บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 756 ศึกอันตระการตาที่สุดในโลกหล้า
ตอนที่ 756: ศึกอันตระการตาที่สุดในโลกหล้า
ตอนที่ 756: ศึกอันตระการตาที่สุดในโลกหล้า
ชิงลั่วเปล่งเสียงกรีดร้องแหลม
ร่างทั้งสองท่อนกระดิกอย่างยากลำบากบนอากาศ ราวจะต่อประสานเยียวยา
ทว่าก็ยังทำไม่ได้
และเมื่อชิงลั่วเห็นเทียนหลีอยู่ไม่ไกล ร่างของเขาก็ร่วงหล่นพร้อมเสียงร้อง
“เทียนหลี…!!”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความลนลานและเจ็บปวดหาใดเปรียบ
ปรากฏว่าภายใต้การโจมตีของชายชราตาบอด ร่างอันเลือนรางใกล้จางหายของเทียนหลีก็พังทลายลงโดยสมบูรณ์ หลงเหลือเพียงเงาร่างขมุกขมัวอยู่บนอากาศ
“ชิงลั่ว ที่จริงแล้ว… นับแต่ยามที่เจ้าและข้าร่วมมือกันฆ่าไป๋จ่างเฮิ่น ข้าก็คาดไว้แล้วว่าจะมีวันนี้”
เสียงของเทียนหลีแผ่วเบาตะกุกตะกัก อ่อนแรงไร้พลัง “ทว่าสุดท้าย ได้ตายกับเจ้า ข้าก็พอใจแล้ว…”
เสียงยังคงสะท้อน และร่างของเทียนหลีก็หายไปโดยสมบูรณ์
“เทียนหลี…”
ชิงลั่วไม่หลงเหลือวิญญาณ
เขาดูไม่อาจรับความสูญเสียนี้ได้ จึงละทิ้งการดิ้นรนอย่างสมบูรณ์ ร่างของเขาถูกฉีกสะบั้นเป็นสองส่วน ระเบิดเป็นพิรุณแสงสลายไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกหนิงซือฮวาก็นิ่งงันไปชั่วขณะ
ชิงลั่วและเทียนหลีต่างเป็นจิตวิญญาณดาบ ความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันช่างน่าซาบซึ้งใจ
ทว่าความตายของพวกเขากลับยากจะสงสาร
เพราะทุกคนรู้ว่าหากปล่อยให้ชิงลั่วบุกเข้ามาในหอเซียนดาบได้ ไร้มาตรการรับมือที่ซูอี้ทิ้งไว้ เกรงว่าวันนี้ชิงลั่วคงไม่ปล่อยพวกเขาคนใดรอดชีวิต!
พายุจบลงที่นี่
การมาถึงของชายชราตาบอดปลุกเร้าความสนใจของคนมากมาย
หยวนเหิงและชายชราตาบอดรู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงรีบแนะนำให้ทุกคนรู้จัก
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นชื่นมื่นในไม่ช้า
เมื่อพวกเขารับรู้ว่าการมาของชายชราตาบอดเป็นไปตามคำสั่งของซูอี้ ทุกคนก็เริ่มไถ่ถาม
“ผู้อาวุโส พี่ซูอี้ยังอยู่ดีหรือไม่?”
เหวินหลิงเสวี่ยถามก่อนอย่างคาดหวังคำตอบ
แม้ชายชราตาบอดจะเสียดวงตาไป แต่เมื่อเขา ‘เห็น’ รูปลักษณ์งดงามหยดย้อยของหญิงสาว เขาก็สะดุ้ง
ลอบคิดในใจว่า สาวน้อยนางนี้มีสีหน้าแววตาเป็นห่วงยิ่ง เกรงว่าคงมีความสัมพันธ์กับคุณชายซู!
