บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 754 สิ่งใดคือ ‘สิ่งที่เกิน’
ตอนที่ 754 สิ่งใดคือ ‘สิ่งที่เกิน’
ตอนที่ 754 สิ่งใดคือ ‘สิ่งที่เกิน’
แสงจันทร์ทอดตัวลงสู่ป่าท้อดุจสายน้ำ
ฟู่ชิงอวิ๋นอธิบายถึงจดหมายเหตุเกี่ยวกับเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าที่เขาพบในบันทึก ‘สะท้อนดารา’
เวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้ามีอยู่นับแต่บรรพกาล เป็นดั่งมหากำแพงเก้าชั้นซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วจักรวาลพร่างดาวอันไพศาล
เก้ามหาแดนดินตั้งอยู่ ณ ใจกลางจักรวาลพร่างดาว
รัศมีภายนอกถูกโอบล้อมโดยเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้า
เวิ้งเก้าดาราซึ่งมหาทวีปคังชิงตั้งอยู่เป็นเพียงหนึ่งในนั้น
ใน ‘สะท้อนดารา’ เวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าถูกบรรยายไว้ว่าเป็นเหมือนวงกลมขนาดยักษ์ และที่ตั้งของเก้ามหาแดนดินก็อยู่ ณ ใจกลางวงกลมนั้น
ส่วนจักรวาลพร่างดาวที่อยู่นอกเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้านั้น ไม่ได้มีระบุใน ‘สะท้อนดารา’
นอกจากนี้ ‘สะท้อนดารา’ ยังระบุชื่อของเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าไว้ด้วย
เวิ้งหนึ่งดาราถูกเรียกว่าภูมิคังเสวียน เวิ้งสองดาราคือภูมิคังเสวี่ย เวิ้งสามดารา…
จนกระทั่งเวิ้งเก้าดารา นามของมันคือภูมิคังชิง
เมื่อทราบเช่นนี้ ซูอี้ก็พบจุดที่น่าสนใจจุดหนึ่ง
นามแห่งภูมิในเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าล้วนประกอบด้วยคำว่า ‘คัง’
ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน
ใน ‘สะท้อนดารา’ ที่ตั้งของเก้ามหาแดนดินถูกระบุไว้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ซูอี้ประหลาดใจ
ทว่า นี่ก็ยืนยันการอนุมานเดิมของเขาด้วยเช่นกัน
นั่นคือ สำหรับผู้ฝึกตนจากเก้ามหาแดนดิน โลกที่ ‘เวิ้งเก้าดารา’ ตั้งอยู่นั้นอยู่นอกจักรวาลพร่างดาวอย่างแท้จริง!
หากจะออกผจญจักรวาลพร่างดาวจากเก้ามหาแดนดิน ขั้นแรกก็ต้องผ่านเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าเสียก่อน จึงจะเข้าไปสู่ห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวได้
“เวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าเป็นวงกลม และเก้ามหาแดนดินคือจุดศูนย์กลางวงกลม เหตุใดจึงรู้สึก้หมือนว่าเก้ามหาแดนดินถูกล้อมไว้กันนะ…”
ซูอี้ครุ่นคิด
เขาจำคำพูดของท่านเทพแห่งความกรุณาได้
ไม่ว่าผู้ใดที่มาจากเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าเมื่อเดินทางไปสู่นอกจักรวาลพร่างดาว ล้วนจะถูกเหล่าพัศดีจับกุมในฐานะนักโทษ!
ในคราแรก เมื่อครั้งที่ท่านเทพแห่งความกรุณากำลังข้ามจักรวาลพร่างดาวไปสู่เวิ้งหกดารา เขาก็ถูกพัศดีผู้หนึ่งจับกุม ไปขังไว้ที่ ‘ถ้ำโลหิตหมิงหลิง’
ยามนี้ ซูอี้รู้แล้วว่าเวิ้งหกดารามีนามว่า ‘ภูมิคังหวง’
ในทางเดียวกัน จากคำกล่าวของท่านเทพแห่งความกรุณา ผู้ใดที่จะออกจากเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าและถลำลึกสู่ห้วงแห่งจักรวาลพร่างดาวจะถูกมองว่าเป็น ‘นักโทษ’ ที่ต้องจับกุม!
เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ตระหนักมากขึ้นทุกที ว่าการจัดเรียงของเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าผิดปกติ
มันดูราวกับกรงขังเก้าแห่งซึ่งล้อมวงอยู่ในจักรวาลพร่างดาว และดูเหมือนเก้ามหาแดนดิน ณ ใจกลางจะถูกคุมขังอยู่!โนเวลพีดีเอฟ
“หากเป็นเช่นนี้ ความจริงก็ช่างโหดร้ายนัก…”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ขุมกำลังของพวก ‘พัศดี’ ลึกลับเหล่านั้น ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวไว้ว่าคือ ‘สำนักมรรคาสวรรค์’
เหตุผลนั้นเป็นเพราะในถ้ำโลหิตหมิงหลิง มีแท่นศิลาซึ่งจารึกข้อความ ‘มรรคาแห่งสวรรค์ ลดสิ่งที่เกิน ซ่อมสิ่งที่ขาด’ ไว้
สิ่งใดคือ ‘สิ่งที่เกิน’?
คำตอบนั้นแสนง่าย ในสายตาเหล่าพัศดี ตัวตนซึ่งออกจากเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้าและเข้าสู่ห้วงลึกในจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นคือ ‘สิ่งที่เกิน’ และถูกปฏิบัติเช่นนักโทษ!
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คือการคาดเดาในปัจจุบันของซูอี้
ความจริงคือสิ่งใด? หากอิงเพียงเบาะแสในยามนี้ ก็ยากที่ซูอี้จะหาคำตอบที่ชัดเจนได้
“จะว่าไป แสงสว่างแห่งโลกกว้างอุบัติแล้ว และตัวตนซึ่งอยู่ลึกเข้าไปข้างในถ้ำอุกกาบาตก็คงจะปรากฏขึ้นในเร็ววัน”
“คนผู้นั้นคงไม่แคล้วเป็น ‘พัศดี’ ผู้เคยทำร้ายเย่ซุ่นในเมืองผีหลิงหลงมาก่อน”
“ยามเมื่อข้าออกจากเกาะเซียนพระสุเมรุ คนผู้นี้เคยเห็นแล้วว่าข้านำเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจากไปด้วย”
“นี่ยังหมายความว่าหากเขาออกมาจากถ้ำอุกกาบาต ไม่ช้าก็เร็วต้องมาหาข้าเป็นแน่”
ซูอี้ครุ่นคิด ‘สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือรอกระต่ายออกจากโพรง ขอเพียงจับเขาได้ ข้าก็จะได้รับรู้ถึงที่มาของเหล่าพัศดี และความลับเกี่ยวกับเวิ้งดาราใหญ่ทั้งเก้า การจองจำแห่งยุคมืดและอื่น ๆ’
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านมาพยักหน้าน้อย ๆ ให้ฟู่ชิงอวิ๋น “ขอบคุณสหายเต๋าสำหรับคำชี้แนะ ข่าวคราวที่เจ้าเล่าสำคัญต่อข้ามาก”
ฟู่ชิงอวิ๋นรีบโบกมือกล่าวยิ้ม ๆ “ก็แค่เรื่องบางเรื่องในหนังสือโบราณ ข้ายินดีที่ได้ช่วยสหายเต๋า”
ต่อมา ซูอี้ก็ไถ่ถามถึงเรื่องที่ขุมกำลังต่าง ๆ ประกาศสงครามต่อเขา
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็กล่าวว่า “วันก่อน ขุมกำลังเหล่านั้นพ่ายแพ้ยกใหญ่ ทว่ายามนี้กลับรวมตัวกันประกาศสงครามต่อข้าราวไม่กลัวเกรง ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นหรือ?”
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าวด้วยแววตาลึกล้ำ “พวกเขาไม่ได้ไร้ความกลัว แต่กังวลว่าเจ้าจะไปเคาะประตูล้างแค้นพวกเขาถึงที่ทีละคน”
เขาเล่าเหตุผลออกมาทีละข้อ
ในวันที่สิบเอ็ดเดือนสี่ ซูอี้ก้าวข้ามหายนะและสังหารผู้ฝึกตนยี่สิบห้าคนในขอบเขตวงล้อวิญญาณในคราเดียว ซึ่งสร้างเป็นเรื่องใหญ่โตทั่วโลกา
ในขณะเดียวกัน นี่ยังทำให้ขุมกำลังปรปักษ์ของซูอี้อกสั่นขวัญแขวน กินไม่ได้นอนไม่หลับเช่นกัน
ควรค่าจดจำว่าในหมู่ขุมกำลังปรปักษ์เหล่านั้น มีตัวตนอันแข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าซูอี้สามารถสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้ทั้งหมดโดยลำพัง ขุมกำลังใดมีหรือที่จะไม่ตื่นกลัว?
