บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 757 วันที่ห้าเดือนห้า
ตอนที่ 757: วันที่ห้าเดือนห้า
ตอนที่ 757: วันที่ห้าเดือนห้า
สวนน้อยนภาเมฆ
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าวทักทายสั้น ๆ จากนั้นก็นำแผ่นหยกออกมาส่งให้ซูอี้ “สหายเต๋า นี่คือรายชื่อยอดฝีมือผู้จะเข้าต่อสู้ในวันที่ห้าเดือนห้า”
ซูอี้อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ “พวกเขาไม่ซ่อนมัน ยังกล้ามอบรายชื่อผู้เข้าประลองให้เจ้าเช่นนี้หรือ?”
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าพิกล “นี่อาจจะพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาเตรียมตัวอย่างเต็มที่ในการดวลตัดสินอย่างไร้ความกลัวก็ได้กระมัง”
ซูอี้พยักหน้าและรับแผ่นหยกมาดู
ครานี้ สี่ขุมกำลังโบราณเช่นตระกูลหวนเผ่ามารและขุมกำลังจากต่างโลกทั้งสาม ต่างฝ่ายจะส่งมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตวงล้อวิญญาณมาเก้าคน
เมื่อรวมกันจะได้ยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณหกสิบสามคน!
การรวมตัวขนาดนี้น่าตกใจยิ่งนัก
กระทั่งในโลกาทุกวันนี้ยังเป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะ!
แผ่นหยกยังระบุนาม ระดับการฝึกฝนและข้อมูลอื่น ๆ ของยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านี้ไว้ด้วย
แม้ว่าซูอี้จะไม่ใส่ใจเรื่องนี้นัก แต่เขาก็พบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
ยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณส่วนใหญ่ในหกสิบสามคนนี้เป็นผู้อาวุโส กล่าวสั้น ๆ ได้ว่าพวกเขาเป็นตัวตนในระดับคล้ายคลึงกับหวนเทียนซูและเนี่ยหว่านจือ
ยอดฝีมืออาวุโสเหล่านี้ มีหลายคนที่ถูกกัดกร่อนโดยการจองจำแห่งยุคมืด และความสามารถในขอบเขตวงล้อวิญญาณของพวกเขากล่าวได้ว่าธรรมดา
เมื่อเทียบกับซูอี้ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เขาก็สามารถสังหารตัวตนเหล่านี้ได้แล้ว
นอกจากผู้เฒ่าเหล่านี้ ส่วนเล็กที่เหลือของเหล่าตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณล้วนแต่เป็นผู้ที่เพิ่งเลื่อนถึงขอบเขตวงล้อวิญญาณยามเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างบังเกิด
คนเหล่านี้มีฝีมือลึกล้ำ ล้วนแต่เป็นบุคคลระดับแก่นของขุมกำลังใหญ่เหล่านั้น และพลังต่อสู้ของพวกเขาก็เลิศล้ำห่างไกลจากเหล่าคนรุ่นก่อน
พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับหวนซั่งหลินกับเซี่ยจือเป่ย หรืออาจจะดีกว่านั้นอีก
“แม้ว่าการจัดทัพเช่นนี้จะดูใหญ่โตน่าหวาดหวั่น ทว่าในสายตาข้า มันช่างน่าขำนิด ๆ”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
ผู้เฒ่าเหล่านั้นไม่ได้เข้าตาเขาเลย
ส่วนตัวตนผู้เยาว์วัยในขอบเขตวงล้อวิญญาณก็อยู่ในระดับเดียวกับหวนซั่งหลินและเซี่ยจือเป่ย และไม่ว่าพวกเขาจะทรงพลังเพียงไร พวกเขาก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าเยี่ยเซียวจากตระกูลเยี่ยได้
ไม่ว่าพวกเขาจะดาหน้ากันเข้ามามากเพียงไร จะทำให้โลกแห่งผู้ฝึกตนสั่นสะเทือนได้หรือไม่…
แต่สำหรับซูอี้ จำนวนของศัตรูในวิถีวิญญาณนั้นไร้ความหมาย!