“แม่นาง ตาเฒ่าผู้น้อยหาใช่ผู้อาวุโสไม่ เป็นเพียงผู้น้อยรอบกายคุณชายซูเท่านั้น”
ชายชราตาบอดยิ้มอย่างถ่อมตน
ต่อมา เขาก็เริ่มตอบคำถามของทุกคนทีละข้อ
ท้ายที่สุด เมื่อเห็นว่าคำถามของทุกคนมีซูอี้เป็นศูนย์กลาง เขาจึงได้อธิบายประสบการณ์ในต้าเซี่ยของซูอี้เป็นฉาก ๆ
ทุกคนต่างตะลึงไปกับมัน
ยามนั้นเอง พวกหนิงซือฮวาจึงรู้ว่ายามนี้ ซูอี้กลายเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตสยายวิญญาณ โด่งดังทั่วหล้า และสังหารมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตวงล้อวิญญาณมากมาย!
เมื่อชายชราตาบอดเล่าเรื่องราวเหล่านี้ เขายังสังเกตเห็นด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉาจิ่นและซูอี้ผิดปกติ
เขาอดรำพึงในใจไม่ได้ มิน่าเล่า คนเกียจคร้านอย่างคุณชายซูจึงห่วงเกี่ยวกับทุกคนที่นี่ ที่แท้ก็มีคนที่ไม่อาจฝากให้ผู้ใดอยู่ที่นี่นี่เอง
ชายชราตาบอดไม่ได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดเหนือธรรมดา
การแทรกแซงความรักของผู้เยาว์ไม่ใช่เรื่องสมควร ยิ่งกว่านั้น หากคนเช่นคุณชายซูไร้ผู้สืบสันดานในโลก นั่นจะเป็นปัญหาโดยแท้จริง…
“เช่นนั้นสหายเต๋าซูก็จะเริ่มสงครามกับขุมกำลังเหล่านั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเรื่องราวล่าสุด หนิงซือฮวาก็อดกล่าวไม่ได้
ชายชราตาบอดพยักหน้า “จากที่ตาเฒ่าผู้น้อยทราบ ทั่วโลกหล้าทุกวันนี้ ไม่มีผู้ใดต่อกรกับคุณชายซูได้ ขอเพียงทุกคนปลอดภัย คุณชายซูก็จะจัดการพวกเขาได้โดยไร้กังวล”
อารมณ์ของทุกคนกระเพื่อมไหว
ใครเล่าจะยังไม่ทราบว่าหากซูอี้ชนะศึกนี้ จะไม่ต่างกับการสยบโลกหล้าไว้ใต้บาท ยืนยงหนึ่งเดียวเหนือโลกา!
ทว่าขอเพียงแพ้พ่าย…
เมื่อความคิดนี้ปรากฏในใจ ทุกคนก็ปฏิเสธมันโดยไม่ยั้งคิด
ซูอี้ไร้พ่ายมานับแต่การเรืองอำนาจในเมืองกว่างหลิง แคว้นกุ่นแห่งเมืองต้าโจว
“ทุกคนรอดูเถิด ไม่มีทางที่คนเช่นคุณชายซูจะแพ้ในมหาทวีปคังชิงเล็กจ้อยนี่!”
ชายชราตาบอดมั่นใจยิ่งกว่า
และนับแต่ยามนี้เอง ชายชราตาบอดก็ร่วมอาศัยในหอเซียนดาบ
…
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน วันแล้ววันเล่า
ไม่นานนัก ข่าวก็ลือไปทั่วโลกผู้ฝึกตนแห่งต้าเซี่ย ว่าสี่มหาอำนาจโบราณ รวมถึงตระกูลหวนเผ่ามารจะร่วมมือกับขุมกำลังจากต่างโลกทั้งสามเมื่อรุมต่อสู้กับซูอี้ ณ วันที่ห้าเดือนห้า
ทันใดนั้นทั่วโลกก็เกิดเสียงฮือฮาเซ็งแซ่
“ดูเหมือนขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นจะสัมผัสอันตรายได้เช่นกัน และตระหนักว่าพวกเขาไม่ใช่คู่มือของท่านเทพเซียนซูยามอยู่ลำพัง พวกเขาจึงร่วมมือกันหมายจะแตกหักกับท่านเทพเซียนซูโดยถาวร”
ใครบางคนรำพึง
“ในเมื่อขุมกำลังเหล่านั้นกล้าประกาศสงคราม พวกเขาต้องมั่นใจเต็มที่เป็นแน่ คาดได้ว่าเมื่อศึกเริ่ม มันจะกลายเป็นศึกอันตระการตาที่สุดในโลกหล้านับแต่การมาของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง!”
