บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 76 ในฐานะลูกเขย เป็นตายไม่อาจตัดสิน
ตอนที่ 76: ในฐานะลูกเขย เป็นตายไม่อาจตัดสิน
“เช่นนั้นก็ดี เพราะอีกไม่ช้าข้าก็จะไปมหานครอวิ๋นเหอ แล้วก็จะสามารถไปเยี่ยมหลิงเสวี่ยที่สำนักดาบชิงเหอได้…”
ซูอี้พลันโล่งอก
ฉินชิ่งลังเลสักพัก ใบหน้างดงามราวกับหยกพลันจริงจังขึ้นมา กล่าวว่า “ซูอี้ ข้าอยากถามบางอย่างกับเจ้า”
ซูอี้กล่าวว่า “เชิญว่ามา”
ฉินชิ่งกล่าวว่า “หนึ่งปีที่เข้าตระกูลเหวิน ในใจเจ้า… เคยมีความคับแค้นกับพวกข้าหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้า
สำหรับเขาตอนนี้ ทุกคนในตระกูลเหวิน ไม่มีใครที่คู่ควรจะให้เขาคับแค้น
ความคับแค้นคืออะไร?
มันคือความอึดอัด!
สิ่งนี้มักหมายความว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง เขา ซูอี้ผู้ไร้เทียบเทียมเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่สามารถคลี่คลายได้ด้วยกำลัง ดังนั้นจึงทำได้เพียงเก็บความขุ่นเคืองเอาไว้ในใจหรือไม่ก็ต้องยอมปล่อยผ่านไป
“ไม่มีจริงหรือ?” ฉินชิ่งคล้ายกับไม่เชื่อ
ซูอี้ถอนหายใจ ตอบอย่างจนใจว่า “จริง”
แมลงฤดูร้อนไม่รู้จักน้ำแข็ง จิ้งหรีดไม่รู้จักใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง มันเป็นเช่นนั้น
ฉินชิ่งคล้ายกับโล่งอก และกล่าวว่า “ต่อให้เจ้ามีความคับแค้นอยู่ในใจ แต่ก็อย่าได้มาทำร้ายครอบครัวของข้า อย่างไรเสีย ครอบครัวของข้าเองก็เป็นเหยื่อของการแต่งงานครั้งนี้เช่นกัน ถ้าเจ้าอยากโทษใคร ก็ต้องโทษ…”
เมื่อกำลังจะพูดว่า ‘นายหญิงเฒ่า’ นางก็หุบปากอีกครั้ง
นี่คือการไม่ให้ความเคารพ
ซูอี้อดที่จะหัวเราะแล้วกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “ข้าเข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร หากลำบากใจก็ไม่ต้องพูดออกมาหรอก เอาเป็นว่า อีกไม่ช้าข้าจะไปจากเมืองกว่างหลิงนี้แล้ว และเกรงว่าคงจะไม่กลับมาอีกในอนาคต ตอนนี้ท่านน่าจะสบายใจแล้วใช่หรือไม่?”
ฉินชิ่งถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าจะจากไปหรือ? จะไปที่ไหนกัน?”
เหวินฉางไท่อดที่จะมองมาไม่ได้ และกล่าวว่า “เจ้าคือลูกเขยของตระกูลเหวิน มีสัญญาการแต่งงาน ผู้นำตระกูลและคนอื่นไม่ปล่อยเจ้าไปโดยง่ายแน่”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถ้าข้าอยากไป ไม่มีใครในสามโลกสามารถห้ามได้”
คำพูดแสนเรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยความมั่นใจราวกับกำลังดูถูกฟ้าดิน
ฉินชิ่งและเหวินฉางไท่มองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าไม่ทันตั้งตัว พวกเขาไม่คิดว่าซูอี้จะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมขนาดนี้
ขณะเดียวกันนี้ คนใช้ผู้หนึ่งเร่งรีบเข้ามารายงาน “ผู้อาวุโสสาม ผู้นำตระกูลมีคำสั่ง ขอให้ท่านเขยซูอี้ไปห้องโถงตระกูล!”
