่สมัครใจและสิ้นหวังในยามใกล้ตาย
และเมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้…
เหล่ายอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยบนที่ราบจันทร์เพ็ญต่างนิ่งอึ้ง สติหลุดลอยโดยสมบูรณ์
ดาบของซูอี้ไวเกินไป!
มันเข้าใกล้ภาวะเกินการรับรู้ ซ้ำยังดุดันสะท้านโลกา
หนึ่งดาบตวัดผ่านเวหา ตัดสินเป็นตายในพริบตา!
รวดเร็วเสียจนยามพวกเขาเห็นภาพที่เยี่ยเซียวถูกสังหาร พวกเขากระทั่งคิดว่าตนเห็นภาพหลอน ไม่อาจยอมรับได้แม้แต่น้อย
เพราะถึงอย่างไร เยี่ยเซียวก็ใช้ไม้ตายอันแข็งแกร่งที่สุดของตน ใช้ทุกวิถีทางเพื่อโจมตีทัดเทียมกับตัวตนในระดับจักรพรรดิมาก่อน
ใครเล่าจะคิดว่าผลของช่วงเวลาอันแข็งแกร่งเจิดจรัสที่สุดของเยี่ยเซียวจะไม่ใช่ชัยชนะ แต่เป็นความตาย?
ความกลัวและพรั่นพรึงอย่างไร้วาจาเอ่อล้นหัวใจของยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยเหล่านี้ดุจคลื่น สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนแปรดุจนางสนมไว้ทุกข์
ทุกคนรู้สึกราวนภาถล่ม
กระทั่งเยี่ยอวิ๋นหลันยังตะลึงงันด้วยพลังจากดาบของซูอี้ สั่นเทิ้มทั้งกายใจโนเวลพีดีเอฟ
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้!”
คนบางผู้ตะโกน ไม่อาจรับความจริงอันโหดร้ายเช่นนี้ได้
ความเงียบดุจป่าช้าพลันถูกทำลาย
“ทันทีที่นายน้อยตาย ตระกูลคงไม่มีวันไว้ชีวิตเราแน่…”
ใครบางคนดูเลื่อนลอยไร้ชีวิต
เยี่ยเซียวคืออัจฉริยะผู้เจิดจรัสที่สุดในหมู่คนในตระกูล เขาคือผู้นำชนรุ่นเยาว์ในตระกูลเยี่ย
ขอเพียงให้เขาได้พิสูจน์เต๋ากลายเป็นจักรพรรดิ เขาจะสามารถขึ้นครองตระกูลได้โดยชอบธรรม
ทว่า…
ด้วยการตายของเยี่ยเซียว เรื่องทั้งหมดย่อมสูญเปล่า!
สิ่งนี้ทำให้ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยเหล่านั้นไม่อาจหาญกล้าคาดเดา ว่าเหล่าผู้อาวุโสซึ่งได้รับข่าวร้ายยามกลับสู่ตระกูลจะโกรธเกรี้ยวเพียงไร
“นายน้อย!”
ใครบางคนร้องอย่างอาลัย ใบหน้าเศร้าโศก
ใครบางคนตะโกนลั่น “ซูอี้! เจ้าสมควรตายต่อความผิดนี้! ตระกูลเยี่ยของข้าจะไม่มีวันละเว้นเจ้า!!”
ซูอี้ซึ่งอยู่บนอากาศเก็บดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ กลับลงสู่ที่ราบจันทร์เพ็ญ
ทันใดนั้น เสียงอื้ออึงของเหล่าผู้ชมก็เงียบลงกะทันหัน
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยเหล่านั้นตื่นตัวหวาดระแวงโดยไม่รู้ตัว มองซูอี้ด้วยความเกลียดชัง ทว่าความกลัวและลนลานมีมากกว่า
ก่อนหน้านี้ พวกเขากล้าดูถูกค่อนแคะซูอี้อย่างไร้ความกลัวเนื่องด้วยมีเยี่ยเซียวอยู่
ทว่ายามนี้ แม้แต่เยี่ยเซียวยังถูกสังหาร พวกเขาจะกล้าก่อเรื่องต่อเช่นไร?