ใครบางคนเปี่ยมความคาดหวัง
“มหาอำนาจเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาดีและเห็นความเป็นไปได้ในการคว้าชัย ทว่าการที่ท่านเทพเซียนซูตกลงดวลเช่นนี้… นี่เขาไม่รู้หรือไรว่าขอเพียงแพ้พ่าย นอกจากชีวิตที่ต้องเสีย กระทั่งราชวงศ์เซี่ยจะต้องแตกสลายตามเขาไปด้วย?”
บางคนประหลาดใจ
“กล่าวเรื่องนี้ยังเร็วเกินไป เมื่อผู้ชนะถูกกำหนดอย่างแท้จริง เราจะได้เห็นว่าผู้ใดจะได้หัวเราะคนสุดท้าย!”
…เกิดเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ นานาสะพัดทั่วโลกหล้า
ทั้งขุมกำลังและผู้ฝึกตนมากมายจากทั่วแดนดินต่างออกเดินทางไปยังเมืองผีหลิงหลงกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเพื่อชมศึก
ทุกคนรู้ว่าตราบใดที่เริ่มศึก มันจะมีผลกระทบแม้แต่กับทิศทางแห่งโลกา!
หากขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นแพ้พ่าย เช่นนั้นซูอี้ก็จะเถลิงเป็นหนึ่งในโลกหล้าเพียงลำพัง
หากซูอี้ปราชัย ในภายหน้าโลกหล้าก็จะยังคงปั่นป่วน วีรชนถูกแบ่งฝ่าย ขุมกำลังคงอยู่ร่วมกัน
“ข้าไม่อาจพลาดศึกนี้ไปได้”
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ตงกัวเฟิงผู้กำลังร่ำสุราก็ได้ตัดสินใจ
นับแต่ยามที่เขาเข้าสู่ ‘ร้านจำนำ’ พิศวง อารมณ์ของตงกัวเฟิงก็เปลี่ยนแปรอีกครั้ง ซื่อตรงและเยือกเย็นยิ่งกว่ากาลก่อน
เหตุผลเนื่องมาจากเขาได้รับหินลับดาบของจักรพรรดิดาบสลายโลหิต หนึ่งในสามจักรพรรดิดาบจากเส้นทางผู้ฝึกฝนปีศาจจากในร้านจำนำของเถ้าแก่เฒ่า
สมบัติชิ้นนี้ติดตามลับคมดาบ ขัดเกลาปราณข้างกายจักรพรรดิดาบสลายโลหิตมาหลายปี และถูกเจือปนด้วยประสบการณ์ ปราณ และวิชาดาบที่จักรพรรดิดาบสลายโลหิตทิ้งไว้มาช้านาน
ในระหว่างนี้ ตงกัวเฟิงทำความเข้าใจหินลับดาบนี้ทั้งวันคืน ได้รับประโยชน์มหาศาล และวิถีเต๋าของเขาก็เปลี่ยนแปรอย่างน่าตื่นตามากมาย
ทว่า ตงกัวเฟิงรู้ดีมากว่าการพัฒนาของเขาไม่อาจเทียบได้กับซูอี้ ไร้ค่าให้ทอดถอนใจโล่งอก
“หากเจ้าตาย ข้าจะเก็บศพเจ้าไปฝัง ตั้งป้ายหลุมศพให้เจ้า เพื่อที่ชนรุ่นหลังจะไม่หลงลืมว่าครั้งหนึ่งยังมีนักดาบในตำนานเช่นเจ้าอยู่บนโลกหล้า”
ตงกัวเฟิงพึมพำกับตนเอง รู้สึกพิกลเล็กน้อย
ครั้งหนึ่ง ซูอี้เคยสังหารน้องชายและสมาชิกในตระกูลของเขา
ทว่าแม้จะเป็นศัตรู แต่ตงกัวเฟิงก็ต้องยอมรับว่าซูอี้เป็นคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การให้เกียรติมาก
“แน่นอน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ตายด้วยมือของขุมกำลังใหญ่พวกนั้น พวกเขา… ไม่คู่ควร!”