ใบหน้าของฉินชิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจจะกลับมาคงเดิมอย่างรวดเร็ว “ซูอี้ อย่าลืมคำเตือนของข้า ผู้นำตระกูลเรียกเจ้าไปพบครั้งนี้ เกรงว่าเขาจะไม่ไว้หน้าเจ้าอีกแล้ว เจ้าจงอดทนเอาไว้ อย่าสร้างความขัดแย้ง ไม่เช่นนั้น ต่อให้พ่อตากับข้าจะออกหน้าให้ ก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้”
เหวินฉางไท่พยักหน้าอีกครั้ง กล่าวว่า “ใช่แล้ว แค่อดทนเอาไว้แล้วปล่อยให้มันผ่านไป ยินยอมโอนอ่อนตามสถานการณ์คือวิถีของผู้ชาญฉลาด”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูอี้รู้สึกถึงความห่วงใยจากพ่อตาแม่ยายของตน เขาอดที่จะตกตะลึงเล็กน้อยไม่ได้ จากนั้นจึงส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา “ไม่ต้องห่วงข้าหรอก”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็เดินออกจากห้องไป พร้อมกับดาบสุดแดนดินซึ่งซ่อนคมอยู่ในฝักดาบไม้ไผ่ไว้ในมือ
…
ตระกูลเหวิน ห้องโถงตระกูล
ผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้ง ผู้อาวุโสสองเหวินฉางชิงและกลุ่มบุคคลใหญ่โตจากตระกูลเหวินต่างก็มารวมตัวพร้อมหน้า
ทว่า ทุกคนดูประหลาดใจเล็กน้อย
เหวินเจวี๋ยหยวนนั่งในตำแหน่งสุดท้าย สีหน้าตกอยู่ในภวังค์
เมื่อครู่ เขาเล่าประสบการณ์ในภัตตาคารรวมเซียนให้แต่ละคนฟัง จนถึงตอนนี้ ความคับข้องใจ ความหดหู่ ความโกรธสุดบรรยายยังคงอยู่ในใจ
“ซูอี้ผู้นี้โชคดีเป็นบ้า เขาถึงกับสามารถผูกสัมพันธ์กับตระกูลหยวนแห่งมหานครอวิ๋นเหอได้!”
ใบหน้าของเหวินฉางชิงหมองหม่นและน่าเกลียดจนไม่อาจสงบสติลงได้
ลูกเขยผู้ถูกเมินในอดีต แต่กลับชนะอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกรเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่รู้จักกันดีในเมืองกว่างหลิง
และเรื่องนี้ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
ไหนจะยังมีความสัมพันธ์กับบุตรีคนสุดท้องของตระกูลหยวนอีก ใครบ้างจะไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้?
“คนเก็บสมุนไพรกัวปิ่งช่วยบุตรีคนสุดท้องของตระกูลหยวนเช่นกัน ดูทรงแล้ว ซูอี้คงจะไม่ได้รับความชมชอบจากตระกูลหยวนทั้งหมด อย่างดีก็มีเพียงบุตรีคนสุดท้องของตระกูลหยวนเท่านั้นที่ชื่นชม”
เหวินฉางจิ้งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าเรียกทุกคนมาในครั้งนี้ ก็เพื่อคุยกันว่าจะรับมือกับซูอี้อย่างไร”
ดวงตาของทุกคนทอประกาย ขณะครุ่นคิด
“เขาไม่ใช่คนพิการเหมือนในอดีตอีกแล้ว การบ่มเพาะก็แข็งแกร่งกว่าเจวี๋ยหยวน ในตระกูลพวกเรา นอกจากหลิงเจาแล้ว อาจจะไม่มีชายหนุ่มคนไหนที่สามารถเทียบเขาได้”
ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในความเห็นของข้า ในเมื่อเขาได้กลายเป็นพยัคฆ์เช่นนี้ เราก็ควรที่จะสนับสนุนเขาเพื่อให้กลายเป็นกำลังหลักของตระกูลเหวินเรา!”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ เหวินฉางจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย
สีหน้าของเหวินเจวี๋ยหยวนหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม เขาคือผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นบันไดหินให้ซูอี้เหยียบขึ้นไปเพื่อรับคำเชยชมจากผู้อื่น!