สตรีในอาภรณ์ขนนกผู้เคยรับใช้เยี่ยเซียวตลอดเวลากระทั่งคว้าคอเยี่ยอวิ๋นหลันข่มขู่เสียงแข็ง “ซูอี้ หากเจ้ากล้ากำแหง ข้าจะฆ่าเขาซะ!”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “อยากทำอะไรก็ทำสิ”
สตรีในอาภรณ์ขนนก “…”
เยี่ยอวิ๋นหลันอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ เขารู้อยู่นานแล้วว่าซูอี้รังเกียจลุงผู้นี้มาก ไม่เคยต้องการยุ่งเกี่ยวหรือพูดคุยเกี่ยวพัน
ครั้งนี้ที่ซูอี้มาช่วยเขา นับได้ว่าทำให้เขาประหลาดใจมากแล้ว
ส่วนความหมายซึ่งเผยในวาจาของซูอี้ในยามนี้ ไม่ได้ทำให้เยี่ยอวิ๋นหลันเศร้าใจมากนัก
ท้ายที่สุด แม้พวกเขาจะเกี่ยวพันทางสายเลือด ทว่าก็ไม่ได้มีความรักแน่นแฟ้นต่อกัน
“หากเขาตาย ไม่เพียงเจ้าต้องตาย ตระกูลเยี่ยของเจ้าจะถูกฝังไปกับเขาด้วย”
ซูอี้กล่าวต่อ “ทว่า ก่อนที่ข้าจะโกรธ ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าปล่อยเขาไป และข้าจะไว้ชีวิตเจ้าทั้งหมด”
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยต่างก็ลังเลขึ้นมา
“หลังจากปล่อยคนไป หากเจ้าพลิกลิ้นกลับกลอกเล่า?”
สตรีในอาภรณ์ขนนกขมวดคิ้ว
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ในสายตาข้า ชีวิตของพวกเจ้าไม่ต่างจากมดแมลง และการบี้มดให้ตายก็ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกผิด”
หลังนิ่งไปสักพัก เขาก็กล่าวต่อ “หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว ปล่อยเขาไปหรือตาย ให้คำตอบข้าในสามอึดใจ”
วาจาเฉยเมยทำให้บรรยากาศรอบข้างพลันกดดัน
ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยมองหน้ากันไปมาอย่างไม่แน่ใจ
ท้ายที่สุด สตรีในอาภรณ์ขนนกก็สูดลมหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ได้ ข้ารับปาก!”
กล่าวจบ นางก็กัดฟันโยนตัวเยี่ยอวิ๋นหลันออกไปห่างไกลจากที่ราบจันทร์เพ็ญ
จากนั้น นางและยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยคนอื่น ๆ ต่างพุ่งทะยานไปแสนไกลเป็นครั้งแรก ราวกับกลัวซูอี้จะฉวยโอกาสนี้โจมตีพวกนาง
ซูอี้ส่ายหน้า
เขาซูเสวียนจวินลั่นวาจาแล้ว ไฉนต้องกลืนคำพูดตนเอง?
หลังจากเห็นร่างของยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยหายตัวไป ซูอี้ก็หันมองเยี่ยอวิ๋นหลันและกล่าวว่า “ถึงเยี่ยเซียวผู้นี้จะไม่ได้ทำอันใดต่อเจ้า แต่เขาก็ยังล้อเล่นกับชีวิตคน”
เยี่ยอวิ๋นหลันทอดถอนใจด้วยสีหน้าซับซ้อน “แต่ด้วยการตายของเขา ตระกูลเยี่ยจะไม่เลิกราเป็นแน่”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “เจ้าอย่าห่วงมากนักเลย”
เขาไม่อาจโกรธเคืองเยี่ยอวิ๋นหลันได้ ในฐานะญาติผู้ใหญ่ การกระทำทั้งมวลของเยี่ยอวิ๋นหลันไม่ได้ซุกซ่อนความเป็นห่วงต่อตัวเขาเลย
นี่เพียงพอแล้ว
“เราจะคุยกันทีหลัง”
ซูอี้กล่าว เขาหันมายังป่าท้อที่อยู่ไม่ห่างไปนัก นั่งลงขัดสมาธิบนโขดหินปูน หันหลังให้เยี่ยอวิ๋นหลัน
จากนั้นซูอี้ก็ขมวดคิ้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อดทนไม่ได้ หยาดโลหิตไหลย้อยจากมุมปาก ใบหน้าหล่อเหลาซีดสี
เขาเช็ดหยาดเลือด ผ่อนลมหายใจยาว และหยิบขวดยาออกมาเริ่มกระดกกิน
ปากของเขาแย้มยิ้มยินดี
ดาบที่สังหารเยี่ยเซียวก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้ปราณจากดาบเก้าคุมขังเลย แต่พึ่งเพียงพลังมหาวิถีในยามนี้ของเขาเท่านั้น
ท้ายที่สุด แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บ แต่ก็ยังสังหารเยี่ยเซียวได้!