ตงกัวเฟิงวางจอกสุรา ลุกขึ้นและเดินออกจากโรงเตี๊ยม
…
เหมือนเช่นตงกัวเฟิง ตัวตนผู้โด่งดังทั่วหล้าซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับซูอี้เมื่อกาลก่อนต่างออกเดินทางทีละคนสองคน มุ่งหน้าสู่เมืองผีหลิงหลงจากทุกสารทิศ
ทั้งกู่ชางหนิง ฉือเจี่ยนซู่ เฉิงผู หลวงจีนเฉินลวี่ โต้วโค่วและคนอื่น ๆ ทุกวันนี้พวกเขาต่างก็เป็นผู้ลือนาม เขียนตำนานของตนในมหาแดนดินนี้
ทว่าเทียบกับซูอี้แล้ว พวกเขายังคงห่างชั้นนัก
ณ จุดนี้ พวกเขาต่างรู้แก่ใจและรับความจริงโดยถ้วนทั่ว
นี่เหมือนดั่งความห่างระหว่างตะวันจันทราบนฟากฟ้ากับหิ่งห้อยเหนือพิภพ
ความพยายามและโอกาสไม่อาจเติมเต็มช่องว่างนี้ได้
ยิ่งมากประสบการณ์ยิ่งตระหนักถึงความจริง และต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน
ซูอี้นั้นอาจจะเป็น ‘คนรุ่นเดียวกัน’ บนวิถีเดียวกับพวกเขาเมื่อกาลก่อน
ทว่าวันนี้ ซูอี้ทิ้งพวกเขาไว้เบื้องหลังแล้ว!
และยามนี้ มหาศึกอันทรงเกียรติที่จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ก็กำลังจะถูกจัดขึ้นในเมืองผีหลิงหลง ณ วันที่ห้าเดือนห้า ผู้ใดเล่าจะยอมพลาด?
…
ในขณะที่โลกภายนอกกำลังเซ็งแซ่
สวนน้อยนภาเมฆยังคงสงบเงียบเช่นปกติ
ชีวิตของซูอี้หาได้แปรเปลี่ยนไม่ เมื่อเขากำลังฝึกฝน เขามีวินัยในตนเองอย่างยิ่ง และเมื่อไม่ได้ฝึกฝน เขาก็คร้านดุจปลาเค็ม
นาน ๆ ครั้งเมื่อสนใจจะทำ เขาก็จะไปดื่มสุราผ่อนคลายกับเหวินซินจ้าว
แน่นอน เพื่อควบคุมการฝึกฝนของชิงหว่าน พวกเขาก็ยังต้องให้กำลังใจกันและกันทุกวันคืน
ใช้ความสั้นยาวทะลวงสู่ห้วงลึก ขยี้พสุธาด้วยอสนีจากแดนสรวง
กระทั่งซูอี้ยังอดรำพึงไม่ได้เป็นครั้งคราว เทียบกับฉาจิ่นแล้ว ชิงหว่านผู้ดูงดงามดุจภาพวาด แท้จริงกลับแข็งแกร่งยิ่งระหว่างฝึกฝนคู่ และกล่าวได้ว่าเป็นสาวงามอันหาที่เปรียบไม่ได้ในโลกหล้า
บ่อยครั้งที่คนเช่นนี้จะทำให้ผู้คนหลงใหลในสุคนธรส ไม่อาจหยุดยั้ง
เมื่อกาลผันผ่าน กระทั่งเหวินซินจ้าวและเซียนหานเยียนยังสังเกตเห็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างซูอี้และชิงหว่านซึ่งระยะห่างติดลบเป็นที่เรียบร้อย