“แบบนั้นไม่ถูกต้อง เด็กแซ่ซูนั่นเจ้าเล่ห์เกินไป ก่อนจะชนะอันดับหนึ่งในการประลองประตูมังกร ไม่มีใครในพวกเรารู้ว่าเขาฟื้นคืนระดับการบ่มเพาะ นอกจากนี้นับตั้งแต่เข้าตระกูลเหวินมา เขาก็ถูกเราหยามเหยียดมาโดยตลอด เกรงว่าภายในใจของเขาบัดนี้คงมีแต่ความคับแค้นใจหาได้มีความภักดีอยู่ไม่!”
อีกคนกล่าวว่า “หากนำกลับมาฟูมฟักใหม่ ย่อมไม่ต่างจากการเลี้ยงเสือ ไม่ใช่ทางที่ฉลาดนัก”
คำพูดโต้แย้งเหล่านี้ ผู้คนในห้องโถงต่างเห็นด้วยมากมาย
ชายหนุ่มผู้มีความคับแค้นใจ รู้จักวิธีการอดกลั้น ทันทีที่ได้รับพลัง วิธีการแก้แค้นของเขาย่อมน่าสะพรึงยิ่ง นี่คือสิ่งที่ใครก็ตามต้องหวั่นเกรง
ใครบางคนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในความเห็นของข้า แค่ขับไล่เขาออกจากตระกูลเหวิน แล้วขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจนขึ้นมาก็พอ”
ใครบางคนแย้งทันที “เหลวไหล ซูอี้คืออันดับหนึ่งในการประลองประตูมังกร เจ้าเมืองฟู่ซานยังให้ค่า แม้กระทั่งผู้นำตระกูลหวงยังโปรดปรานเขา หากตระกูลเหวินขับไล่ออกไป พวกเราได้ถูกเมืองกว่างหลิงหัวเราะเยาะเป็นแน่!”
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนในห้องโถงกำลังโต้เถียง ส่งเสียงอึกทึกไปมา
นี่ทำให้ใบหน้าของเหวินฉางจิ้งหมองหม่นขึ้นมา
ใครจะคาดคิด ว่าลูกเขยตัวเล็กจ้อยจะมีอำนาจและอิทธิพลต่อบุคคลสำคัญระดับสูงในตระกูลเหวิน?
“พอ!”
เหวินฉางจิ้งพลันกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก ปรามเสียงของทุกคนที่อยู่ตรงนี้ “เรื่องนี้ ข้าได้ตัดสินใจไว้แล้ว”
ทุกคนตกตะลึง
“พี่ใหญ่ ท่านตั้งใจจะทำเช่นไร?”
เหวินฉางชิงอดที่จะถามไม่ได้
คนอื่นเงี่ยหูฟัง
“ท่านหญิงเฒ่าย่อมไม่เห็นด้วยที่จะให้ซูอี้กับหลิงเจาหย่ากัน ฉะนั้นพวกเราตระกูลเหวินจึงไม่สามารถขับไล่เขาได้”
เหวินฉางจิ้งสูดหายใจเข้า ดวงตาทอประกายก่อนกล่าวว่า “แต่ถ้าฟูมฟักเขา มันก็เหมือนกับการเลี้ยงเสือ ถ้าแบบนี้ สู้หาใครสักคนสยบเขาไว้ แล้วทำให้เขากลายคมมีดของตระกูลเหวินยังจะดีเสียกว่า พวกเราจะได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่!”
หลังจากกล่าวท่อนนี้จบ ก็มีรายงานมาจากนอกห้องโถง “ผู้นำตระกูล ท่านซูอี้อยู่ที่นี่แล้ว”
ควับ!