“ในโลกหล้าทุกวันนี้ มีเพียงสหายเต๋าผู้เดียวที่มีคุณสมบัติพอจะกล่าวเช่นนี้ได้”
ฟู่ชิงอวิ๋นยิ้ม จากนั้นจึงกล่าวเตือน “ทว่าสหายเต๋าควรระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า”
ซูอี้เล่นกับม้วนหยกและกล่าวว่า “เจ้าเห็นเช่นไร?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า “สหายเต๋า จากข้อมูลที่ข้าได้รับ ขุมกำลังโบราณเหล่านั้นมีแนวโน้มสูงว่าจะใช้สมบัติประจำฝ่ายเพื่อฆ่าเจ้าในการดวลครั้งนี้ และสมบัติเหล่านั้นทั้งหมดก็ล้วนมาจากตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิทั้งสิ้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของซูอี้ก็ทอประกายสนใจ “เรามาคุยกันเรื่องนี้เถิด”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
แต่เดิม เขาต้องการเตือนสหายเต๋าให้ระวังตนให้จงหนัก ทว่าใครเล่าจะคาดว่าซูอี้ดูจะถูกกระตุ้นขึ้นมาจากสมบัติอันแข็งแกร่งที่สุดของเหล่าขุมกำลังเสียแทน
“สหายเต๋า หอเมฆาเขียวของเจ้ารอบรู้กว้างไกล ให้เจ้าพูดเรื่องนี้แล้วกัน” จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหันไปกล่าวกับฟู่ชิงอวิ๋น
“ได้”
ฟู่ชิงอวิ๋นตอบ จากนั้นก็อธิบายเรื่องเท่าที่เขาทราบ
สมบัติประจำตระกูลของตระกูลหวนเผ่ามารคือ ‘ร่มสะท้อนพันมนตรา’ ซึ่งสลักอักขระมารไว้หกสิบสี่ตัว เมื่อใช้เต็มกำลังจะสามารถสร้างเขตแดนมารได้หกสิบสี่รูปแบบ อัญเชิญพลังอสูรสวรรค์ได้สามพันตน
สมบัติประจำสำนักวิถีสุญญะคือ ‘ตราประทับธารดาราลี้ลับ’ ซึ่งบรรจุเจตจำนงสามจักรพรรดิแห่งสำนักวิถีสุญญะไว้ มันสามารถบดขยี้ทั่วแดนดินได้เพียงกลิ่นอาย
สมบัติประจำสำนักผลาญตะวันมีนามว่า ‘หม้อเพลิงทิพย์เก้าอำพราง’
ส่วนสมบัติประจำสำนักฌานกระจ่างจิตมีนามว่า ‘แส้นักพรตจุติสรวง’
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าวถึงสมบัติเหล่านี้ยืดยาว
“ทว่า หลังจากการจองจำแห่งยุคมืดสามหมื่นปีกัดกร่อน สมบัติระดับจักรพรรดิทั้งหมดในโลกหล้า แม้จะถูกรักษาไว้ตราบยามนี้ แต่พวกมันย่อมเสียหายหนักอย่างไม่อาจเลี่ยง”
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าว “แต่ข้าต้องบอกว่า หากพวกเขาใช้สมบัติเช่นนั้นจริง ๆ อำนาจพวกพวกมันก็ยังคงแข็งแกร่งเกินจินตนาการอยู่เช่นกัน”
“นอกเหนือจากนั้น ขุมกำลังโบราณเหล่านี้ยังมีมรดกตกทอดยาวนาน พื้นหลังแข็งแกร่ง และไม่ขาดสมบัติลับในระดับจักรพรรดิแน่นอน…”
จนกระทั่งฟู่ชิงอวิ๋นกล่าวจบ ซูอี้ก็พอจะรู้แล้ว
ครั้งนี้ เพื่อจัดการกับเขา ขุมกำลังโบราณเหล่านั้นไม่เพียงส่งตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณมามากมาย แต่ยังงัดไม้ตายก้นหีบของแต่ละฝ่ายออกมา!
ทว่า ซูอี้ก็คาดถึงเหตุการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว
เหตุที่ขุมกำลังใหญ่เหล่านี้ยิ่งใหญ่ได้ นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ได้มีเพียงผู้แข็งแกร่ง แต่ยังมีพื้นหลังและมรดกตกทอดอันร้ายกาจจากยุคโบราณอีกด้วย
สมบัติลับและพลังที่จักรพรรดิเหล่านั้นทิ้งไว้ให้กับขุมกำลังใหญ่เหล่านี้ทำให้พวกเขาผงาดเหนือโลกาได้
“แม้หอดาบโคจรสวรรค์ สำนักวิญญาณมิติกว้างและสำนักมารแปรดาราจะมาจากต่างโลก แต่พวกเขาต้องมีไพ่ตายของตนเองเป็นแน่”
ฟู่ชิงอวิ๋นกล่าวพลางมองซูอี้อย่างจริงจัง “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อสังหารสหายเต๋าในศึกนี้แน่นอน!”