เป็นเพราะพวกเขากังวลว่าซูอี้จะไล่เคาะประตูคิดบัญชีกับพวกเขาถึงเหย้าทีละกลุ่ม พวกเขาจึงรวมกลุ่มเป็นหนึ่งเพื่อชิงคิดบัญชีตัดความแค้นกับซูอี้เสียแต่เนิ่น ๆ
หลังซูอี้ฟังจบ เขาก็อดระเบิดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แล้วหากข้าปฏิเสธคำประกาศสงครามของพวกเขาเล่า?”
ฟู่ชิงอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเขาก็จะแตกสลายเป็นเศษเสี้ยว ขุมกำลังแหลกสลายโดยสมบูรณ์ และกบดานตามที่ต่าง ๆ ในโลกหล้า รอหาโอกาสล้างแค้นสหายเต๋า”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “ถึงยามนั้น พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะสหายเต๋าเป็นแน่ และยังจะทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับสหายเต๋าด้วย”
“หากเกิดเหตุเหล่านี้ขึ้นย่อมกลายเป็นปัญหายุ่งยาก และสหายเต๋าคงไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นแน่”
ซูอี้นิ่งฟัง รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง และพยักหน้า “ปัญหาเยี่ยงนั้นน่ารำคาญจริงแท้ น่าหงุดหงิดนัก”
เขาตัดสินใจไปแล้วว่าในครึ่งปี ตนเองและพวกนักบวชลำดับเก้าจากโถงหลงลืมจะไปยังภูมิมืดมิดด้วยกัน
หากอันตรายแฝงเหล่านี้ยังไม่ถูกถอนรากถอนโคนก่อนการเดินทาง มันจะกลายเป็นภัยต่อราชวงศ์เซี่ยและคนรอบกายเขา
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าว “เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้ว่าสหายเต๋าจะไม่ปฏิเสธ อันที่จริง ฟู่ผู้นี้คิดว่า หากสามารถตัดสินแพ้ชนะได้ในหนึ่งศึก คงเป็นเรื่องดีของสหายเต๋า แน่นอน เงื่อนไขอยู่ตรงที่หากสหายเต๋าสามารถเอาชนะพวกเขาได้นะ”
ซูอี้กล่าว “หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาจึงตั้งเวลาเป็นวันที่ห้าของเดือนถัดไปเล่า?”
ฟู่ชิงอวิ๋นครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “พวกเขาน่าจะใช้ประโยชน์จากเวลาในการเตรียมตัวทำบางสิ่ง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาคงไม่โง่พอจะรนหาที่ตาย ในเมื่อพวกเขากล้าประกาศสงคราม แปลว่าต้องมีแผนรองรับ”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “คำกล่าวของเจ้าเหมือนสิ่งที่ข้าคาดไว้”
ฟู่ชิงอวิ๋นฉวยโอกาสกล่าวถาม “สหายเต๋าจะเข้าต่อสู้หรือไม่?”
ซูอี้ถาม “พวกเขาจะประมือกับข้าที่ใด?”
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าวโดยไร้ลังเล “เมืองผีหลิงหลง!”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “เมื่อสองทัพเผชิญหน้า ควรรู้เขารู้เราและให้ความสำคัญกับกาล สถานที่ และผู้คน หรือในความคิดของพวกเขา เมืองผีหลิงหลงจะนับเป็น ‘สถานที่’ อันเหมาะสม?”
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะใช้ที่แห่งนั้นได้หรือไม่ แต่เท่าที่ข้ารู้ นับแต่การอุบัติของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง เมืองผีหลิงหลงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย และสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือซากของตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิได้ปรากฏขึ้นในเมืองผีหลิงหลง!”
ซูอี้หนังตากระตุก
กาลก่อน เขาและเย่ซุ่นเคยไปยังเมืองผีหลิงหลง และที่เมืองผีหลิงหลงนี้เอง เย่ซุ่นก็ได้รับซากร่างของตนเองที่ทิ้งไว้เมื่อสามหมื่นปีก่อน!
…วาจาของฟู่ชิงอวิ๋นทำให้ซูอี้ตระหนักว่าเย่ซุ่นไม่ใช่จักรพรรดิเพียงผู้เดียวที่สูญสิ้นในเมืองผีหลิงหลงเมื่อนานมาแล้ว!
‘นานมาแล้ว พัศดีผู้สังหารเย่ซุ่นก็ฆ่าจักรพรรดิเหล่านั้นหรือ?’
