บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 766: ประจักษ์โลกอันกว้างใหญ่
ตอนที่ 766: ประจักษ์โลกอันกว้างใหญ่
วันที่ห้าเดือนห้าได้กลายเป็นวันที่ถูกกำหนดให้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของทวีปคังชิง
คล้อยหลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ณ เมืองผีหลิงหลง ข่าวผลลัพธ์ศึกขจรขจายไปทั่วหล้ารวดเร็วราวกับติดปีก
แน่นอนข่าวนี้ทำให้เกิดความโกลาหลและทั่วหล้าสั่นสะเทือน
ตระกูลหวนเผ่ามาร
หลังจากทราบข่าว เหล่าผู้อาวุโสส่วนน้อยของตระกูลหวนที่ถูกทิ้งให้เฝ้าที่มั่นประหนึ่งคล้ายกับถูกฟ้าผ่า พวกเขาต่างกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความสิ้นหวัง
“สวรรค์ต้องการให้ตระกูลหวนของข้าตาย!”
ชายชราผู้หนึ่งร้องออกอย่างสิ้นหวัง
เดิมทีพวกเขาได้จัดงานเลี้ยงแต่เนิ่น ๆ เตรียมสุราอาหารเลิศรส และเพียงแค่รอให้หวนเทียนตู้และคนอื่น ๆ ได้รับชัยชนะกลับมา จากนั้นพวกเขาจะเฉลิมฉลอง
ทว่าโดยไม่คาดคิดผลลัพธ์กลับตาลปัตร สิ่งที่รออยู่กลับเป็นข่าวร้ายประหนึ่งทัณฑ์สวรรค์ฟาดจากฟากฟ้า!
ทั้งตระกูลจมดิ่งอยู่ในความเศร้าโศก
…
สำนักฌานกระจ่างจิต
เสียงระฆังดังกึกก้องต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่เสียงระฆังกังวาน ใบหน้าของหลวงจีนทั้งหลายต่างยิ่งซีดเผือดเป็นลำดับ
จนกระทั่งเสียงระฆังกังวานดังถึงยี่สิบเอ็ดครั้ง ทั้งสำนักราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง มีเพียงความเย็นยะเยือกถึงสันหลังและความสิ้นหวังปกคลุมหลวงจีนทั้งหมด
หลวงจีนทั้งหลายหน้าซีดเผือด เหม่อลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
เสียงระฆังดังแต่ละครั้งนั้นเป็นตัวแทนสัญญาณว่าหนึ่งชีวิตของพวกเขาได้ดับสิ้นลง
ที่เมืองผีหลิงหลงพวกเขาส่งหลวงจีนไปยี่สิบเอ็ดรูป ทว่าระฆังดังขึ้นยี่สิบเอ็ดครั้งเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าหลวงจีนทุกรูปที่สำนักของพวกเขาส่งไปที่เมืองผีหลิงหลงนั้นถูกซูอี้สังหารหมู่จนสิ้นไม่รอดสักหนึ่ง!
…
สำนักวิถีสุญญะ
“เมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว แม้แต่หายนะจากพลังจองจำแห่งยุคมือยังไม่สามารถทำให้สำนักวิถีสุญญะของข้าล่มสลายได้ แต่ตอนนี้… เพียงชายหนุ่มคนเดียวกลับทำให้สำนักของข้าถึงกาลอวสาน!”
ชายชราเริ่มเสียสติร้องไห้และกรีดร้อง “จบแล้ว! ทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว!!!”
…
สำนักผลาญตะวัน
“พวกเจ้าทั้งหมดจงรีบจากไปเสีย นำสมบัติของสำนักติดตัวไปกับพวกเจ้าด้วย และจำไว้ว่าในอนาคตจงห้ามเปิดเผยว่าพวกเจ้าคือศิษย์ของสำนักผลาญตะวัน ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้พวกเจ้าตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!”
ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าว่างเปล่า “จากนี้ไป… หาได้มีสำนักผลาญตะวันในโลกนี้อีก… ”
ในตอนท้ายมุมของริมฝีปากของชายชราสั่นเทา และจากนั้นเขาไม่อาจกลั้นน้ำตาของตนได้อีก
ในฐานะคนรุ่นเก่าก่อนที่ผ่านหนาวผ่านร้อนมานับครั้งไม่ถ้วน เขารู้ดีว่าจากนี้โลกจะทำเช่นไรกับสำนักของเขา ต่อให้ซูอี้จะไม่ลงมือ แต่เหล่าหมาป่าหิวโหยจำนวนนับไม่ถ้วนย่อมมาเยือนถึงประตูสำนักฉีกทึ้งพวกเขาอย่างไม่ปรานีเป็นแน่แท้
…
จากข่าวความพ่ายแพ้ ขุมกำลังเหล่านี้ที่มีมรดกล้ำค่าหลงเหลือจากในอดีตต่างตกอยู่ในความโกลาหลและความวุ่นวาย
ฉากเดียวกันนี้เกิดขึ้นที่ขุมกำลังจากต่างแดนเช่น หอดาบโคจรสวรรค์ สำนักวิญญาณมิติกว้าง และสำนักมารแปรดาราเช่นกัน
“ตราบใดที่มีซูอี้อยู่ในทวีปคังชิง พวกเราย่อมไม่มีที่ให้ยืนหยัด!”
“รีบไปกันเถิด ตอนนี้ฝูงฉลามได้กลิ่นโลหิตแล้วพวกมันจะมารุมเราในไม่ช้า…”
“เลิกคิดถึงเรื่องยึดครองที่นี่ไปเสีย หลังจากนี้เราจะอพยพออกจากทวีปคังชิงทันที!”
…
ในทางกลับกัน มีขุมกำลังโบราณอีกสามที่ยังสามารถหายใจได้ทั่วท้องได้แก่ โถงวิญญาณหยินทมิฬ คีรีดาบเมฆาเร้นและตระกูลตงกัว
พวกเขาต่างรู้สึกโชคดีมากเมื่อได้ยินข่าวผลลัพธ์ของการต่อสู้เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาตัดสินใจไม่เข้าร่วมกับผู้อื่นฆ่าฟันกับซูอี้ ด้วยเหตุผลนี้จึงหลีกเลี่ยงหายนะได้อย่างหวุดหวิด!
ขณะเดียวกันผู้ฝึกตนทั่วโลกต่างตกตะลึงกับข่าวนี้
คนทุกผู้ต่างพูดถึงข่าวการต่อสู้ที่อัศจรรย์ที่สุดในโลกหล้า
ชื่อที่กล่าวถึงมากที่สุดมีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น
ซูอี้!
บางคนเรียกเขาว่ามหาปรมาจารย์ซูด้วยความเคารพ บางคนเรียกเขาว่าเทพเซียนซูอย่างเทิดทูน…
สำหรับผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลกนี้ ขณะนี้ซูอี้คือตำนานแล้ว!
ตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่
หนึ่งคนหนึ่งดาบไร้เทียมทานสยบใต้หล้า!
…
อาณาจักรต้าโจว
ขณะเป็นช่วงดึกแล้ว
ภายในพระราชวังอันงดงามมีแสงไฟสว่างไสว
สตรีนักเต้นกลุ่มหนึ่งกำลังเต้นรำในผ้าคลุมบาง ผิวที่เปล่งปลั่งของพวกนางงดงามอยู่ใต้เงาของแสงไฟ และเสียงเพลงกลองดังขึ้นอย่างไพเราะและสนุกสนาน
โจวจือหลีนั่งอยู่คนเดียวบนบัลลังก์มังกร สีหน้าของเขาเรียบนิ่งและอ้างว้าง
เป็นจักรพรรดิครอบครองอาณาจักรมีอิทธิพลยิ่งใหญ่เหนือไพร่ฟ้ามากมาย
แต่ขณะนี้เขากลับ ‘เหงาเดียวดาย’ เป็นที่สุด!