‘กระบี่นั่นผนึกปราณในระดับจักรพรรดิไว้ เมื่อข้ายังอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณย่อมยากจะขัดขืน ทว่ายามนี้ เมื่อวิถีเต๋าของข้าอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นต้น ก็เพียงพอที่จะทำลายมันได้แล้ว!’
ซูอี้คิดในใจ
ในฐานะผู้มีอดีตชาติเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าพลังในกระบี่ของเยี่ยเซียวเทียบเท่าได้กับการโจมตีระดับจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ
ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำคือขอบเขตแรกในระดับจักรพรรดิ
การโจมตีเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไป แม้กระทั่งบุคคลระดับสูงสุดในขอบเขตวงล้อวิญญาณในเก้ามหาแดนดินโดนกระบี่เช่นนี้เข้าไปยังตายโดยไม่ต้องสืบ
ทว่า ถึงอย่างไรเยี่ยเซียวก็ไม่ใช่ตัวตนในระดับจักรพรรดิที่แท้จริง แม้ว่ากระบี่ของเขาจะเทียบได้กับการโจมตีในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น แต่พลังที่แท้จริงของมันก็ยังด้อยกว่านั้นนิดหน่อย
หากกล่าวให้ถูก กระบี่ของเยี่ยเซียวมีค่าเทียบเท่ากับพลังของยันต์ที่ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิหล่อหลอม!
ในกาลก่อน ซูอี้ยังคงต้องการพลังจากดาบเก้าคุมขังเพื่อทำลายมัน
ทว่ายามนี้ เขาไม่ต้องการมันอีกต่อไป!
“แม้ว่าการฝึกฝนของข้าในยามนี้ยังคงยากที่จะต่อกรกับตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิที่แท้จริง แต่เกรงว่าคงไม่อาจหาคู่มือที่คู่ควรในวิถีวิญญาณได้อีกแล้ว…”
ซูอี้พึมพำกับตนเอง
ขอบเขตสยายวิญญาณคือขอบเขตที่สองจากสามในวิถีวิญญาณ
ทว่ายามนี้ เขาซึ่งมีการฝึกฝนในขอบเขตสยายวิญญาณสามารถที่จะเป็นผู้อยู่เหนือวิถีวิญญาณทั้งมวล!
“สักวันหนึ่งเมื่อข้าเหยียบย่างสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ ศัตรูของข้าคงจะหาได้เพียงพวกจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเท่านั้น”
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็อดตั้งตารอไม่ได้
ในเก้ามหาแดนดิน วิถีลึกล้ำเป็นดั่งสวรรค์ ขอบเขตจักรพรรดิเป็นดั่งพระเจ้า!
นับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน แทบไม่มีผู้ใดเบื้องใต้วิถีลึกล้ำสามารถข้ามขอบเขตมาสังหารจักรพรรดิในวิถีลึกล้ำได้
สำหรับผู้ฝึกตนใด ๆ วิถีลึกล้ำเหมือนดั่งหุบเขาอันไม่อาจเอื้อมมือถึง เหนือหุบเขาคือเหล่าจักรพรรดิ และเบื้องล่างคือผู้ฝึกตนในขอบเขตอื่น ๆ
หุบเขาตามธรรมชาตินี้แทบไม่มีผู้ฝึกตนคนใดทำลายได้
ทว่าในยามนี้ ซูอี้แน่ใจว่ามันสามารถถูกทำลายได้!
