บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 753 เวิ้งเก้าดารา
ตอนที่ 753: เวิ้งเก้าดารา
ตอนที่ 753: เวิ้งเก้าดารา
ซูอี้รับกล่องหยกมา จากนั้นจึงดึงแผนที่ด้านในออกมาดู
แผนที่นี้ละเอียดมาก หุบเขา ลำธาร เมืองต่าง ๆ ในสิบสามแคว้นแห่งต้าเซี่ยล้วนถูกบันทึกไว้
ในหมู่พวกมัน สถานที่ตั้งของขุมอำนาจโบราณต่าง ๆ อย่างตระกูลหวนเผ่ามาร สำนักฌานกระจ่างจิต สำนักผลาญตะวันและสำนักวิถีสุญญะต่างถูกทำเครื่องหมายไว้
นอกจากนั้น ยังมีสถานที่ตั้งของสามขุมอำนาจจากต่างโลก หอดาบโคจรสวรรค์ สำนักวิญญาณมิติกว้าง และสำนักมารแปรดารา
เจ็ดมหาอำนาจเหล่านี้รวมพลโจมตีซูอี้เมื่อวันที่สิบเอ็ดเดือนสี่ยามที่เขากำลังมหาภัยพิบัติ
ทว่าสุดท้าย ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากเจ็ดมหาอำนาจกลับถูกกวาดล้าง
ส่วนหอดาบศีตอุดรซึ่งก็เข้าร่วมสงครามนั้นด้วยเช่นกันไม่ได้ปรากฏอยู่บนแผนที่
เหตุผลนั้นค่อนข้างเรียบง่าย นั่นเป็นเพราะขุมอำนาจนี้มาจากภูมิชลสินธุ์สวรรค์ ไม่ได้ตั้งรกรากอยู่ในมหาทวีปคังชิงเหมือนเช่นเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงจากภูมินภาจรัสและตระกูลเยี่ยแห่งคุนอู๋จากภูมิคังเสวียน
อันที่จริง กลุ่มขุมกำลังเต๋าระดับสูงสุดจากต่างโลกเยี่ยงหอดาบศีตอุดรหรือตระกูลเยี่ยล้วนมายังมหาทวีปคังชิงด้วยจุดประสงค์สูงสุดคือการชิงเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง
พวกเขาไม่ได้ตั้งใจหยั่งรกรากในมหาทวีปคังชิง
ไม่นานนัก ซูอี้ก็เก็บแผนที่ หลังจากจำเนื้อหาของมันขึ้นใจแล้ว
“ศิษย์พี่ซู ตอนที่ข้ามา เจ้าหอเมฆาเขียวฟู่ชิงอวิ๋นได้มาเยือน ทว่าเมื่อทราบว่าท่านไม่อยู่ เจ้าหอเมฆาเขียวก็ทิ้งจดหมายไว้แล้วจากไป”
เหวินซินจ้าวกล่าวเบา ๆ
“เจ้านำจดหมายมาด้วยหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
เหวินซินจ้าวพยักหน้า หยิบจดหมายปิดผนึกฉบับหนึ่งส่งให้ซูอี้
ซูอี้เปิดอ่านข้อความบนจดหมาย
‘สหายเต๋าซู หวนเทียนตู้ ผู้อาวุโสใหญ่จากตระกูลหวนเผ่ามารเข้าร่วมมือกับขุมอำนาจโบราณเยี่ยงสำนักฌานกระจ่างจิต สำนักผลาญตะวันและสำนักวิถีสุญญะ เช่นเดียวกับสามขุมอำนาจจากต่างโลก หอดาบโคจรสวรรค์ สำนักวิญญาณมิติกว้างและสำนักมารแปรดารา พวกเขาต้องการประลองตัดสินกับสหายเต๋าในวันที่ห้าเดือนห้า เพื่อสะสางทุกความแค้นต่อกัน!’