“รายงานฝ่าบาท! รายงานฝ่าบาท!”
ขันทีเฒ่ารีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทีเร่งร้อน
เสียงกลองและเหล่านักเต้นหยุดกระทันหัน
“มีสิ่งใด?”
โจวจือหลีขมวดคิ้ว
ขันทีชรายื่นจดหมายลับที่เพิ่งส่งมาจากอาณาจักรต้าเซี่ยด้วยสองมือ
หลังจากได้อ่านข้อความในจดหมายลับโจวจือหลีก็ตกตะลึงไป
ผ่านพักใหญ่เขาตบตรงเท้าแขนของบัลลังก์มังกร ตื่นเต้นมากจนแหงนมองท้องฟ้าแล้วหัวเราะดังลั่น “จากนี้ไปใต้หล้าทั้งหมดจะต้องก้มหัวให้พี่ซูของข้า! ฮ่า ๆๆ!”
เขายืนขึ้นอย่างตื่นเต้นและหัวเราะอย่างต่อเนื่อง
ขันทีเฒ่าอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ฝ่าบาท… ไม่มีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว
“พวกเจ้าหยุดกันเพราะเหตุใด? เร็วเข้า! ไม่เห็นหรือว่าขณะนี้ข้ากำลังสำราญ อย่าได้หยุดร้องหยุดเต้น!” โจวจือหลีเอ่ยเสียงดัง
“คืนนี้ข้าอยากร่ำสุราให้เมามาย!”
เมื่อเห็นฉากนี้ขันทีชราจึงรีบเอ่ยสั่งอย่างยินดีสมทบ “เร็วเข้า พวกเจ้ารีบเล่นดนตรีแล้วเต้นให้ฝ่าบาททอดพระเนตรเสีย!”
…
ดึกดื่น
ในภัตตาคารแห่งหนึ่ง
การสนทนาอันมีชีวิตชีวาดังเซ็งแซ่ไม่หยุดหย่อน เหล่าผู้รับประทานอาหารกำลังคุยกันถึงเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างซูอี้กับขุมกำลังโบราณทั้งหลาย
เสิ่นลี่นั่งอยู่คนเดียวที่มุมห้อง
เมื่อได้ฟังการสนทนาเหล่านั้น ในใจของเสิ่นลี่พลันสั่นไหว
“หนึ่งคนหนึ่งดาบ ปราบปรามขุมกำลังใหญ่ทั้งเจ็ดจนสิ้น… ซูอี้ผู้นี้… เป็นเทพเซียนบนฟากฟ้าหรืออย่างไร?”
“ข้าและเขาช่างห่างชั้นกันจนไม่อาจเทียบ…”
เสิ่นลี่ถอนหายใจ
เขาเป็นเพียงตัวตนเล็กจ้อยบนเส้นทางแห่งการฝึกตน พรสวรรค์ของเขาเพิ่งเจิดจรัส ดังนั้นแล้วจึงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าอำนาจอันเลิศล้ำของซูอี้นั้นน่ากลัวเพียงใด
หลังจากร่ำสุราเงียบ ๆ เพียงลำพังแล้ว เสิ่นลี่จึงลุกขึ้นและจากไป
ไม่ว่าซูอี้จะแข็งแกร่งเพียงใด มันย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับตัวตนเล็กจ้อยเช่นเขา และสำหรับเขา การฝึกปรือตนเองนั้นสำคัญกว่า!