สายตาของทุกคนหันขวับ
นอกห้องโถง ซูอี้มีรูปร่างสูงโปร่ง เส้นผมยาวมัดเป็นมวยพร้อมปิ่นปักผม เสื้อสีเขียวราวกับหยก ทั่วร่างสะอาดสะอ้าน เรียบร้อย ไม่มีท่าทีใส่ใจ
ขณะถือฝักดาบไม้ไผ่ไว้ในมือ เขาคล้ายกับเดินอยู่ในลานบ้านอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจสายตารอบข้างที่จับจ้องมา ก่อนเดินเข้าไปในห้องโถง
ฉากนี้ ทำให้บุคคลใหญ่โตจำนวนมากในตระกูลเหวินมีสีหน้าซับซ้อน
ถ้าแซ่ของเด็กคนนี้คือเหวิน คงจะดีไม่ใช่น้อย…
“มีเรื่องอะไรถึงเรียกข้ามาหรือ?”
ซูอี้ยืนอยู่ตรงกลางห้องโถงโดยเอามือไพล่หลัง ขณะมองเหวินฉางจิ้ง เขาไม่คารวะ ไม่ก้มศีรษะ แต่กลับถามออกมาตามตรง
แก้มของเหวินฉางจิ้งกระตุกโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้ากลับมาถึงเมื่อวาน ได้ยินว่าการบ่มเพาะของเจ้าฟื้นคืนกลับมาแล้ว”
“และเจ้ายังชนะอันดับหนึ่งในการประลองประตูมังกรอีก กล่าวขานกันว่าเจ้ายอดเยี่ยมสุดในบรรดาหมู่คนรุ่นเยาว์ การที่เรียกให้มาในครั้งนี้ อย่างแรกก็เพื่อแสดงความยินดีที่เจ้าได้กลายเป็นผู้บ่มเพาะอีกครั้ง อย่างที่สองเพื่อมอบตำแหน่งสูงศักดิ์ให้เจ้า”
“ตำแหน่งสูงศักดิ์หรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว “เช่นนั้นข้าขอฟังหน่อยก็แล้วกัน”
มีความเสียดสีเจืออยู่ในน้ำเสียง ทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
สีหน้าของเหวินเจวี๋ยหยวนน่าเกลียดขึ้นมา ซูอี้ผู้นี้… จองหองยิ่งนัก!
เหวินฉางจิ้งไม่ใส่ใจเรื่องนี้ กล่าวต่อไปว่า “เมื่อครู่ ข้าได้คุยกับผู้อาวุโสทุกคนแล้ว นับจากวันนี้ไป เจ้าคือผู้พิทักษ์ผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน มีเงินเดือนแปดพันตำลึง กับโอสถวิญญาณหนึ่งเม็ดได้ทุกเดือน พร้อมกับคนใช้อีกแปดคน เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
สายตาของทุกคนหันไปมองซูอี้
เงื่อนไขนี้ไม่นับว่าใจกว้างเกินไป แต่ก็ไม่ได้แย่เช่นกัน
ซูอี้ยิ้มเย้ยหยัน ก่อนถามว่า “เจ้ากำลังวางแผนให้ข้ารับใช้ตระกูลเหวินงั้นหรือ?”
เหวินฉางชิงพ่นลมออกจมูกเย็นชาแล้วตอบว่า “เจ้าคือลูกเขยของพวกเราตระกูลเหวิน การกระทำเพื่อตระกูลเป็นสิ่งที่ถูกต้องและสมควร มีตรงไหนที่ผิดแปลก!?”
“ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเงื่อนไขไม่ดีพอ เช่นนั้นก็เชิญว่ามา”
เหวินฉางจิ้งแสร้งทำเป็นมีเมตตาธรรม กล่าวว่า “ข้าเพียงขออย่างเดียว หลังจากกลายเป็นผู้พิทักษ์ผู้นำรุ่นเยาว์แล้ว เจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของเจวี๋ยหยวน ข้อแรกคือปกป้องความปลอดภัยของเขา ข้อสองคือห้ามขัดคำสั่งของเขา เจ้าและเขาอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะต้องเข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนที่นี่จึงเข้าใจ ผู้นำตระกูลกำลังวางแผนให้เหวินเจวี๋ยหยวนสยบซูอี้เอาไว้!