ซูอี้พยักหน้าอย่างเฉยเมย “พวกเขาแพ้ไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงทุ่มสุดตัว ข้าเข้าใจแล้วว่าศึกนี้ข้าต้องลงมือเต็มที่ พยายามอย่างสุดหนทาง”
วาจาของเขาเลื่อนลอยไร้อารมณ์
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฟู่ชิงอวิ๋นก็ดูจะเข้าใจทันที เขากล่าวพร้อมกับยิ้ม “เห็นได้เลยว่าสหายเต๋าเตรียมใจไว้เรียบร้อย ฟู่ผู้นี้ตั้งตารอนักว่าสหายเต๋าจะนำความน่าตื่นตกใจต่อโลกหล้าได้เพียงไร”
ซูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในสายตาข้า มันเป็นเพียงการต่อสู้เล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีสิ่งน่าตื่นตาตกใจอันใดหรอก”
ฟู่ชิงอวิ๋นและจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมองหน้ากัน ทั้งสองคนต่างตะลึงกับความดูแคลนอย่างไม่ปิดบังในน้ำเสียงของซูอี้
อันที่จริง พวกเขาเข้าใจผิด
ซูอี้ไม่ได้ดูแคลนผู้ใด เขาเพียงพูดความจริงเท่านั้น
การเผชิญหน้าเยี่ยงนี้อาจเรียกความสนใจทั่วโลกหล้าและมีผลต่อทิศทางของแสงสว่างแห่งโลกกว้างได้
ทว่าท้ายที่สุด มันก็เป็นเพียงการต่อสู้ในวิถีวิญญาณ
สำหรับซูอี้ผู้ประสบศึกระดับจักรพรรดิมากมายในอดีตชาติ การต่อสู้เยี่ยงนี้จึงไร้ความหมายอย่างแท้จริง
หลังจากคุยกันอยู่สักพัก ฟู่ชิงอวิ๋นก็จากไป
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยยังคงอยู่ต่อ
เขาล้วงกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และส่งให้ซูอี้ด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเต๋า แม้ว่าตระกูลเซี่ยของข้าจะไม่อาจช่วยเหลือศึกนี้ได้มากนัก แต่ข้าจะไม่ทำเพียงยืนมอง นี่คือสมบัติประจำตระกูลเซี่ยของข้า มีนามว่า ‘หม้อหลอมเก้าแดนดิน’…”
ก่อนที่เขาจะทันกล่าวจบ ซูอี้ก็พูดอย่างจนใจ “เอาล่ะ ข้ารับไว้เพียงน้ำใจแล้วกัน เจ้าเก็บสมบัตินี้ไว้เถอะ”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอึ้ง และยามที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างออกมานั้นเอง ซูอี้ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย และกล่าวว่า “หากเจ้าต้องการช่วยข้าจริง ๆ เช่นนั้นก็รอช่วยข้ารวบรวมสินสงครามหลังวันที่ห้าเดือนห้าแล้วกัน”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย “…”
โลหิตในใจเขาพลุ่งพล่านอย่างไม่อาจอธิบาย ความหมายของวาจาอันเป็นธรรมชาติและกล่าวอย่างส่งเดชนี้อหังการถึงที่สุด!
ยามราตรีกาลปรากฏ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็กล่าวลาและจากไปอีกคน
“ศิษย์พี่ซู ข้ากับอาจารย์และชิงหยาไปดูการต่อสู้ของพี่ในวันที่ห้าเดือนห้าได้หรือไม่?”
ระหว่างมื้ออาหารเย็น เหวินซินจ้าวอดถามขึ้นไม่ได้
“สิ่งที่จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยและฟู่ชิงอวิ๋นกล่าววันนี้เป็นเพียงพื้นผิวของขุมกำลังปรปักษ์เหล่านั้น ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะซุกซ่อนอันตรายอื่น ๆ ไว้เบื้องหลังการประลองครั้งนี้นะ”
ซูอี้ครุ่นคิด กล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่กลัวอุบัติภัยใด ๆ แต่ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าถูกหางเลขไปโดยไร้เหตุผล”
เขาเหลือบมองเหวินซินจ้าว ชิงหยาและหานเยียนด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น พวกเจ้าแค่รอที่นี่เถอะ”
ซูอี้รู้กระจ่างมากว่าเรื่องที่ตนถือครองเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงกลายเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วโลกหล้า และยามนี้เมืองผีหลิงหลงก็ได้กลายเป็นตาพายุ