“คงจะดียิ่งถ้าข้าได้เจอผู้อาวุโสที่สอนเคล็ดวิชาลับให้ข้าในตอนนั้นอีกครั้ง ข้าจะได้สามารถขอคำชี้แนะเพิ่มเกี่ยวกับเส้นทางการฝึกฝนของข้าได้”
ระหว่างเดินไปตามท้องถนน เสิ่นลี่หวนนึกไปถึงบุรุษลึกลับผู้นั้นที่สวมชุดเขียวสะอาดสะอ้านสีหน้าเฉยเมย
เขายังจำได้ว่าผู้อาวุโสผู้นั้นตบไหล่เขาและกล่าวว่า “ในเส้นทางแห่งการฝึกฝน มันเป็นที่ซึ่งความดีและความชั่วไม่อาจแยกออกและขาวดำไม่ชัดเจน สิ่งที่ต้องทำคือตระหนักถึงความเป็นจริงและยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนเองอย่างตั้งมั่น”
จากนั้นผู้อาวุโสคนนั้นจึงถ่ายทอด ‘บทครรภ์ลี้ลับเหล่าอสูร’
จนถึงตอนนี้เสิ่นลี่รู้สึกสำนึกขอบคุณทุกครั้งที่นึกถึงช่วงเวลานั้น
“ในสายตาของโลกหล้า ซูอี้เปรียบดั่งเซียนอมตะที่ถูกเนรเทศจากฟากฟ้า แต่ในสายตาของข้าเสิ่นลี่ ผู้อาวุโสผู้นั้นต่างหากที่เป็นเซียนอมตะที่ถูกเนรเทศอย่างแท้จริง”
เสิ่นลี่พึมพำกับตัวเอง “โชคไม่ดีที่ข้าไม่รู้เลยว่าชื่อแซ่ของผู้อาวุโสผู้นั้นคืออะไร หรือว่าแท้จริงเขาเป็นผู้ใดกัน…”
หลายปีหลังจากนี้ เมื่อเสิ่นลี่กลายเป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่ผู้คนเกรงขาม เขาจึงได้รู้ความจริงว่าผู้อาวุโสที่เขารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งมาโดยตลอดแท้จริงแล้วคือผู้ใด!
…
“ท่านอาจารย์ ข้างหน้าท่านคือหมู่บ้านเฉาซีแห่งภูเขาฝูเซียน ส่วนสถานที่ซึ่งสองพี่น้องเฉาผิงอาศัยอยู่นั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านเฉาซีแห่งนี้”
“หมู่บ้านนี้ไม่ธรรมดา”
ในคืนที่มืดมิดเงียบสงัด มีสองร่างปรากฏกายขึ้นที่นอกหมู่บ้านเฉาซี
คนหนึ่งเป็นชายชราในชุดพรตเต๋าสีดำ ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มท่าทางองอาจในชุดขาว
ดวงตาของชายชราเปล่งประกายด้วยแสงแวววาว ทันใดนั้นภาพของหมู่บ้านเฉาซีในตอนกลางคืนที่เขาเห็นตรงหน้ากลับมีม่านพลังซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยรัศมีแห่งความสงบคลุมล้อม
สงบราวกับสรวงสวรรค์…
“สิ่งที่อาจารย์พูดนั้นจริงมาก ตั้งแต่ปีที่แล้วหมู่บ้านที่ห่างไกลนี้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชาวบ้านทุกคนที่อาศัยอยู่มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น และโชคลาภของพวกเขาบังเกิดขึ้นไม่ขาดสาย อีกทั้งหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ยังไม่ถูกสัตว์อสูรโจมตีเลยสักครั้ง”
ชายหนุ่มในชุดขาวกล่าวต่อ “โดยเฉพาะสองพี่น้องเฉาผิงและเฉาอันที่เป็นดั่งตัวมงคลของหมู่บ้าน พวกเขาพบเจอแต่สิ่งดี ๆ แปลก ๆ อยู่เสมอจนบัดนี้เหล่าผู้ฝึกตนในพื้นที่ใกล้เคียงนับร้อยล้วนตั้งชื่อเรียกให้แก่พวกเขาว่าดาวนำโชค”
ชายชราพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “ไปกันเถิด ไปบ้านของสองพี่น้องคู่นั้น”
หลังจากพูดจบชายชราเดินย่างเข้าไปในหมู่บ้านเฉาซี
ขณะนี้เป็นเวลาดึก ผู้คนในหมู่บ้านจึงต่างพักผ่อนมีเพียงไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้นที่ยังคงเปิดตะเกียงน้ำมัน
“ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก! ภูมิประเทศและภูเขาของหมู่บ้านนี้ถูกแปรเปลี่ยน ไม่ใช่เพียงปราณวิญญาณของฟ้าดินเท่านั้นที่ไหลมารวมสะสม แต่ยังมีกลิ่นอายอันเป็นมงคลของมหาเต๋า!”