ไม่มีทางที่พวกเขาจะพลาด การเปลี่ยนแปลงของชิงหว่านเหนือชั้นเกินไป นางในกาลก่อนเป็นสาวงามผู้บริสุทธิ์สำรวม งามล้ำดุจภาพวาดเขียน
ทว่าในช่วงนี้ ทุกการเคลื่อนไหวของชิงหว่าน ทุกการขมวดคิ้ว รอยแย้มยิ้ม รูปแบบและเสน่ห์ซึ่งนางเผยโดยไม่ตั้งใจทำให้กระทั่งเหวินซินจ้าวซึ่งก็เป็นสตรียังอึ้งทึ่ง
แน่นอนว่าสิ่งที่ควรกล่าวถึงยิ่งกว่าก็คือการเปลี่ยนแปลงระดับการฝึกฝนของชิงหว่าน
นี่แหละคือจุดเด่นของการฝึกฝนคู่
แม้เหวินซินจ้าวจะไม่เข้าใจ แต่นางก็พอคาดเดาบางอย่างได้ราง ๆ และจิตใจของหญิงสาวก็พลิกผันละเอียดอ่อน
ทว่านางก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอันใดผิดแปลก
ในอดีต แม้ซูอี้จะดูเข้าถึงได้ แต่กลับให้บรรยากาศห่างเหินราวเทพเซียนจุติลงจากสวรรค์ชั้นเก้า มองโลกหล้าด้วยสายตาเย็นชา ยากที่ผู้คนจะเข้าถึงห้วงลึกในจิตใจ
ทว่ายามนี้ ด้วยความที่เขาและชิงหว่านกระทำการไร้ยางอายเหล่านั้น มันทำให้เหวินซินจ้าวรู้สึกว่าซูอี้ดูเหมือนคนที่มีชีวิตมากขึ้น ไม่ใช่เทพเซียนที่ผู้คนได้แต่สรรเสริญ
และยังมีเรื่องที่ทำให้เหวินซินจ้าวกลุ้มใจอยู่
สองสามวันก่อน เมื่อนางประสบปัญหาในการฝึกฝน นางก็ไปยังห้องของซูอี้เพื่อขอคำชี้แนะทันที ใครเล่าจะคิดว่าจะมีเสียงกระเส่าพิกลออกมาจากในห้อง
เหวินซินจ้าว ณ ยามนั้นตะลึงค้างดุจถูกสายฟ้าฟาด จิตใจสั่นคลอน ร่างบอบบางสะโอดสะองนิ่งกับที่ไปครู่หนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำ และจากไปอย่างเขินอาย
ต้องทราบว่านั่นกลางวันแสก ๆ!
และยังเพราะเหตุนี้เอง ทุกครั้งที่เหวินซินจ้าวเผชิญหน้ากับซูอี้ ในใจนางจึงรู้สึกอึดอัดพิกล และหลบตาอยู่บ่อยครั้ง
การเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนของหญิงสาวย่อมเป็นที่สังเกตของซูอี้มาแสนนาน แต่เขาเพียงไม่คิดใส่ใจ
การฝึกฝนคู่ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เหตุใดต้องใส่ใจ?
สิบกว่าวันผันผ่านอย่างรวดเร็ว
วันแรกของเดือนห้า
เมื่อยามพลบค่ำ
ตะวันอัสดงทอแสงดุจทองหลอม
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยและเจ้าแห่งหอเมฆาเขียวมาเยือนด้วยกัน
และต่างฝ่ายต่างนำข่าวล่าเกี่ยวกับขุมกำลังปรปักษ์เหล่านั้นมาด้วย!