ซูอี้ครุ่นคิดในใจ
ฟู่ชิงอวิ๋นเอ่ยแนะ “หากไม่แน่ใจ เจ้าควรใช้โอกาสนี้ไปเยือนเมืองผีหลิงหลงด้วยตนเองดูเถิด”
ซูอี้ส่ายหน้า “ในเมื่อพวกเขากล้าเลือกสถานที่นี้เพื่อต่อสู้คิดบัญชีล่วงหน้า พวกเขาคงเตรียมการมากันแล้ว ต่อให้ข้าไปหรือไม่ ผลก็ไม่ต่างกัน”
หลังชะงักไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “โปรดไปบอกพวกขุมกำลังอันเป็นปรปักษ์กับข้าทีว่าในวันที่ห้าเดือนห้า ข้าจะไปดวลด้วยตามนัดหมาย”
เขากล่าวด้วยจิตใจที่คลุมเครือเล็กน้อย
บังเอิญนัก วันที่ห้าเดือนห้า ก็เป็นวันที่มารดาของเขา เยี่ยอวี่เฟยสิ้นใจเช่นกัน
“ตกลง”
ฟู่ชิงอวิ๋นตอบรับอย่างยินดี
หลังจากพูดคุยกันสักพัก นายแห่งหอเมฆาเขียวก็ละล่องร่างจากไป
ซูอี้จมอยู่ในภวังค์ความคิด
เนิ่นนานจากนั้น เขาจึงสรุปได้
ว่าเหตุที่ขุมกำลังเหล่านั้นร่วมมือกัน เป็นเพราะกังวลว่าจะถูกเขาไล่คิดบัญชีเรียงหัวจริง ๆ
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังอยากใช้การดวลในวันที่ห้าเดือนห้า เพื่อตัดความแค้นทั้งปวงระหว่างเขาและพวกตนด้วย หาไม่ ตราบใดที่พวกเขายังอยู่คงอกสั่นขวัญแขวน กินไม่ได้นอนไม่หลับไปตลอดแน่
ทว่า ในเมื่อพวกเขากล้าประกาศสงคราม แปลว่าคงมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง และอาจกระทั่งคิดว่ามีไพ่ตายมากพอจะฆ่าตนเองได้อีกด้วย!
ทว่า ไพ่ตายนั้นคือสิ่งใด?
ซูอี้ไม่อาจคาดเดาได้
ทว่าเขาคร้านเกินกว่าจะคิด
จากการฝึกตนของชายหนุ่ม ตัวเขาไร้ซึ่งความกลัวต่อทุกตัวตนในวิถีวิญญาณแห่งโลกนี้
หากเล่นไม้ตายใด ๆ…
เขาจะกลัวได้เช่นไร?
คืนนั้น ซูอี้และเหวินซินจ้าวออกจากหุบเขาสิ้นวีรชน และหวนคืนสู่นครหลวงจิ๋วติ่ง
…
และคืนนั้นเช่นกัน
ทะเลวิญญาณโกลาหล
ชิงลั่ว ชายหนุ่มชุดเทาใช้มือไพล่หลัง ย่างเท้าสู่อากาศ ยืนอยู่บนผิวสมุทรที่ทางเข้าของซากหอเซียนดาบ
ดวงตาของเขาฉายความเย็นชาแปลกประหลาดเอาไว้ ขณะพึมพำว่า “เทียนหลี ครานี้ข้าจะช่วยเจ้าออกจากสถานที่อันอ้างว้างนี้ให้ได้ จากนี้ไป เราจะไม่แยกจากกันอีก…”
ร่างผอมบางชิงลั่วในยามนี้ดูเหมือนถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงโปร่งใสสีเงิน
เส้นผมยาวสีดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวหิมะในพริบตา ผิวหนังแตกแห้งระแหงทุกแห่งหนราวถูกสูบพลังชีวิต และชราวัยลงนับปีไม่ถ้วน
แขนขวาของเขาเอื้อมไปดึงดาบเล่มหนึ่งจากเบื้องหลัง และเห็นได้ชัดว่ามีคมดาบสีขาวหิมะผุดขึ้นจากกระดูกสันหลัง เจิดจ้าพร่างพรายท่ามกลางรัตติกาล
เอี๊ยด! เอี๊ยด! เอี๊ยด!
ทุกขณะที่ดาบสีขาวหิมะถูกชักออก มันก็ส่งเสียงครูดแหลมสูงราวปีศาจขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชวนให้ผู้คนตัวสั่น
ในขณะเดียวกัน ราวกับสัมผัสได้ถึงอันตราย พลังของค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์ซึ่งปกคลุมทางเข้าของซากหอเซียนดาบอยู่พลันกู่คำราม!