‘หวนเทียนตู้ขอให้ข้าเป็นคนกลางในการแจ้งเรื่องราวนี้แก่สหายเต๋า หากมีความเคลือบแคลงใดในใจ โปรดเผาจดหมายนี้ แล้วฟู่ผู้นี้จะไปหาเจ้าด้วยตนเอง’
ลงชื่อ ‘ฟู่ชิงอวิ๋น’ ท้ายจดหมาย
หลังจากอ่านจดหมายฉบับนี้ ซูอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่เดิมเขาวางแผนจะกำจัดเยี่ยเซียว ช่วยเหลือเยี่ยอวิ๋นหลัน และจากนั้น เขาจะไปไล่สะสางขุมอำนาจศัตรูทีละแห่ง
ทว่าไม่คิดเลยว่าเหล่าขุมอำนาจศัตรูจะร่วมมือกัน คิดประลองปิดบัญชีกับเขาซูอี้ ณ วันที่ห้าเดือนถัดไป!
สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของซูอี้
ทว่าหลังจากครุ่นคิดสักครู่ เขาก็พอเข้าใจได้บ้าง
ในโลกหล้าทุกวันนี้ ขอบเขตวงล้อวิญญาณเป็นตัวแทนอำนาจต่อสู้สูงสุด
และด้วยเหตุนี้ การที่เขาสังหารตัวตนทั้งยี่สิบห้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากฝ่ายศัตรู จึงส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!
ยิ่งกว่านั้น ในขณะนั้น เขายังเผยด้วยว่าจะตามล้างแค้นในภายหน้า
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจหากขุมอำนาจศัตรูจะร่วมมือกันล่วงหน้าเพื่อต่อสู้กับเขาแบบหมาหมู่
ทว่า สถานการณ์เช่นนี้ยังคงทำให้ซูอี้รู้สึกพิกลเล็กน้อย
ในสถานการณ์ปกติ การต่อสู้แบบแผนรุมหนึ่งเช่นนี้จะเก็บเงียบไว้ก่อนยังได้ เหตุใดต้องรีบร้อนประกาศสงคราม?
ควรทราบว่าขณะนี้คือวันที่สิบสี่เดือนสี่ และเขาเพิ่งจะสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณพวกนั้น หลังผจญมหาภัยพิบัติไปเมื่อสามวันก่อน
และสามวันต่อมา กองกำลังศัตรูกลับร่วมมือ ประกาศจะสะสางความแค้นทั้งหมดกับเขาในวันที่ห้าเดือนห้า
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกว่าศัตรูมีความมั่นใจมากพอจะรับมือเขาได้ ดังนั้นจึงรีบร้อนประกาศสงคราม
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ซูอี้ก็ยกมือเผาจดหมาย
เขาตัดสินใจจะพบฟู่ชิงอวิ๋น
“ซินจ้าว นั่งสิ”
ซูอี้ชี้ไปที่โขดหินปูนข้างกาย
เหวินซินจ้าวนั่งลงด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ซู เล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับศึกวันนี้ได้หรือไม่?”