“ยามนี้ ข้าแสนยากจะหาคู่ต่อกรในวิถีวิญญาณ ภายหน้าข้าก็ควรเล็งสังหารจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเสียแล้ว”
ซูอี้อารมณ์เย็นลงอย่างช้า ๆ
เขาไม่ได้ยโสโอหัง ทว่าวิถีการแสวงวิถีของเขาแตกต่างจากผู้อื่น
ยามเมื่อไร้คู่ต่อสู้ ก็ต้องมองไปยังขอบเขตที่สูงกว่า!
“ซูอี้ไม่ได้ตามมาแฮะ”
“นายน้อยสิ้นแล้ว เราควรทำเช่นไร?”
ในหุบเขาห่างออกไปจากหุบเขาสิ้นวีรชนหลายร้อยลี้ ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยหยุดลง และผ่อนคลายถอนหายใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าเมื่อย้อนคิดถึงการตายของเยี่ยเซียว สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่น
“ข่าวนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่แพร่งพราย ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เป็นไปไม่ได้แน่นอนหากจะล้างแค้นให้นายน้อย ในความเห็นข้า เราควรรายงานเรื่องนี้ต่อตระกูล และปล่อยให้ตระกูลกวาดล้างซูอี้เสียดีกว่า”
เยี่ยจิ่นจือกล่าวอย่างขมขื่น
“ตระกูลทราบแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะหาโอกาสล้างแค้นอื่นใดได้อีก…”
สตรีในอาภรณ์ขนนกกล่าวเสียงต่ำ “อย่าลืมสิ ในตระกูลเรา นายน้อยคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตวงล้อวิญญาณ และพวกจักรพรรดิเหล่านั้นก็ไร้หนทางมายังมหาทวีปคังชิงนี้ได้”
วาจาเหล่านี้ทำให้ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยมองหน้ากันไปมาอย่างไม่แน่ใจ
“ความแค้นนี้จบลงแล้วหรือ?”
ใครบางคนไม่ยอมเลิกรา
“แน่นอนว่าเราลืมมันไปเฉย ๆ ไม่ได้หรอก!”
สตรีในอาภรณ์ขนนกสูดหายใจลึก ๆ และกัดฟันกล่าว “ซูอี้มีสายเลือดตระกูลเยี่ยของเราไหลเวียนในกาย หมายความว่าขอเพียงมีโอกาสในภายหน้า ไม่ว่าเขาจะไปซ่อนแห่งหนใด ผู้อาวุโสในตระกูลจะยังตามหาเขาเพื่อล้างแค้นได้!”
ทุกคนดูโล่งใจขึ้น
มีเพียงเยี่ยจิ่นจือที่ถอนหายใจ วาจาเหล่านั้นฟังดูดี แต่นั่นหมายความว่าพวกนางต้องรอจนถึงภายหน้า
ยิ่งกว่านั้น ใครเล่าจะประกันได้ว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้จัดการกับซูอี้ในภายหน้า?
วาจานี้ไม่ต่างจากการปลอบใจตนเองเลย
…
หุบเขาสิ้นวีรชน
ยามรัตติกาลมาเยือน ดวงจันทร์นวลผ่องแขวนเหนือนภา สาดส่องแสงสว่างดุจม่านวารี
ซูอี้นั่งเอื่อยเฉื่อยบนโขดหินปูนข้างลำธารน้อยบนหุบเขา ม้วนขากางเกงขึ้นแช่เท้าเปล่าลงในลำธารใสเย็น มือถือไหสุราไว้ไหหนึ่ง
แสงจันทร์พร่างพรมลงบนสายธาร สะท้อนแสงระยิบระยับ สายลมรัตติกาลพัดโบก กลิ่นสุคนธ์แมกไม้โชยเอื่อย เงียบงันสงบสุขดุจแดนสุขาวดี
นี่คือภาพที่เหวินซินจ้าวได้เห็นยามมาพบเขา
หญิงสาวสวมอาภรณ์ขาว ฟันขาวและดวงตาใสกระจ่าง รูปลักษณ์ของนางประหนึ่งนางสวรรค์
นางยืนอย่างสง่างามข้างกายซูอี้ ก่อนกล่าวขึ้นว่า “ศิษย์พี่ซู ข้านำแผนที่ซึ่งท่านต้องการมาแล้ว”
ว่าพลาง นางก็หยิบกล่องหยกออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้กับเขา
——————————–