หากมองในแง่ดี ดูเหมือนว่าการดวลระหว่างเขากับเหล่าศัตรูจะไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าขุมกำลังอื่นจะเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วยหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างการข้ามมหาภัยพิบัติหนก่อน ไม่มีผู้ใดคิดว่าหอดาบศีตอุดรแห่งภูมิชลสินธุ์สวรรค์จะปรากฏตัว
ซูอี้ย่อมไม่กลัวเกรงเรื่องเหล่านี้ แต่เขาต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้คนรอบตัวด้วย
เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ซึ่งเห็นเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงยอมละทิ้งความคิด
…
กาลเวลาผ่านทีละวัน
ผู้ฝึกตนมารวมตัวกันที่เมืองผีหลิงหลงมากขึ้นทุกที
กระทั่งขุมกำลังโบราณเยี่ยงคีรีดาบเมฆาเร้น ตระกูลตงกัวและโถงวิญญาณหยินทมิฬซึ่งไม่ได้เข้าร่วมศึกนี้ยังส่งยอดฝีมือมาด้วย
ทั้งเสิ่นสุยอวิ๋นแห่งคีรีดาบเมฆาเร้น ตงกัวเฟิงจากตระกูลตงกัว ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อจากโถงวิญญาณหยินทมิฬและคนอื่น ๆ
ควรค่ากล่าวถึงว่าการปรากฏตัวของเสิ่นสุยอวิ๋นก่อให้เกิดคลื่นกระเพื่อมมากพอดู
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณในตำนานผู้เคยอยู่ในอันดับหนึ่งในทำเนียบดารา และยังเคยไปต่อสู้กับซูอี้อย่างเปิดเผยในนครหลวงจิ๋วติ่งมาก่อน
แม้ว่าศึกนี้จะไม่อาจเกิดขึ้นจนบัดนี้ ทว่าไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าหากเทียบกับซูอี้ เสิ่นสุยอวิ๋นนับว่าด้อยกว่าแล้ว!
แม้ว่านามของเขาจะยังอยู่ในลำดับที่หนึ่งของทำเนียบดารา ทว่าอันดับหนึ่งผู้นี้เสียรัศมีดั้งเดิมไปยามอยู่ต่อหน้าซูอี้
“มีคนมากเหลือเกิน…”
ตงกัวเฟิงยืนทอดถอนใจท่ามกลางฝูงชน
เมืองผีหลิงหลงเทียบได้กับโลกเร้นลับแห่งหนึ่ง ขณะนี้มีผู้ฝึกตนจากทั่วโลกาปรากฏกายให้เห็นแน่นขนัดเต็มไปหมด
มีทั้งผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณรวมไปถึงผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันซึ่งสร้างตำนานโด่งดังมากมาย และยังมีบุคคลระดับสูงจากขุมกำลังใหญ่ต่าง ๆ
คงไม่เป็นการกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าเมืองผีหลิงหลงทุกวันนี้ หากสุ่มเลือกผู้ฝึกตนที่นี่มาสักคน ก็เป็นไปได้สูงนักหากจะพบผู้มีที่มาไม่ธรรมดา!
ยามนี้ ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ต่างรวมตัวกันใกล้ ๆ ขุนเขามโหฬารแห่งหนึ่งซึ่งไร้พืชพันธุ์ใด ๆ
นามของหุบเขานี้คือภูเขาเด็ดดาว
มันหมายความว่าภูเขานี้ช่างสูงส่งเสียจนสามารถเด็ดดาราบนฟากฟ้ายามอยู่บนยอดเขาได้!
ยอดฝีมือจากสี่มหาอำนาจโบราณและสามขุมกำลังจากต่างโลก รวมไปถึงตระกูลหวนเผ่ามารได้ตั้งค่ายรออยู่บนเขามาหลายวันแล้ว
ในรัศมีสิบลี้รอบ ๆ ภูเขาเด็ดดาวกระทั่งถูกปิดห้ามไม่ให้ผู้ฝึกตนใด ๆ เข้าใกล้
จวบจนยามนี้ แม้ว่าจำนวนผู้ฝึกตนซึ่งมายังเมืองผีหลิงหลงจะมากมาย แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงมองจากไกล ๆ
“ที่ยอดภูเขาเด็ดดาวนี้ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลมากมาย ไม่รู้เลยว่าซ่อนจิตสังหารไว้มากเพียงไร…”
ตงกัวเฟิงมองไปยังภูเขาเด็ดดาวซึ่งปกคลุมโดยม่านหมอกจากไกล ๆ และอดตกใจไม่ได้
พวกเขาไม่ต้องรอนาน เมื่อรัตติกาลจางหาย อรุณรุ่งมาบรรจบ
วันที่ห้าเดือนห้าซึ่งเหล่าผู้ฝึกตนทั่วโลการอคอยก็มาถึงในที่สุด!
ณ ทางเข้าเมืองผีหลิงหลง
ซูอี้ผู้เข้ามาสู่โลกเร้นลับแห่งนี้อีกครั้งไพล่มือไว้เบื้องหลัง เงยหน้าขึ้นมองท้องนภาอันเต็มไปด้วยหมู่เมฆ
จากท้องนภาวันนี้ เกรงว่าคงได้มีฝนตกหนักกระมัง