หญิงสาวใช้มือเท้าแก้ม ใบหน้างดงามของนางอาบไล้รัศมีแสงจันทร์จาง ๆ ดูราวนางสวรรค์จุติหล้า
แค่เพียงทัศนา ซูอี้ก็รู้สึกเป็นสุข
คนงามนั้นดุจดั่งสุราเลิศ ยิ่งงามยิ่งกลมกล่อม
“ศึกวันนี้ ไม่มีสิ่งใดควรค่ากล่าวถึง”
ซูอี้จิบสุรากล่าว “ทว่า วิถีที่เยี่ยเซียวฝึกฝนนั้นควรค่าให้กล่าวถึงสักพัก มันอาจช่วยเจ้าขัดเกลาวิชาดาบของเจ้าได้”
ว่าแล้ว เขาก็วิเคราะห์เรื่องราวให้เหวินซินจ้าวฟังทีละขั้นตอน
เหวินซินจ้าวค่อย ๆ ถลำสู่เรื่องราวอันเปี่ยมมนตร์เสน่ห์
เมื่อซูอี้กล่าวจบ หญิงสาวก็ตะลึงเสียจนจมในภวังค์ครุ่นคิดลึกล้ำ
นี่คือการชี้แนะด้วยวาจา ศิลาจากหุบเขาแปรเปลี่ยนเป็นหยกได้ฉันใด ความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์การต่อสู้จึงสามารถทำให้ผู้อื่นประจักษ์แจ้ง เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ฉันนั้น
ใต้แสงจันทร์ ปรากฏร่างของเยี่ยอวิ๋นหลันขึ้นจากไกล ๆ
ซูอี้ทำท่าทางบอกอีกฝ่ายให้รอเดี๋ยว จากนั้นเก็บสองเท้าซึ่งแช่อยู่ในลำธาร สวมถุงเท้ารองเท้าแล้วจึงลุกขึ้นชี้ไปยังป่าท้อซึ่งอยู่ไม่ไกล
เหวินซินจ้าวยังคงจมจ่อมกับภวังค์รู้แจ้ง และซูอี้ก็ไม่ต้องการให้นางถูกรบกวน
“คิดแล้วหรือว่าจะทำการใดต่อ?”
ซูอี้ถามเมื่อเดินลึกเข้าไปในป่าท้อ
เยี่ยอวิ๋นหลันพยักหน้า “ข้าวางแผนไว้ว่าจะกลับตระกูล”
หลังจากเขาสงบใจได้ เขาก็ตระหนักได้ถึงเรื่องที่ซูอี้ไม่ได้ต้องการ ‘การปกป้อง’ จากตนเองแม้แต่น้อย และในที่สุดจึงตัดสินใจออกเดินทางกลับไปสู่ภูมิคังเสวียน
ซูอี้กล่าว “ท่านไม่กลัวว่าจะถูกนำมาพัวพันในเรื่องของข้าหลังกลับสู่ตระกูลหรือ?”
เยี่ยอวิ๋นหลันตอบ “หากพวกเขากล้าฆ่าข้า คงทำไปนานแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องรอถึงยามนี้ และจากกฎตระกูลเยี่ย ขอเพียงข้ายังอยู่ในตระกูล จะไม่มีผู้ใดกล้าแตะข้า”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “ในเมื่อท่านตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่โน้มน้าวให้เปลี่ยนใจ”
เขากล่าวพลางหยิบแผ่นหยกโบราณที่เตรียมไว้ออกมาให้เยี่ยอวิ๋นหลัน “แผ่นหยกนี้บรรจุประสบการณ์และการหยั่งรู้บางอย่างเกี่ยวกับการก้าวสู่การเป็นจักรพรรดิ โปรดรับมันไว้”
เยี่ยอวิ๋นหลันอึ้ง กล่าวโดยไม่อยากเชื่อ “ก้าวสู่การเป็นจักรพรรดิ?”
ซูอี้พยักหน้า เอ่ยตอบ “ก่อนจะขึ้นเป็นจักรพรรดิ ท่านต้องเตรียมการมากมาย หากพยายามหยั่งรู้ด้วยตนเองจะสิ้นเปลืองเวลาและแรงกายใจไปโดยใช่เหตุ บางทีดาบอาจเบนเบี่ยง การเตรียมการไม่สมบูรณ์ ท่านก็จะติดอยู่ในวิถีวิญญาณ หมดหวังทะยานขึ้นอีก”
“แผ่นหยกนี้ไม่ใช่มรดกอันลึกล้ำ แต่มันสามารถช่วยไม่ให้ท่านต้องหลงทาง หาทิศทางสู่จักรพรรดิเจอได้ง่ายขึ้น”
เยี่ยอวิ๋นหลันอยู่ในขั้นกลางของขอบเขตวงล้อวิญญาณ และมีหวังจะเข้าสู่การเป็นจักรพรรดิในภายหน้า
นอกเหนือจากนั้น ซูอี้เคยสังเกตปราณมหาวิถีของเยี่ยอวิ๋นหลัน แม้ว่าลุงผู้นี้ของเขาจะไม่เคยได้รับโอกาสให้ช่วยเหลือใด ๆ นับแต่ปรากฏกายจวบยามนี้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพื้นฐานมหาวิถีของเยี่ยอวิ๋นหลันแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าหวังจงหยางแห่งหอดาบศีตอุดรเลย
หากพัฒนาได้มากกว่านี้ เขาจะสามารถต่อกรกับตัวตนเยี่ยงผูเจวี๋ยจากเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงได้
ต้องทราบว่าผูเจวี๋ยคือหนึ่งในห้าสุดยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณแห่งภูมินภาจรัส!
ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าอย่างไร เยี่ยอวิ๋นหลันก็คือลุงของเขาในชาตินี้ และเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะกลับตระกูลเยี่ย ซูอี้จึงต้องทำเช่นนี้โดยช่วยไม่ได้
อารมณ์ของเยี่ยอวิ๋นหลันกระเพื่อมผัน ซูอี้อยู่เพียงในขอบเขตสยายวิญญาณ เขาจะมีประสบการณ์ในการพิสูจน์เต๋าสู่จักรพรรดิได้เช่นไร?
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็ยั้งปากไม่เอ่ยถาม
อันที่จริง ยามนี้เยี่ยอวิ๋นหลันรู้เต็มอกว่าหลานชายของตนเหนือล้ำยิ่งกว่าพวกที่อ้างกันว่าเป็นอัจฉริยะทั่วโลกหล้า
เขามีความลับมากมายเหลือเกิน
มากจนกระทั่งการที่มีประสบการณ์การพิสูจน์เต๋างอกออกมายามนี้ ก็ดู… ไม่แปลกนักแล้ว
“ซูอี้ ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะรักษามันไว้ให้ดี”
เยี่ยอวิ๋นหลันรับแผ่นหยกมา
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “แผ่นหยกนี้มีการทำเครื่องหมายไว้ หากข้าไปยังภูมิคังเสวียนในภายหน้า ข้าจะไปหาท่านทันที”
เยี่ยอวิ๋นหลันตะลึง กล่าวว่า “หากเจ้าฆ่าเยี่ยเซียวไป การไปยังภูมิคังเสวียนจะอันตรายต่อเจ้าเกินไปนะ”
ภูมิคังเสวียนคือฐานกำลังหลักของตระกูลเยี่ย!
“อย่างไรเสีย หนี้แค้นแม่ข้าก็ต้องสะสาง”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ ข้าคิดเพียงว่านางถูกซูหงหลี่สังหาร ข้าจึงทำให้ซูหงหลี่เสียใจจนฆ่าตัวตายที่นครหลวงอวี้จิง ทว่ายามนี้ ดูเหมือนว่านางจะอยู่ภายใต้การบงการของใครสักคนนับแต่มายังมหาทวีปคังชิงแล้ว”
“ในฐานะลูกชาย ข้าก็ควรทวงถามความยุติธรรมให้แก่นาง”
“การฆ่าเยี่ยเซียวเป็นเพียงจุดเริ่มต้น”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็กล่าวกับเยี่ยอวิ๋นหลันว่า “ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ไม่ต้องใส่ใจมัน ดูแลตนเองก็พอ”
สีหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลันแปรเปลี่ยนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ลูบจมูกหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ ข้าถือตนเป็นเพียงญาติผู้ใหญ่ มองเจ้าเป็นหลานชายผู้ต้องการการดูแลอารักขา ทว่ายามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าก็ตระหนักแล้วว่าข้าต่างหากที่ควรรับการอารักขา…”
กล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ
ชายหนุ่มผู้นี้เติบโต พึ่งพาตนเองลำพัง เชิดหน้าภาคภูมิต่อโลกหล้าได้แล้ว อนาคตสดใสงดงาม!