ถ้าซูอี้รับบทบาทของผู้พิทักษ์ผู้นำรุ่นเยาว์ ย่อมไม่ต่างจากดาบคมที่อยู่ในมือของเหวินเจวี๋ยหยวน!
“ผู้นำตระกูลช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก นี่เท่ากับเป็นการปูทางให้ลูกชาย ด้วยการช่วยเหลือของบุคคลทรงพลังอย่างซูอี้ ทำไมเหวินเจวี๋ยหยวนจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคตได้?”
ใครบางคนลอบถอนหายใจ
เหวินเจวี๋ยหยวนตกตะลึงสักพัก จากนั้นจึงแสดงท่าทีอิ่มเอมออกมา
เขาไม่เคยแม้แต่จะคิด ว่าผู้เป็นพ่อจะมีการตระเตรียมที่แสนวิเศษเช่นนี้ นี่หมายความว่าซูอี้จะเป็นลูกน้องของเขาไม่ใช่หรือ?
ไม่ว่าการบ่มเพาะของซูอี้จะสูงส่งแค่ไหน ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่สถานะก็ยังถือว่าด้อยกว่าเขาอยู่ดี!
ยิ่งเหวินเจวี๋ยหยวนครุ่นคิดเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเท่านั้น เขารู้สึกได้ว่าหมอกควันและอารมณ์มัวหมองในใจถูกกวาดล้างออกไป จนเกิดความรู้สึกแสนสบายขึ้นมา
ตอนนี้ ซูอี้อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ และถามว่า “เหวินเจวี๋ยหยวนสูงส่งก็ไม่ เขาควรค่าจะให้ข้ารับใช้งั้นหรือ?”
ห้องโถงเงียบสงัด
ทุกคนตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เหวินเจวี๋ยหยวนคือลูกชายสายเลือดตรงของผู้นำตระกูล คือผู้สืบทอดตระกูลเหวินในอนาคต ซูอี้ผู้นี้บังอาจพูดจาเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?
เหวินเจวี๋ยหยวนผู้กำลังตื่นเต้นอยู่นั้นแทบกระโดดตัวลอยด้วยความโกรธ เขาอดที่จะต่อว่าไม่ได้ “ซูอี้ อย่ามาทำตัวหยิ่งผยอง!”
ซูอี้ถอนหายใจ เผยสายตาเวทนาออกมา “ทำไมเจ้าถึงโง่เขลาได้เพียงนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในภัตตาคารรวมเซียนวันนี้ ไม่ได้สอนบทเรียนให้เจ้าสักเล็กน้อยเลยหรือ?”
ปัง!
เหวินฉางจิ้งฟาดที่พักแขนดังสนั่น ใบหน้าของเขาหมองหม่นและน่าสะพรึง “ซูอี้! อย่าลืมตัวตนของเจ้า ต่อให้เจ้ามีบุตรีคนสุดท้องของตระกูลหยวนหนุนหลัง แต่นางก็ไม่สามารถก้าวก่ายเรื่องภายในของพวกเราตระกูลเหวินได้!”
เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “และอย่าได้คิดยืมมือเจ้าเมืองฟู่ซาน เพราะเขาเองก็ไม่อาจช่วยได้ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็คือลูกเขยของตระกูลเหวินอยู่ดี จะจัดการกับเจ้าอย่างไรนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับตระกูลเหวิน ข้าแนะนำให้เจ้าเชื่อฟังจะดีกว่า!”
น้ำเสียงของเขาเย็นชา เต็มไปด้วยการคุกคาม
ใบหน้าของบุคคลใหญ่โตในตระกูลเหวินเย็นชาเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าลูกเขยผู้นี้ไม่ระวังเอาเสียเลย เขาคิดหรือว่าแม้มีคนยิ่งใหญ่หนุนหลัง จะสามารถตอบโต้ตระกูลเหวินได้?
ตามกฎต้าโจว ในฐานะลูกเขยแต่งเข้าบ้าน ชีวิตของเขามีชะตาจะต้องถูกควบคุมโดยตระกูลที่อาศัยอยู่ จะฆ่าหรือกำจัด นั่นขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายเท่านั้น!