เมื่อเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ชายชราก็รู้สึกแตกต่างออกไป
หมู่บ้านที่ดูเหมือนรรมดา แต่ด้วยบรรยากาศที่เป็นมงคลธจึงกลายเป็นเหมือนสรวงสวรรค์
ชายชราจิตใจสั่นไหว เป็นตัวตนแบบใดกันที่สามารถเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยของหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้จนสามารถดึงดูดพลังแห่งฟ้าดินเปลี่ยนแปลงให้พื้นที่ทั้งหมู่บ้านเป็นมงคลในทุกทิศทาง?
“ท่านอาจารย์ ข้างหน้าเป็นที่อาศัยของสองพี่น้อง”
ชายหนุ่มชุดขาวชี้ออกไปในระยะไกล
เป็นหมู่เรือนที่เรียบง่าย มีกระท่อมมุงใบจากแห้งสามหลังและคอกวัว มีแปลงผักและเล้าไก่
ที่อยู่อาศัยเช่นนี้ดูเหมือนบ้านที่ยากจน
แต่เมื่อชายชราเห็นเรือนนี้เขากลับนิ่งเงียบทันที คิ้วขมวดแน่นในใจตื่นตระหนกอย่างไม่อาจควบคุม
กลิ่นอายของเรือนนี้นั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่งยวดประหนึ่งเหมือนมีมังกรซ่อนอยู่ใต้เรือน ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดา แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับสูงก็ยากจะตรวจจับได้
“ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินมาว่าตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน มีผู้ฝึกตนมากมายมาเยี่ยมเยืยนที่นี่ แต่ท้ายที่สุดทุกคนต่างต้องถอยกลับไปอย่างเงียบ ๆ ไม่มีผู้ใดกล้าทำลายความเงียบสงบของหมู่บ้านแห่งนี้”
ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ “โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง มีสัตว์อสูรและวิญญาณร้ายมากมายอาละวาดบนภูเขาฝูเซียน ทว่ากลับไม่มีสักตนที่ย่างก้าวมารบกวนหมู่บ้านแห่นี้ มันช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ”
ชายชราเหม่อมอง “น่าเหลือเชื่ออย่างนั้นหรือ? ไม่เลย… ไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย…”
เขามองที่ขื่อประตูลานบ้านซึ่งกระดาษสีแดงแผ่นหนึ่งเขียนคำสี่คำเอาไว้
‘สงบสุขปลอดภัย’
แม้สี่คำนี้จะมีความหมายธรรมดาสามัญ
แต่ลายมือนั้นโบราณและสถิตด้วยพลังซึ่งทำให้คนรู้สึกสงบและสบายใจเมื่ออ่าน
แต่ในสายตาของชายชรา คำทั้งสี่นั้นยิ่งใหญ่ทรงอำนาจไม่อาจล่วงเกินได้!
หัวใจของเขาเต้นระส่ำ ทั้งร่างสั่นเทาอย่างอธิบายไม่ได้ และในภวังค์ มันคล้ายว่าเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับแค่เพียงตัวอักษรแต่ทว่าเป็นโลกอันกว้างใหญ่ตระหง่านที่ตรงหน้า!