ไม่ใช่ว่านี่คือสิ่งที่ญาติผู้ใหญ่คาดหวังให้เกิดขึ้นที่สุดหรือ?
เยี่ยอวิ๋นหลันจากไปเงียบ ๆ ในคืนนั้น
ซูอี้มองร่างของเขาหายลับหุบเขาสิ้นวีรชนท่ามกลางนภาราตรี คิดในใจว่าหากตนไม่ได้เวียนวัฏสงสารกลับมา แต่เป็นเกิดมาในชาตินี้จริง ๆ การมีลุงผู้ทุ่มเทเพื่อเขาเพียงนี้ไม่ใช่มงคลชีวิตหรือ?
…
ลำธารกระฉอกริน จันทราส่องสว่างเฉิดฉาย
เหวินซินจ้าวยังคงอยู่ระหว่างการทำความเข้าใจ นั่งนิ่งอยู่ข้างลำธาร แสงจันทร์ล้อไปกับสายหมอก สร้างเสน่ห์ศักดิ์สิทธิ์เหนือสรวงแก่รูปลักษณ์ดุจภาพวาดของหญิงสาว
ซูอี้ไม่ต้องรอนาน ฟู่ชิงอวิ๋น เจ้าของหอเมฆาเขียวในชุดคลุมก็ปรากฏขึ้นที่หุบเขาสิ้นวีรชนในสภาพกระเซอะกระเซิง
“เดิมที่นี่เคยเป็นที่พำนักของตระกูลเยี่ย ทว่าในยามนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ หรือตัวตนเช่นเยี่ยเซียวจะถูกสหายเต๋าเอาชนะไปแล้วหรือ?”
ทันทีที่เขามาถึง ฟู่ชิงอวิ๋นก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน
ซูอี้ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้
ในฐานะผู้เดินบนเส้นทาง ‘ผู้บันทึก’ หอเมฆาเขียวจึงรู้เรื่องราวในโลกหล้าดียิ่ง
ยิ่งกว่านั้น ดอกท้อทั้งหมดบนหุบเขาสิ้นวีรชนยังสลายหาย ร่องรอยการต่อสู้ถูกทิ้งไว้ทั่ว ไม่ว่าใครที่เห็นก็พอเดาคำตอบได้บ้าง
ทว่า ซูอี้แปลกใจเล็กน้อย ที่ฟู่ชิงอวิ๋นรู้จักตระกูลเยี่ยด้วย
ซูอี้กล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้จักตระกูลเยี่ย คงรู้ด้วยว่าพวกเขามาจากภูมิคังเสวียน หรือก็คือเวิ้งแปดดารา ถูกหรือไม่?”
ฟู่ชิงอวิ๋นพยักหน้า “ข้าทราบนิดหน่อย”
ซูอี้กล่าว “เช่นนั้นเจ้าเข้าใจเรื่อง ‘เวิ้งดารา’ พวกนี้หรือไม่?”
ฟู่ชิงอวิ๋นครุ่นคิดสักพัก จึงตอบว่า “ในหนังสือโบราณเล่มหนึ่งชื่อ ‘สะท้อนดารา’ ที่หอเมฆาเขียวของข้ารวบรวมได้ มีบันทึกเกี่ยวกับ ‘เวิ้งเก้าดารา’ และโลกสองสามแห่งที่เกี่ยวข้องอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการทราบ ข้าจะไม่ปิดบัง”
ซูอี้อดแสดงท่าทีสนใจออกมาไม่ได้
นี่คือครั้งแรกที่เขาได้ยินใครสักคนกล่าวนาม ‘เวิ้งเก้าดารา’ ออกมาอย่างชัดเจน
และจากมุมมองนี้ หอเมฆาเขียวซึ่งอยู่ในบันทึกสีชาดครอบโลกาหนึ่งวิถี ก็จะเกินกว่าความธรรมดาตามที่คาดไว้มากนัก!
——————————–